บ้านของฉันตั้งอยู่ติดกันกับวัด ติดกันจริงๆ คือก้าวออกจากประตูรั้วไม้ผุ
ของบ้านเหยียบเท้าอีกข้างหนึ่งลงก็ถึงวัดในทันที
บ้านไม้เก่าของครอบครัวฉันเป็นบ้านไม้สูงชั้นเดียวตามสมัยโบราณ
และเป็นครอบครัวใหญ่ที่เราอาศัยอยู่หลายคน มีตา ยาย พ่อแม่ น้าอีกสามคน
แล้วก็ฉันเด็กหญิงซนคนหนึ่งที่อายุเพียงห้าขวบ แม่เล่าว่าตอนที่ฉันเกิดนั้นน้ำท่วมหมู่บ้าน
ขนาดบ้านฉันสูงๆยังท่วมถึงบันไดขั้นที่แปด (บ้านในสมัยนั้นแม่เล่าว่าบันไดต้องมีเก้าขั้น ด้วยความเชื่อที่สืบต่อกันมาจะก้าวขึ้นหรือก้าวลงก็มีแต่ความสุข)
แม่อุ้มท้องมาถึงเดือนที่เก้าฝนที่ตกมาสองอาทิตย์ติดต่อกัน
ทำให้ตากับพ่อต้องเอาวัวกับควายที่เลี้ยงไว้ขึ้นไปอยู่ที่เนินในไร่
และจะต้องมีคนเปลี่ยนเวรกันไปนอนเฝ้า บางวันพ่อก็จะไปกับน้า
หรือไม่ก็ตาที่อาสาไปด้วยแต่อย่างน้อยบ้านของเราต้องมีผู้ชายอยู่ประจำบ้านให้ผู้หญิงอุ่นใจหนึ่งคน
ตอนที่ฉันจะคลอดฝนยังเทลงมาไม่ขาดสาย แม่เจ็บท้องตอนค่อนรุ่ง
เสียงกลองที่วัดดังบอกเวลาตีห้าแต่แม่ฉันก็ยังกัดฟันทนความเจ็บ
ที่คงแล่นริ้วขึ้นมาท่วมหัวใจ
ยายยังเสริมตอนที่แม่เล่าให้ฉันฟังว่าแม่นั้นไม่ร้องสักคำ
แต่เหงื่อออกท่วมตัวทีเดียวผ้าขาวม้าที่แม่บิดอยู่อย่างทรมานขาดไปผืนหนึ่ง
ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าทำให้แม่ต้องทรมานขนาดนั้น ฉันคลอดในตอนเช้าตรู่พอดี
ประมาณเจ็ดโมงเช้า(เวลานั้นไม่แน่นอนเพราะแต่ก่อนบ้านฉันไม่มีนาฬิกา เราเลยกะเวลาห่างจากที่พระท่านตีกลองที่วัด)
วันนั้นพ่อไปนอนเฝ้าวัวกับควายบนเนินกับน้า
มีแต่ตายายกับน้าผู้หญิงอีกสองคนที่คอยช่วยยายต้มน้ำ
ฉันคลอดโดยไม่ต้องอาศัยหมอตำแยหรือยายเมี้ยนที่ไหน
ยายของฉันเอง
แกไม่ได้เรียนถึงระดับปริญญาที่ไหนหรอก
อาศัยที่บ้านใกล้วัดแวะเวียนไปฟังที่พระท่านเทศน์บ่อยๆ
ยายฉันเลยเก่งภาษาบาลีและสันสกฤต
โดยที่คนรุ่นยายหลายคนนั้นอ่านหนังสือแทบไม่ได้เลย
ฉันคลอดออกมาตัวแดง ผมน้อยเสียเหลือเกิน
จนแม่กลัวว่าลูกสาวอย่างฉันโตขึ้นคงงามเหมือนขุนช้าง
ลูกญาติบ้านใกล้เรือนเคียงกันไม่มีใครหรอกที่เกิดมาอาภัพผม
และมะขามข้อเดียวแบบฉัน
พอสายหน่อยพ่อกับน้าก็พายเรือเข้ามาเทียบที่บันได
แม่บอกว่าพ่อดีใจมากที่ฉันคลอดออกมาเสียที
เพราะตั้งหน้าตั้งตารอมาตั้งเก้าเดือน ทั้งๆที่ฉันตัวแดง ผมน้อยๆ
กลิ่นคาวเลือดยังไม่จางจากตัว
แม่ก็เล่าว่าพ่อจูบที่หัวเหม็นๆของฉันด้วยความชื่นใจ
ผ้าอ้อมที่ให้ห่อ คือผ้าถุงผืนเก่าๆของทั้งแม่และยาย
ไม่ได้ละเอียดนุ่มผิวเหมือนเด็กสมัยนี้
ตากับยายช่วยกันเอาตัวฉันวางไว้ในกระด้ง
อาบน้ำร้อนให้แม่ฉันและพ่อฉันต้องอาบน้ำมาเข้าพิธีกับแม่กับฉันด้วยเหมือนกัน
แม่บอกว่า ตาเอาด้ายสายสิญจน์มาคล้องที่ข้อมือฉัน คล้องข้อมือพ่อกับแม่แล้วตาก็สวดพึมเพาๆ
ที่ตาฉันต้องทำแบบนี้ก็เพราะว่าตาของนั้นเรียนมาทางคาถาอาคมบ้าง
แกบวชเรียนมาตั้งแต่เป็นเณรเป็นกำพร้าต้องอยู่วัดมาตั้งแต่เด็กๆ
แล้วฉันจะเล่านิยายรักของตากับยายให้ฟัง
เมื่อเสร็จพิธีพ่อกับแม่ก็เอาฉันดื่มนมมีพ่อมีตายายและน้านั่งมองที่ฉันตาเป็นประกาย
ฉันเป็นหลานคนแรก จึงไม่แปลกที่ใครๆก็ต่างรุมเอาใจและรักปานแก้วตาดวงใจ
หลังจากที่ดื่มนมแม่เสร็จ ชานเล็กๆที่กั้นไว้ให้แม่อยู่ไฟก็ต้องทิ้งให้ยายกับแม่อยู่กันสองคน
ฉันก็ไม่รู้อีกละถ้าแม่ไม่เล่าให้ฟังว่า ยายทำกรรมวิธีล้างแผลและสมานแผลให้แม่
ไพล ขมิ้น และเครื่องเทศอีกมากมายที่ตำรวมกัน
พร้อมกับเหล้าขาวกลั่นเองถูกขยำไว้และประคมแผลให้แม่
ยายทำเช่นนี้จนแม่ฉันออกไฟคือเก้าวันพอดี
ขณะที่แม่อยู่ไฟนั้น พ่อก็จะมานอนเฝ้าฉันกับแม่ถ้าคืนไหนไม่ต้องออกไปนอนที่เนิน
แต่ส่วนใหญ่ยายกับตาจะไม่ให้แม่กับฉันห่างสายตาเป็นอันขาด
รกของฉันถูกตาทำพิธีอีกเช่นกัน และถูกนำไปฝังพร้อมดอกไม้ธูปเทียนที่เนินไร่
ที่จริงแล้วรกเด็กนั้นต้องฝังใต้บันไดบ้าน ตาบอกว่าจะได้รักถิ่นฐานบ้านเกิด
ไปไหนๆก็ไม่มีทางที่จะลืมบ้าน สุดท้ายต้องกลับมา แต่ของฉันเป็นกรณีพิเศษ
ต้องจากบ้านไปอยู่ที่เนินไกลลิบ
ตาผูกข้อมือให้ฉันจนและมีสายสิญจน์คล้องคออีกเส้นหนึ่ง
ส่วนน้าๆของฉันจะแวะเวียนเข้ามาดูหน้าตาอันพิลึกของเด็กผมน้อยอย่างฉันด้วยความรักทุกวัน
แม่เองละที่เล่าอีกว่า ตอนที่อยู่ไฟนั้นตอนกลางคืนแม่ต้องลุกมาให้นมฉันคืนละสองครั้ง
คือฉันนี้กินเก่งมาก แม่จากที่เอวบางร่างน้อยเมื่อสมัยยังสาวกลับอวบอ้วนขึ้นทันตา
หลังจากที่ตาเอายาต้มรากไม้สรรพคุณเลิศมาต้มบำรุงน้ำนมให้แม่กิน
ฉันคงจะรับฤทธิ์ยาจากแม่ด้วยเพราะไม่ถึงเดือนตัวฉันก็อ้วนเป็นลูกหนอนขึ้นทันตา
แถมผมที่น้อยๆนั้นก็ถูกยายนำสมุนไพรครอบจักรวารมาสระให้บ่อยๆ
จากทีแรกผมฉันน้อยเหมือนพ่อชนิดไม่ต้องถามเลยละว่าลูกใคร ฉันก็ชิ่งหนีพ่อไปไม่เหลียวหลัง
แม่นั้นบอกฉันว่าต้องแบกรับน้ำหนักที่เกินมาจากการกินยาบำรุงของตาเกือบสิบกิโล
ทั้งๆที่ตอนฉันอยู่ในท้องแม่ยังหุ่นดีแบบสาวงามอยู่เลย
ฉันอ้วนขึ้นทุกวันในขณะเดียวกันน้ำก็ค่อยๆลดลง
บางคราวพ่อต้องวางแหหน้าบันได หรือน้าของฉันที่วางเบ็ดไว้รอบบ้าน
แม่บอกว่าข้อดีของน้ำท่วมคือไม่ต้องออกไปหาปลาไกลๆ
แค่วางเบ็ดลง เดียวเดี๋ยวเราก็จะได้กินปลาช่อนตัวโตๆแล้ว
พ่อบอกว่าแม่ยิ่งมีลูกยิ่งสวย ทั้งๆที่แม่อ้วนขึ้นแต่พ่อยังว่าแม่แค่มีน้ำมีนวลกว่าสมัยก่อนเท่านั้น
ไม่ได้อ้วนอย่างที่แม่คิดเลย
ตากับยายคือคนที่ต้องมาทำพิธีกับเด็กวัยไม่ถึงเดือนอย่างฉันทุกวัน
โดนก่อนนอนตาต้องมาเป่าที่หัวทุยๆ
สักสามรอบก่อนที่จะปล่อยให้ฉันนอนอย่างสบายอารมณ์อยู่ในกระด้งอันใหญ่
ยายจะเป็นคนดูแล เรื่องภายในให้กับแม่ เพราะยายก็เชี่ยวชาญมาจากแม่ของยายอีกทีหนึ่ง
นั้นคือยายทวดของฉันเอง และประสบการณ์จากการเบ่งลูกโดยไม่มีหมอใดๆมาช่วยอีกสี่คน
ยายจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญโดยแท้ และไม่ใช่ว่ายายฉันจะมีลูกเยอะนะ
แม่เล่าว่าทางตระกูลฉันออกจะมีลูกยาก
เพราะแม่กับพ่อแต่งงานกันมาเกือบสองปีฉันถึงมาเกิด
แต่อานิสงค์อาจจะมาทางพ่อที่ย่าของฉันขยันมีลูกแบบหยุดไม่อยู่คือสิบสี่คน
แล้วฉันจะเล่าให้ฟังทีหลังว่าย่ากับปู่ของฉันนั้นเก่งกาจเพียงไร
ตลอดเวลาที่ฉันเกิดมาร่วมหนึ่งสัปดาห์แรก แม่กับพ่อยังไม่มีชื่อเรียกให้ฉันเลย
ทุกคนจึงเรียกฉันว่า
นางน้อย ตาเป็นคนที่ไปคุ้ยตำราใบลานที่ใช้ตั้งชื่อ
อันเป็นมงคลทั้งหลายมาเพื่อจะตั้งชื่อหลานสาวคนแรก
ส่วนพ่อกับแม่ได้สิทธิพิเศษแค่ตั้งชื่อเล่นเท่านั้น
อันว่าชื่อก็มีเรื่องเล่าอีกว่า บ้านฉันนั้นชื่อไม่ไกลจากผักสวนครัวหรือดอกไม้หน้าบ้านเลย
ยายของฉันชื่อพุดซ้อน แม่ฉันชื่อมะลิ น้าผู้หญิงชื่อ ยี่โถ กับใบบัว ตาชื่อไผ่ น้าชายชื่อมะขาม พ่อชื่อทิดม่วง หรือมะม่วงเมื่อตอนเด็กๆ
ส่วนชื่อเล่นของฉันแม่กับพ่อตั้งให้ง่ายๆว่าสายฝน เพราะตั้งชื่อตามที่ฉันเกิด
แต่ ข้อถกเถียงกันก็เกิดขึ้นจนได้เมื่อน้าทั้งสามของฉันไม่ยอมเรียกชื่อสายฝน
คงไม่อยากรับฉันเข้าตระกูลด้วยแน่ๆ ทั้งสามจึงเรียกฉันอย่างเต็มปากเต็มคำว่าใบพลู
จะได้คล้องกับชื่อของน้าคนเล็กที่ชื่อใบบัว
และในที่สุดสายฝนก็เหือดหายไปตามกาลเวลา
มีแต่ใบพลูเท่านั้นที่ยังยืนมาจนถึงทุกวันนี้
ส่วนชื่อจริงนั้นตาก็พยายามตั้งให้คล้องกับน้าคนเล็ก
เพราะเป็นเพียงคนเดียวที่ชื่อเล่นต่างจากชื่อจริงในสำมะโนครัว คือ บุญฑริกา
ซึ่งก็คือชื่อดอกบัวเหมือนเดิม
ส่วนชื่อฉันนั้น เป็นชื่อที่สวยหรูจนเพื่อนๆหลายคนของฉันไม่เชื่อว่า
จะเป็นชื่อที่คนโบราณอย่างตาฉันตั้งให้
ชื่อจริงฉันคือ ปัทมาวดี
ทุกคนชอบชื่อนี้ แม่บอกว่า ชื่อที่ตาตั้งให้นั้นดีที่สุด เป็นพระของแม่ และเป็นพระของฉันด้วย
เมื่อได้ชื่อฉันทั้งชื่อจริงชื่อเล่นแล้ว พ่อก็ยังไม่ได้ไปแจ้งกำนันว่าฉันเกิดหรอก
ผ่านไปเกือบเดือนฉันจึงได้วันเกิดใหม่ที่พ่อจัดแจงให้เสร็จ
เพราะกำนันบอกว่า พ่อฉันจะมีความผิดที่แจ้งเกิดลูกช้า
พ่อชั้นไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย และฉันก็ยังพูดไม่ได้
และไม่มีปัญญาจะมาเถียงเอาวันเกิดจริงๆของฉันหรอก จึงปล่อยเลยตามเลย ได้วันเกิดใหม่ที่พ่อคิดขึ้นเอง
ฉะนั้นเมื่อใครถามวันเกิด ฉันต้องถามก่อนว่า จะเอาวันที่แม่คลอด หรือพ่อคลอดละ
และทุกคนต้องมองฉันเป็นตัวประหลาดทุกที
จากคุณ :
nana_iteh
- [
18 ส.ค. 48 14:36:39
]