CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ...เสน่ห์จันทร์...[7]

      เปลี่ยนเรื่องนี้ไปอยู่ห้องนิยายเหอะ เพราะมันกลายเป็น\"เรื่อง(เลิก)สั้น\"ไปแล้ว (10 คน)
      อยู่ที่ห้องเรื่องสั้นก็ดีแล้ว ไหนๆก็อยู่มาแต่อ้อนแต่ออกแล้วนิ (1 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 11 คน

     90.91%
     9.09%


    “แล้วกลับมาอีกนะคะ คุณมัส”

    ป้าคำหล้าร้องบอกก่อนที่คนขับจะเลื่อนปิดประตูรถตู้สีขาวคันใหญ่ มัสลินยิ้มและโบกมือตอบแก แอบรู้สึกใจหายเล็กๆ เพราะตลอดเวลาชั่วสัปดาห์ที่เธออยู่ที่นี่ มีหญิงวัยกลางคนคนนี้ที่ดูแลเธอเป็นอย่างดี

    รถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากหน้า”เรือนจันทร์”ช้าๆ มัสลินหันมองออกไปนอกหน้าต่างติดฟิล์มกรองแสงบางๆ คนงานกำลังทยอยเข้าแปลงเพื่อเริ่มงานของเช้าวันใหม่ ส้มลูกกลมสีสดตัดกับใบเขียวจัดกำลังรอทยอยเยี่ยมหน้าออกสู่ตลาด รถผ่านศาลาหลังสวยที่มัสลินยังไม่มีโอกาสมานั่ง”ชมจันทร์”อย่างที่ชื่อเชิญชวนไว้สักที แล้วจะให้หวังถึงคราวหน้าน่ะหรือ...

    กว่าจะรู้สึกตัวมัสลินก็เผลอถอนใจยาวไปแล้ว หญิงสาวลอบมองคนที่นั่งข้างๆชิดกับประตูบานเลื่อน ค่อยโล่งอกหน่อยเมื่อร่างสูงนั้นนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เหยียดขายาวตามสบาย  ใบหน้าคมเข้มมองออกไปนอกหน้าต่างทอดอารมณ์ออกไปไกล



    กว่ารถจะวิ่งออกจากตัวอำเภอ แดดสีทองอ่อนๆก็เริ่มไล่หมอกหนาให้เหลือเพียงเส้นสายสียาวบางๆเหนือแปลงกระเทียมเขียวจัด กลางแปลงคือกระท่อมมุงจากหลังเล็กปลูกอยู่โดดเดี่ยวดูสวยเหมือนภาพฝัน คงไม่แปลกหรอกหากจะเห็นภาพนี้จะปรากฏในหน้านิตยสารท่องเที่ยวดังระดับโลก

    แดดเช้าส่องผ่านกระจกสีเข้มอาบอุ่นจนมัสลินไม่อยากดึงม่านปิด หญิงสาวยิ้ม อยู่เมืองหนาวเสียนาน เธอกลายเป็นคน “หวงแดด” เสียแล้ว

    และแดดอุ่นก็กำลังจะทำให้เธอกลายเป็นเจ้าแมวขี้เกียจเมื่อรู้สึกว่าเปลือกตาชักจะหนักอึ้งลงทุกที ทุกที




    มัสลินรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองกำลังนอนสบายบนเก้าอี้ที่ปรับเอนจนสุดและมีหมอนนุ่มๆรองรับศีรษะที่เอนซบติดหน้าต่างซึ่งม่านถูกปิดสนิทไม่ให้แสงแดดลอดเข้ามารบกวนนิทราอันแสนสุข

    เสียงใครคนหนึ่งเหมือนพูดอะไรพึมพำอยู่ไม่ห่างนัก มัสลินพลิกตัวกลับมาทางเสียงนั้นช้าๆ สิ่งที่เข้าใจว่าเป็นหมอนแต่แท้จริงคือเสื้อแจ๊คเกตที่ขดกลมค่อยๆคลายตัวหล่นมาอยู่ที่ตัก

    “ขอโทษที่ทำให้ตื่น”

    ชฎิลหันมาทางเธอพร้อมกับปิดพับโทรศัพท์เครื่องเล็กในมือ หญิงสาวกระพริบตาถี่ไล่แสงสว่างจ้านอกตัวรถที่ทำให้รูปเงาของคนข้างๆไม่ชัดเจน

    “เราใกล้จะถึงสนามบินแล้วล่ะ เดี๋ยวแวะรับสองคนนั้นก่อนแล้วค่อยไปกินข้าวพร้อมกัน”

    มัสลินรับคำเบาๆพร้อมทั้งลุกขึ้นนั่งและปรับเก้าอี้ให้อยู่ในระดับปกติ กลิ่นโคโลญจ์ผู้ชายอ่อนๆจากเสื้อแจ๊คเกตตัวใหญ่ทำให้ผิวแก้มร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ หญิงสาวพับเสื้ออย่างเรียบร้อยและเอ่ยชอบคุณเมื่อยื่นส่งคืนให้เจ้าของโดยสบตาเขาไม่สนิทนัก






    ชฎิลเดินนำมัสลินไปยังร้านกาแฟเล็กๆภายในตัวอาคารเมื่อเห็นหน้าจอโทรทัศน์ขึ้นว่าเที่ยวบินของอมฤตและชฎาธารต้องล่าช้าออกไปอีกกว่าครึ่งชั่วโมง แม้จะเป็นช่วงกลางสัปดาห์ แต่ผู้คนในสนามบินเชียงใหม่ก็ดูเหมือนจะไม่เคยบางตา โต๊ะในร้านถูกจับจองไว้หมด แต่โชคของทั้งคู่ยังดีเมื่อฝรั่งสองคนลุกจากชุดโซฟาด้านในสุด

    ชายหนุ่มแตะศอกมัสลินให้เดินนำเข้าไปก่อน ส่วนตัวเขาเองแยกไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ มัสลินนึกขำตัวเองที่ต้องรีบปราดพุ่งไปยังที่ที่หมายตาก่อนสองหนุ่มตาตี๋ร่างสูงใหญ่พร้อมเป้ยักษ์ที่ก้าวตามมาติดๆจะคว้าไปก่อน

    ชฎิลเดินมาพร้อมกับเค้กสองชิ้นโตในมือ และมีพนักงานถือชุดชามาในถาดขนาดกลาง

    “แอปเปิ้ลกรีนที” มัสลินพูดขึ้นมาทันทีที่ได้กลิ่นหอมจากชาร้อนควันกรุ่นที่ถูกรินลงในถ้วยเคลือบสีเขียวอ่อนสวย

    ชฎิลยิ้มรับ ดูหน้าตาและรอยยิ้มของคนตรงหน้าก็พอรู้แล้วว่าเจ้าหล่อนคงจะชื่นชอบกลิ่นและรสของชาชนิดนี้เช่นเดียวกัน

    “กลัวอ้วนหรือเปล่า”

    เขาถามอย่างที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว ก็ตั้งแต่วันแรกที่พบกันจนถึงวันนี้ จะมีเฉพาะช่วงเป็นไข้เท่านั้นที่มัสลินจะเกี่ยงงอนเรื่องอาหารการกิน

    มัสลินยิ้มกว้าง

    “ถ้ากลัว วันนี้ก็คงเลิกกลัวสักวันค่ะ”

    ชฎิลยื่นช้อนให้หญิงสาวที่มองเค้กตรงหน้าตาวาว ด้วยสายตาเอ็นดูอย่างเจ้าตัวเองก็ไม่ทันรู้สึก เขาเลื่อนจานใส่ชอคโกแลตเค้กที่มีเนื้อเค้กสีเข้มเกือบดำสลับกับขั้นชอคโกแลตเข้มช้นเข้าไปใกล้ๆ ทองคำเปลวแผ่นจิ๋วดูสุกปลั่งเป็นพิเศษเมื่อถูกนำมาวางบนหน้าเค้กสีเช้ม

    “อันนี้ทริปเปิ้ลชอคฟัดจ์ ชอคโกแลตจะออกขมหน่อยนะ”

    มัสลินตักเค้กคำแรกเข้าปาก เนื้อเค้กนุ่มกำลังดี ทั้งรสชาติชอคโกแลตชัดเจนไม่ถูกรสเนยบดบังอย่างหลายร้าน ชฎิลจึงได้เห็นความพอใจฉายบนหน้านวลใสนั้น

    “อร่อยค่ะ มัสชอบที่เขายังรักษารสชาติของชอคโกแลตไว้ได้ดี มัสไม่ชอบอะไรหวานๆ”
    มัสลินว่าแล้วตักชอคโกแลตส่งเข้าปากอีกคำเป็นการยืนยันคำพูด

    “สตรอเบอร์รี่ช๊อตเค้กของที่นี่ก็ไม่หวานมากนะ ทั้งเนื้อเค้กและครีมสด สตรอเบอร์รี่ก็ลูกโตรสชาติดี”

    จานดินเผาสีดำสนิทตัดกับสีขาวของครีมสดอย่างน่าดู เหนือเค้กวานิลาเนื้อนุ่มแต่ละชั้นคือสตรอเบอร์รี่ฝานชิ้นใหญ่วางบนครีมสดอย่างเดียวกับที่ใช้แต่งหน้า และที่ดูน่ากินที่สุดก็คือสตรอเบอร์รี่สดลูกโตเคลือบเยลลี่เป็นมันวาวเหนือครีมขาวชั้นบนสุด

    มือใหญ่เลื่อนจานช๊อตเค้กเข้าไปให้ใกล้ๆ

    มัสลินสบตาเขายิ้มๆ หญิงสาวจิบชานิดหนึ่งก่อนตักเค้กชิ้นที่สองเข้าปาก เสียงอือออในลำคอนั้นแม้เจ้าตัวไม่ได้คิดจะเอาใจแต่คนที่คล้ายจะคะยั้นคะยอก็ยิ้มได้กว้างขึ้น

    “ไม่ทานด้วยกันหรือคะ”

    ลูกกะตายิ้มๆนั่นทำเอามัสลินชักเขิน เค้กอร่อยจนเธอเกือบลืมไปว่าคนชวนชิมยังไม่ได้ลิ้มรสสักคำ

    ชฎิลตอบด้วยการตักสตรอเบอร์รี่ช๊อตเค้กเข้าปากคำโต

    “เจ้าของร้านเป็นเพื่อนกัน รู้จักตอนเขาไปเรียนทำขนมที่โน่น”



    ที่โน่น น่าจะหมายถึงซิดนีย์ที่มีโรงเรียนสอนทำขนมชื่อดังอยู่หลายแห่ง มัสลินแอบชำเลืองมองแต่ก็เห็นท่าทางเขาดูปกติดี ไม่เหมือนวันแรกที่เธอถามถึง”ที่แห่งความหลัง”ของเขาด้วยความไม่รู้ ไม่เหมือนคืนที่เธอ”ล้ำเส้นแบ่งโลกส่วนตัว”โดยไม่เจตนา




    “พี่ชฎิล มานานแล้วหรือพี่ น้องๆบอกแล้วแต่ผมยังยุ่งๆอยู่ในครัวน่ะ”

    ชายหนุ่มร่างสูงไล่เลี่ยกับชฎิลหากแต่ค่อนข้างโปร่งและผิวขาวกว่า ผมตัดสั้นเกรียนอวดศีรษะได้รูปสวยทำให้เขาเด่นสะดุดตาพอๆกับเครื่องหน้าคมเข้มและรอยยิ้มสดใสที่ดูขัดกับผ้ากันเปื้อนสีแดงสดที่เจ้าตัวสวมทับเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวและกางเกงยีนส์ตัวเก่าที่มีรอยขาดไปทั่ว

    “อ้าว... พฤทธิ์ มานั่งสักพักแล้ว ฉันมารับนายอั้มกับชฎาน่ะแต่พอดีเครื่องดีเลย์”

    พฤทธิ์หัวเราะ

    “ช่วงนี้คู่นั้นขยันมาสนามบินเสียจริง อาทิตย์ก่อนโน้นเห็นบอกว่ามารับเพื่อน อีกอาทิตย์ก็นายอั้มมาส่งชฎา แล้วสองวันก่อนมันก็บินตามไปกรุงเทพ”

    “พฤทธิ์ นี่มัสลินเพื่อนชฎา” ชฎิลถือโอกาสแนะนำ

    เจ้าของร้านหนุ่มยิ้มกว้าง

    “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ตอนเดินเข้ามายังนึกสงสัยอยู่เลยว่ากว่านายชฎิลจะออกจากไร่มาได้ก็แสนเข็ญแล้ว แต่นี่มีควงใครมาด้วย ถึงยุ่งขนาดไหน ผมก็ต้องออกมาทักทายเสียหน่อย”

    ฟังดูแล้วคนพูดคงมักคุ้นกับสองพี่น้องครอบครัวสิริจันทร์อยู่ไม่น้อย ยิ่งชฎิลที่กำลังจิบชาอุ่นทำท่าคล้ายสำลัก พฤทธิ์ยิ่งหัวเราะใหญ่

    มัสลินยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าพูดกับคนชอบตีหน้าเคร่งอย่างนี้ หญิงสาวยกมือไหว้พฤทธิ์เพราะคะเนแล้วเขาคงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอมฤต หรืออ่อนแก่กว่ากันไม่มากเท่าไหร่

    “เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า”

    จู่ๆเขาก็โพล่งถามขึ้นและมองหน้าเธออย่างเพ่งพิศ ท่าทางพยายามนึกนั้นดูไม่เหมือนคนที่กำลังหว่านเสน่ห์ด้วยมุขสุดเชย แต่มัสลินก็แน่ใจว่าเธอไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าเขามาก่อนด้วยซ้ำ

    “ตอนเจอชฎาครั้งแรกนายก็พูดอย่างนี้” ชฎิลพูดลอยๆแต่ทำเอาคนฟังสะดุ้งโหยง

    พฤทธิ์หัวเราะแห้งๆ พร้อมต่อยเบาๆที่หัวไหล่ชฎิล

    “เอาคืนด้วยหรือนี่ อย่าไปฟังพี่ชฎิลมากนะครับคุณมัสลิน เรื่องดึกดำบรรพ์เมื่อโกฐปีที่แล้วโน่นเขาไม่เอามาพูด เก็บเข้ากรุไปเลยพี่”


    พนักงานคนหนึ่งมาเรียกพฤทธิ์เพราะมีโทรศัพท์หาเขา ชายหนุ่มจำต้องผละจากไป แต่ก็ไม่วายหันมาชี้นิ้วกำชับกำชาอีก ชฎิลหัวเราะไล่หลังชอบใจ...

    รอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั้นมีเผื่อแผ่มาให้คนที่นั่งใกล้ๆด้วย



    ม่านบางๆที่ยังหลงเหลืออยู่ระหว่างคนสองคนดูจะเลือนจางไปในกลิ่นกาแฟที่อวลอุ่นอยู่ในมุมเล็กๆของสนามบินเชียงใหม่แห่งนี้

    แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 48 22:47:03

    จากคุณ : Gracie Lou Freebush - [ 17 ส.ค. 48 17:36:15 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป