เสียงโทรศัพท์ที่กังวานก้องในความเงียบ ปลุกให้หญิงสาวร่างบางที่นั่งเพ่งอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ชะงัก ก่อนจะบิดตัวอย่างเมื่อยขบ เพราะนั่งอยู่ในท่านั้นมาเนิ่นนาน คิ้วเรียวขมวดอย่างแปลกใจ ใครกันนะโทรมารบกวนเวลาทำงานของเธอ หากเมื่อเหลือบดูนาฬิกา เธอก็บอกตัวเองได้ เขาคนนั้นแน่ๆ
เขาโทรมาอีกแล้ว..
เขาคนที่มักจะโทรมาในเวลานี้เป็นประจำ แม้จะไม่ถึงกับทุกคืน แต่ก็บ่อยจนเธอไม่แปลกใจอีกต่อไป ทั้งที่รู้ว่าเป็นเวลาทำงานของเธอ แต่ก็นั่นแหละ เธอก็ไม่เคยโกรธเขาได้ลงสักที ความรู้สึกนั้นแสนแปลก จะว่ายินดีก็ไม่ใช่ หงุดหงิดก็ไม่เชิง
รตามองโทรศัพท์ในมือที่ดังไม่หยุดอย่างลังเล ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความรู้สึกดีใจและลำบากใจ เขาโทรมาทำไมกันนะ แล้วเธอควรจะรับไหมนะ? ถ้ารับ เขาจะคิดว่าเธอยังปลื้มเขาอยู่ไหมนะ? หลายคำถามวิ่งวนอยู่ในความคิด ก่อนที่เจ้าตัวจะถอนใจเฮือกใหญ่ เมื่อกดรับ บอกตัวเองว่าคุยๆ ให้จบๆ ไปน่าจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นเขาก็โทรอยู่อย่างนั้นแหละ
"ตานอนแล้วหรอ ขอโทษนะที่โทรมากวน" เสียงจากฝ่ายนั้นเกรงอกเกรงใจ
รตาพยายามกลั้นลมหายใจ ไม่ให้เขารู้ว่าเธอถอนหายใจอย่างอึดอัด เหมือนๆ ทุกครั้งที่เขาโทรมา
"ยังจ้ะ แต่ทำงานอยู่" เสียงเธอเรียบเป็นปกติ
"นอนดึกจัง ระวังสุขภาพด้วย" น้ำเสียงนั้นห่วงใย ก็เหมือนทุกครั้งที่เขาเคยพูดนั่นเอง เมื่อโทรมาในเวลานี้
ก็ถ้ารู้ว่าดึกแล้วโทรมาทำไมยะ รตานึกขวางๆ แต่ที่พูดออกไปคือ
"เนศมีธุระอะไรรึเปล่า" รู้ดีว่าคำถามนั้นเกือบห้วน แต่เธอก็ทำได้ดีที่สุดแค่นี้
"ไม่มีธุระโทรมาคุยกับตาไม่ได้หรอ" เป็นงั้นไป
คราวนี้รตาถอนใจยาวให้ได้ยินชัด ก่อนจะบอกตรงๆ
"ตามีงานต้องทำ ใกล้ถึงกำหนดส่งแล้ว" คราวนี้เสียงเธออ่อนลง ยังไงเขาก็เป็นเพื่อน ไม่มีความจำเป็นจะต้องมึนตึงต่อกันนี่นะ หาก..อีกเสียงหนึ่งเตือนตนเอง แน่หรือที่เขาเป็นเพียงเพื่อน?
"งานของตาน่าสนุกนะ ดูมีอิสระดี ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ" เสียงเขาแจ่มใส ราวกับไม่รู้ถึงอารมณ์วุ่นวายใจของอีกฝ่าย
"แต่บางทีก็ทำให้ขี้เกียจเหมือนกัน ไม่จวนถึงกำหนดก็ไม่ลุกขึ้นมาทำ" รตาหมายถึงงานรับแปลหนังสือของเธอ ที่ยึดเป็นอาชีพเรื่อยมาหลังจากงานประจำของเธอปิดตัวลง เมื่อบริษัทโฆษณาเล็กๆ ที่เธอเคยทำงาน ปิดกิจการลงเมื่อสองปีที่แล้ว
"เราอ่านหนังสือของตาแล้ว เล่มใหม่ที่เพิ่งออกเมื่อต้นเดือนน่ะ" เขาบอกอย่างเอาใจ "เพิ่งอ่านจบเมื่อวานนี้เอง เลยจะโทรมาชม เราว่าสำนวนตาลื่นขึ้นกว่าเล่มแรกๆ มากเลย อ่านสนุก "
คราวนี้รตาอารมณ์ดีขึ้น ใครบ้างจะไม่ดีใจ เมื่องานเขียนของตัวเอง ที่รู้ดีว่ายังอยู่ในขั้นงูๆ ปลาๆ มีคนอ่านและให้ความสนใจอย่างจริงจัง อย่างเขาคนนี้ ที่ติดตามอ่านหนังสือของเธอมาตั้งแต่เล่มแรก จนเล่มที่สี่แล้ว โดยที่ครั้งแรกนั้นเขายังไม่รู้ว่าคนแปลคือเธอ-เพื่อนร่วมคณะสมัยมหาวิทยาลัยของเขาด้วยซ้ำ เพิ่งจะมารู้เมื่อเจอกันในงานแต่งงานของเพื่อนคนหนึ่ง เธอกับเขาจึงติดต่อกันเรื่อยมา หลังจากที่ห่างหายกันไปนานหลังจากเรียนจบ
"เนศช่วยวิจารณ์เยอะๆ อย่าชมมาก ติดีกว่า ตาจะได้พัฒนาฝีมือ" เธอบอกอย่างจริงจัง ฝ่ายนั้นหัวเราะ
"ไม่กล้าติหรอก แค่นี้ก็เป็นเกียรติจะแย่แล้ว ได้คุยกับนักแปลชื่อดัง" น้ำเสียงนั้นสดใส ล้อเลียนอย่างที่เจ้าตัวถนัด และฟังแล้วรตาก็ได้แต่ถอนใจ พยายามห้ามตัวเองสุดความสามารถที่จะไม่ต่อปากต่อคำกับเขา รู้ตัวดีว่าพูดกันอีกไม่กี่ประโยค กำแพงที่เธอเพียรก่อเพื่อป้องกันตัวเองจากผู้ชายคนนี้ จะพังทลายลงต่อหน้าต่อตา อย่างที่มันพังมาแล้วทุกครั้ง เมื่อได้คุยกับเขา
แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้จนแล้วจนรอด
"งั้นตาก็ต้องดีใจมากกว่า ที่ได้คุยกับพระเอกละครยอดนิยม"
ใช่ ! ฝ่ายนั้นเป็นพระเอกชื่อดัง ที่เข้าวงการช้าไปหน่อยเพราะมัวไปเรียนปริญญาโทที่ออสเตรเลีย แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ดังเป็นพลุ ในยุคที่พระเอกละครไทยมีแต่คนหล่อเข้ม หรือไม่ก็ลูกครึ่งตะวันตก ธเนศก้าวเข้ามายืนเทียบเคียงพระเอกเหล่านั้นอย่างงดงาม ทั้งที่เป็นคนขาวตี๋ หากก็ได้ใจมหาชนเพราะความสามารถในการแสดง และความหล่อสะอ้าน หน้าใสไม่แพ้วัยรุ่น ทั้งที่อายุเกินเบญจเพสไปแล้ว รวมถึงอัธยาศัยดี เรียบง่าย ไม่เจ้าอารมณ์อย่างดาราดังโดยมาก
คงเป็นเพราะเขาเป็นพระเอกคนดังเท่านั้นแหละ ที่ทำให้เธอทั้งเป็นสุขทั้งอึดอัดใจยามที่ได้คุยกับเขา แทนที่จะร้องกรี๊ด แล้วเป็นลม อย่างที่ควรทำเมื่อมีพระเอกยอดนิยมโทรมาหาทุกค่ำคืน รตาพยายามบอกตัวเอง
ไม่ใช่เพราะเขาคือ "ดาว" ประจำใจเธอ ตั้งแต่สมัยเรียนหรอกน่ะ !
"พรุ่งนี้เย็นตาว่างมั้ย เราถ่ายละครเสร็จแล้วจะแวะไปหา อยากคุยเรื่องหนังสือด้วย คุยทางโทรศัพท์ไม่สนุก" เขาถามอย่างแจ่มใส มีสำเนียงออดอ้อน อย่างที่เขาทำได้น่ารักนัก และคงไม่มีใครทำได้เหมือน หากไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาระดับพระเอกอย่างเขา
รตาอยากจะตอบว่าไม่ว่าง แต่คำตอบที่ตอบออกไปกลับหักหลังเจ้าของอย่างใจร้ายที่สุด
"ก็ว่าง..มั้ง วัตยังไม่กลับ" คำหลังเบา คล้ายรำพึงกับตัวเอง ก่อนจะถอนใจยาว เมื่อฟังน้ำเสียงร่าเริงนั้นนัดเวลาคร่าวๆ ก่อนจะวางหูไปอย่างอ้อยอิ่ง
รตายกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองอย่างเผลอๆ ที่เธอทำอะไรลงไป ทำไมจึงยอมพบปะกับเขาอีก ทั้งที่อีกไม่กี่วัน.. ใช่ ถ้านับกันจริงๆ มันก็อีกไม่กี่วัน.. เธอกำลังจะหมั้น !
---------------------------------------
จากคุณ :
โยษิตา
- [
30 ส.ค. 48 01:39:13
]