CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    นี่แหละเพื่อน (เรื่องสั้น)

    นี่แหละเพื่อน


    ผมหอบถุงอันหนักอึ้งขึ้นรถเมล์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต มาลงที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตั้งแต่สามโมงเช้า

    ขณะนั้นเลยเวลาวิกฤตบนท้องถนนมาแล้ว รถโดยสารปรับอากาศสีส้มสายที่ผมต้องการ จอดเรียงกันอยู่ถึงสี่คัน

    ผมสาวเท้าไปขึ้นคันหน้าสุด ซึ่งมีที่นั่งว่างอยู่กว่าครึ่ง จึงเลือกนั่งแถวหลังประตูด้านซ้าย เพราะเก้าอี้อยู่สูงใกล้ช่องแอร์มากกว่าแถวหน้า ๆ และไม่โดนแสงแดดตอนเช้าด้วย

    นาน ๆ ได้เลือกที่นั่งได้ตามใจ ก็เอาที่ได้ประโยชน์มากที่สุด

    ไม่ต้องรอสักกี่นาทีรถก็เคลื่อนออกจากท่า เลี้ยวซ้ายขึ้นทางด่วนไปทางเหนือ ผมขยับถุงผ้าใส่หนังสือที่วางพิงตรงปลายเท้า ให้ตั้งอยู่อย่างมั่นคง แล้วก็นั่งมองภาพภูมิประเทศข้างทางจากที่สูงของทางด่วน ด้วยความเพลินเพลิน

    ในถุงนั้นมีหนังสืออยู่ด้วยกันสิบแปดเล่ม เล่มเล็กสิบเอ็ดเล่มนั้นคือหนังสือรีดเดอร์ไดเจสต์ภาษาไทย หรือสรรสาระ ซึ่งเป็นหนังสือที่มีสาระความรู้มากมายทั่วโลก ที่อ่านง่ายเหมาะสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่รักการอ่านเป็นอย่างยิ่ง เพราะเนื้อหาสร้างสรรค์ ยกย่องสรรเสริญผู้ทำความดี ผู้กล้าหาญ ผู้ไม่ย่อท้อต่อชีวิต จากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นทุกมุมโลก และยังมีเรื่องขำขันให้คลายเครียดอีกด้วย

    ผมกำลังจะเอาไปบริจาคให้โรงเรียนหนึ่งทางแถวดอนเมือง  ผมชอบบริจาคหนังสือที่เลิกอ่านแล้วให้กับห้องสมุดต่าง ๆ  

    เมื่อหลายสิบปีก่อนผมเคยส่งหนังสือการ์ตูนตุ๊กตาลังใหญ่ทางรถไฟ ไปให้โรงเรียนวัดสระกำแพง จังหวัดยโสธร เพราะโรงเรียนตั้งอยู่หลังสถานีรถไปพอดี  

    ในปัจจุบันผมก็ส่งหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะไปให้โรงเรียนวัดจันทรสโมสร และมอบหนังสือธรรมะนับร้อยเล่มให้ห้องสมุดของสมาคมหนังสือพิมพ์ที่อยู่ใกล้บ้าน

    และเคยมอบหนังสือเรื่องจีนให้กับห้องสมุดประชาชนเขตบางซื่อ คลองสาน สวนลุมพินี และวัดอะไรก็จำชื่อไม่ได้ในซอยจรัญสนิทวงศ์ ๓๕

    หนังสือสรรสาระนี้ก็มีที่มาพิสดารอยู่ คือมีคนแนะนำให้ผมอ่าน
    ผมก็คิดอยู่นิดหน่อยเพราะค่าสมาชิกแพงมากสำหรับวารสารไทย หนังสือขนาดสิบหกหน้ายก หรือครึ่งหนึ่งของกระดาษ เอ ๔ หนาเพียง ๑๖๒ หน้า ราคาเล่มละ๑๑๐ บาท
    ผมอ่านแล้วกลัวไม่คุ้มค่า จึงส่งไปให้ลูกชายที่ทำงานต่างจังหวัดอ่านต่อ

    ปรากฏว่าเขาชอบ จึงสมัครเป็นสมาชิกเอง พอครบปีผมก็เลิกเป็นสมาชิก รอให้ลูกอ่านแล้วก็ส่งให้ผมอ่านต่อบ้าง ปีต่อมาทางสำนักพิมพ์ให้สมาชิกรับหนังสือฟรีได้อีกหนึ่งเล่ม จะส่งไปให้ใครก็ได้ เขาก็ส่งมาให้ผมโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม

    พอครบปีสำนักพิมพ์ก็เชิญชวนให้ผมเป็นสมาชิกเอง โดยคิดค่าสมาชิกลดลงเหลือปีละ ๙๙๖  บาท สามารถผ่อนได้สามเดือน และมีการลดแลกแจกแถมหลายอย่าง

    บังเอิญผมคิดถึงเด็ก ๆ ในโรงเรียนที่น่าจะได้รับความรู้จากหนังสือฉบับนี้ แต่ไม่มีเงินจะซื้อ และทางโรงเรียนก็ไม่สนใจซื้อ ผมจึงตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกอีกครั้ง แล้วก็ตั้งใจว่าเมื่ออ่านครบปีสิบสองเล่มแล้วก็จะส่งไปให้ห้องสมุดของโรงเรียนใดก็ได้ จะได้คุ้มกับราคาของหนังสือนั้น

    ปีที่ผ่านมา ผมได้ส่งไปให้ห้องสมุด โรงเรียนวัดราชาธิวาส และปีนี้กำลังจะเอาไปส่งให้ห้องสมุดโรงเรียนในอุปถัมภ์ของกองทัพอากาศ

    ผมรีบเอามือคว้าหูจับบนเก้าอี้ตัวหน้า เมื่อรถที่ผมโดยสาร เลี้ยวขวาอย่างแรงและดูเหมือนจะวนกลับ เมื่อถึงโค้งจากทางด่วนลงถนนงามวงศ์วาน
    ที่ป้ายนี้มีคนลงบ้างขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่เต็มเก้าอี้ที่นั่ง แม้จะเป็นวันศุกร์แต่เลยเวลาที่ผู้คนจะไปทำงานกันแล้ว
    ผมหมุนช่องแอร์ให้เบี่ยงเบนพ้นจากตัวของผมเพราะรู้สึกหนาว ทั้ง ๆ ที่แสงแดดภายนอกรถแจ่มจ้า เครื่องปรับอากาศของรถโดยสารยูโรสีส้มนี้ ให้ความเย็นสูงสุด คุ้มกับค่าโดยสารที่แพงที่สุด ในกระบวนรถเมล์ของกรุงเทพมหานคร

    ที่หมายของผมก็คือดอนเมือง บริเวณกองทัพอากาศอันกว้างขวางใหญ่โต จะมีโรงเรียนสามัญโรงเรียนหนึ่งที่ตั้งขึ้นโดยอดีตแม่ทัพอากาศ
    เป็นโรงเรียนเล็ก ๆ ที่สอนชั้นประถมให้แก่บุตรของข้าราชการในสังกัด

    เช่นเดียวกับโรงเรียนของหน่วยอื่น ๆ เช่น ช่างอากาศอำรุง สรรพาวุธบำรุง รถรบอุปถัมภ์  และสื่อสารสงเคราะห์ ที่เรียงรายอยู่แถวถนนทหาร สะพานแดงบางซื่อ

    แต่ต่อมาได้ขยายกิจการกว้างขวางขึ้นสอนถึงมัธยมปลาย และคงจะหนักแรงในการอุปถัมภ์ค้ำจุน จึงยกให้กระทรวงศึกษา ธิการ สังกัดกรมสามัญศึกษาไป เดี๋ยวนี้ยังมีกรมนี้อยู่หรือเปล่าก็ไม่ทราบ

    รถเมล์ที่ผมนั่งแล่นไปได้อย่างสะดวกสบาย ตามถนนงามวงศ์วาน จนผ่านถนนประชาชื่นที่แยกพงษ์เพชร ผ่านถนนวิภาวดี มหาวิทยาลัยกษตรศาสตร์ จนถึงสามแยกเกษตรที่กลายเป็นสี่แยก มีสะพานลอยรถข้ามจากใต้ไปเหนือ และกำลังขุดอุโมงค์ลอดจากตะวันออกไปตะวันตก
    รถจึงเลี้ยวซ้ายมุ่งไปบางบัว สะพานใหม่ แล้วก็ถึงโรงพยาบาลภูมิพล

    เพื่อนของผมที่เป็นครูอยู่โรงเรียนนี้ ได้บอกกับผมว่าให้ลงรถเมล์ป้ายถัดไปจากโรงพยาบาลภูมิพล เมื่อผมเห็นป้ายชื่อโรงพยาบาล ผมจึงรีบลุกขึ้นกดกริ่ง อย่างเก้เก้กังกังด้วยถุงหนังสือที่แกว่งไปมา  คนขับรถก็แสนดีรีบเบรคให้รถหยุดอย่างนิ่มนวล

    เมื่อผมลงจากรถมายืนอยู่บนทางเท้าแล้วจึงได้รู้ว่าเขาหยุดที่ป้ายเยื้องโรงพยาบาลนิดเดียว ด้วยความหวังดีว่าผมคงจะไปเยี่ยมญาติที่โรงพยาบาลนี้ ดังนั้นที่หมายของผมจึงอยู่ที่ป้ายต่อไป ซึ่งมองเห็นอยู่เกือบสุดสายตา เพราะมีสะพานลอยคนข้ามเป็นที่สังเกต

    ผมปลอบใจตนเองว่าป้ายรถเมล์ป้ายเดียวไม่ไกลเท่าไรหรอก แต่ถุงหนังสือที่หนักอึ้งนี่ซิถ่วงแขนเสียตึงในขณะที่ย่างก้าวเดินไปใต้ร่มไม้ของทางเท้า

    ความจริงหนังสือเล่มเล็ก ๆ เพียงสิบเอ็ดเล่มก็คงจะไม่หนักหนา แต่ผมเกิดความโลภขึ้นมาว่า ไหน ๆ ก็เสียเวลาเดินทางมาเกือบสุดเขตกรุงเทพแล้ว ก็เลยเอาหนังสือที่ผมเขียนเอง ลงพิมพ์ในถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป ให้อ่านกันมาตั้งหลายเดือนแล้วนั้น ถ่ายเอกสารลงกระดาษ เอ ๔ เย็บเล่มเรียบร้อย โดยสำนักพิมพ์ ทำเอง ไปให้ห้องสมุดของโรงเรียนนี้พร้อมกันเสียเลย เรื่องของผมก็จะได้มีคนอ่านเพิ่มขึ้นอีกหลายคนจากที่ได้อ่านกันในอินเตอร์เนตตั้งสี่ห้าคนแล้ว

    ผมว่าความคิดของผมเข้าท่าดี จึงรวมรวมหนังสือที่เย็บเล่มแล้ว ๗ เล่มคือ เรื่องสั้นของเจียวต้าย ๒ เล่ม บันทึกของคนเดินเท้า ๒ เล่ม สามก๊กฉบับลายคราม ๒ เล่ม และเรื่องสั้นหรรษาอีก ๑ เล่ม ห่อรวมมาด้วยกัน
    ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุให้ผมต้องหิ้วจนแขนตึงขึ้นสะพายลอยข้ามจากฝั่งซ้าย ไปลงตรงป้ายชื่อโรงเรียนอันเป็นที่หมาย

    ผมมองจากปากทางเข้าไปในซอยที่พุ่งตรงลิ่วไปจนสุดสายตา ก็ไม่เห็นวี่แววของตัวโรงเรียน ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณสี่โมงครึ่ง
    ที่ป้ายรถเมล์ฝั่งนี้ยังมีนักเรียนชายหญิงนั่งรออยู่เป็นกลุ่ม แต่มีบางคนซ้อมมอเตอร์ไซค์เข้าไปในซอยนั้น
    ผมมองตามไปก็ไม่เห็นเลี้ยวเข้าโรงเรียนจนลับตาไป

    ผมจึงหันเข้าไปหาตู้โทรศัพท์สาธารณะแถวนั้น กดเบอร์โทรศัพท์ถึงเพื่อนครูของผม ก็ได้รับเสียงตอบอย่างตื่นเต้นดีใจ ทำให้หายเหนื่อยลงได้
    เขาบอกให้ผมยืนรอตรงศาลารอรถมอเตอร์ไซด็นั้นแหละเดี๋ยวเขาจะขับรถออกมารับ

    ผมยืนรออยู่ไม่นานก็มีรถเก๋งกลางเก่ามาจอดตรงหน้าผม พร้อมด้วยใบหน้าของเพื่อนโผล่ออกมากับมือที่กวักเรียกให้ขึ้นรถ แล้วก็ขับต่อไปในทิศทางที่ไม่ใช่ทางเข้าโรงเรียน

    เขาบอกว่ายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่สองยามเมื่อคืน
    ผมก็ว่าน่าจะเอาหนังสือไปให้ห้องสมุดเสียก่อน
    เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยเอาไปให้ก็ได้
    แล้วเขาก็ขับรถมาจอดใต้ร่มไม้หน้าห้องอาหารของโรงเรียนนายเรืออากาศ
    แล้วก็พาผมเข้าไปนั่งห้องแอร์
    สั่งเบียร์ยี่ห้อแรกของเมืองไทย มาดับความกระหาย ทั้งของเขาและของผมอย่างรวดเร็ว

    เขาบอกว่าเขาจะต้องเข้าไปทำธุระในโรงเรียนต่ออีกสักร้อยนาที ขอให้ผมรออยู่ที่ห้องอาหารนี้ก่อน เขาจะรีบกลับมาโดยเร็ว

    ความจริงผมนึกว่าภารกิจของผมได้สิ้นสุดลงแล้ว หนังสือที่ผมตั้งใจบริจาค ก็ถึงมือผู้รับแล้ว น่าจะกลับได้
    แต่มานึกอีกทีว่าผมเดินทางมาชั่วโมงครึ่ง เพื่อจะพบหน้าเพื่อนเพียงสามสิบนาที แล้วก็กลับไปอีกชั่วโมงครึ่ง ทั้ง ๆ ที่เพื่อนอ้อนวอนให้อยู่ ก็ดูจะใจจืดใจดำเต็มที

    สถานที่นั่งรอนี้ก็เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ  เบียร์ก็เย็นเฉียบด้วยผ่านการแช่อย่างดี ผมจึงตกลงใจที่จะเสียสละเวลารอคอยเขาตามที่ว่า

    เพื่อนรีบไปเมื่อเวลาห้าโมงเกือบครึ่ง หลังจากที่เบียร์หมดไปสามขวดในเวลาเพียงสี่สิบนาที
    เขาสั่งขวดที่สี่มาวางไว้ให้ผม แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็วเหมือนขามา
    ผมสั่งหมูผัดกระเพราราดข้าวมาปูพื้น ค่อยละเลียดกินไปทีละนิด อ่านหนังสือพิมพ์ครบถ้วนทุกคอลัมน์อย่างที่ไม่เคยอ่านละเอียดถึงขนาดนี้ อ่านจนกระทั่งโฆษณาสินค้า

    เพื่อนของผมก็กลับมา เมื่อเวลาบ่ายโมงครึ่ง พร้อมกับเพื่อนครูอีกคนหนึ่ง เมื่อได้รินแก้วแรกในรอบสอง เพื่อต้อนรับเพื่อนของเพื่อนเข้าสู่วงโคจรแล้ว ก็คุยกันเรื่อยไปทุกเรื่องตามแต่จะนึกได้

    โดยผมขอปวารณาไว้ว่าจะกลับไปขึ้นรถเมล์เบอร็เดียวกับขามา ก่อนที่ท้องฟ้าจะมืด

    เรานั่งคุยกันอย่างเพลิดเพลินไม่นานนักในความรู้สึกของผม บริกรสาวก็ยกเบียร์ขวดที่สิบเอ็ดมาตั้งแล้วบอกว่า เบียร์หมดแล้วค่ะ

    ผมตกใจรีบหันไปดูท้องฟ้าปรากฏว่ายังสว่างอยู่ แต่นาฬิกาพกในกระเป๋าถือบอกเวลา จะย่ำค่ำแล้ว ข้อสำคัญเบียร์ก็หมดร้านแล้ว
    เพื่อนของผมพยายามคาดคั้นว่าหมดจริง ๆ หรือ เด็กหญิงตัวโตนั้นบอกว่ายี่ห้อนี้หมดแล้ว มีแต่พวกขวดสีเขียว

    พอเพื่อนอ้าปากยังไม่ทันจะสั่งให้เอามา ผมก็ลุกขึ้นยืนยกมือไหว้ลาอย่างเด็ดขาดไม่ยอมฟังข้อแม้ใดใดทั้งสิ้น

    เพื่อนจึงต้องขับรถคันเก่านั้น มาส่งผมที่ป้ายรถเมล์ซึ่งมีผู้คนยืนคอยอยู่มากมาย แล้วก็กลับไปสมทบกับเพื่อนครู ที่ยังนั่งคอยอยู่พร้อมกับแกล้มที่เหลือ

    ผมรอรถไม่นานก็ได้ขึ้นไปนั่งเก้าอี้ว่าง แม้จะมีผู้โดยสารมากกว่าเมื่อเช้าก็ตาม รถแล่นมาตามถนนพหลโยธินอย่างแช่มช้า
    จนถึงแยกเกษตรก็ต้องเลี้ยวซ้ายไปทางถนนใหม่ ผ่านแท่งคอนกรีตใหญ่โตสำหรับจะก่อสร้างอะไรอีกก็ไม่รู้  นับได้ห้าสิบกว่าต้นจึงวนกลับมาที่แยกเก่า
    กว่าจะหลุดพ้นไฟแดงไปได้ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วก็แล่นย้อนทางเดิมมาที่มาเมื่อเช้า ด้วยความเร็วเพียงครึ่งเดียว จนขึ้นทางด่วนงามวงศ์วาน จึงแล่นได้รวดเร็วปานลมพัด และจอดให้ผมลงที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อเวลาประมาณสองทุ่ม

    กระเพาะของผมร้องอุทธรณ์ ให้ผมแวะเข้าไปกินข้าวราดลาบเป็ดเสียหนึ่งจาน กลั้วคออันฝืดแห้งด้วยเบียร์อีกหนึ่งกระป๋อง
    แล้วจึงกลับมาถึงบ้านอย่างสบาย สดชื่นแจ่มใสทั้งกายวาจาใจ  
    โดยใช้เวลาไปกลับทั้งหมด ในรายการนี้ร่วมสิบสองชั่วโมง

    ผมเพิ่งนึกได้ว่าเพื่อนให้หนังสือของเขามาเป็นที่ระลึกเล่มหนึ่ง จึงเอาออกมาจากถุงดูชื่อเรื่องที่หน้าปก มีข้อความว่า

                            วรรณกรรมเพื่อเยาวชน

                               ส่งเสริมปีแห่งการอ่าน

                                     แมวปิลาร์

             เรื่องแมวแมว เขียนโดยคนรักแมว เพื่อคนรักแมว

                                        GTW

    ทันใดนั้นก็มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังระรัวขึ้น ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณสามทุ่มครึ่ง          

    ผมยกหูฟังขึ้น  ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยมาตลอดวัน

    “  คุณเจียวต้ายกลับถึงบ้านแล้วหรือครับ “

    ผมตอบขอบคุณ ด้วยความรู้สึกเต็มตื้นในความห่วงใยของเขา


    .......................นี่แหละ เพื่อนของผม.....................

    แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 48 13:25:17

    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 28 ส.ค. 48 07:49:13 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป