รตาเปิดประตูให้ชายหนุ่มคนใหม่ก้าวเข้ามา แวบนั้นเธอรู้สึกรังเกียจตัวเองขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ นี่ฉันเป็นผู้หญิงประเภทไหนกันนะ ผู้ชายคนหนึ่งเพิ่งเดินออกไปได้ไม่ถึงสิบนาทีดี เธอก็เปิดประตูรับผู้ชายคนใหม่เข้ามาเสียแล้ว คนคิดอยากจะถอนใจ หากอีกฝ่ายจะไม่ถามขึ้นอย่างแจ่มใส ราวกับไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใดๆ ทั้งสิ้นเสียก่อน
"ตาทำคุ้กกี้หรอ หอมจัง ขอชิมหน่อย" ดวงหน้าขาวใส ยามยิ้มประจบเหมือนเด็กๆ นั้นชวนมองเสียนัก ราวกับเจ้าตัวจะรู้ว่าตัวเองควรปรุงแต่งท่าทางอย่างไร จึงจะออกมาดูดีที่สุด
รตาถอนใจ พยายามตัดทุกความคิดที่วุ่นวายอยู่ในสมองออกไปจนหมด
"นั่งสิ เดี๋ยวตาไปยกมาให้"
เมื่อขนมมาถึง ฝ่ายนั้นก็ทำสีหน้าปลื้มเปรม ก่อนจะหยิบใส่ปากด้วยท่าทางหิวจัด
"โอย หอม อร่อย นุ่ม" คนกินยกนิ้วโป้งให้เป็นทีชม พูดอู้อี้เพราะขนมยังเต็มปาก
รตาหัวเราะเบาๆ รู้สึกผ่อนคลายขึ้นจนเกือบจะเป็นสุข ยามนี้ช่างเหมือนกับเวลาที่เธอกับภาวัตนั่งลงทำอะไรกินกัน แล้วคุยกันสนุกๆ ไปเรื่อยๆ อย่างที่ผ่านมานั่นเอง เพียงแต่ภาวัตไม่เคยชื่นชมฝีมือทำอาหารของเธออย่าง"โอเว่อร์"อย่างผู้ชายคนนี้ อาจเป็นเพราะเขาเองเป็นผู้ชายแข็งๆ ด้วยอย่างหนึ่ง และคงเพราะเธอทำอะไรก็อร่อยสู้เขาไม่ได้อีกอย่างหนึ่งนั่นแหละ เพราะไม่ว่าเธอจะทำอะไร เขาจะขอชิมก่อน และเป็นผู้ปรุงให้ทุกครั้ง จนในที่สุดแล้วก็เป็นรสมือเขานั่นแหละ ไม่ใช่ของเธอ
ทำไมเธอต้องมานั่งเปรียบเทียบผู้ชายสองคนนี่ด้วยนะ มันไม่เข้าท่าที่สุดเลย คนคิดส่ายหน้ากับตัวเอง
"ไปกินข้าวข้างนอกกันนะ เราจองร้านไว้แล้ว" เสียงคนตรงหน้าเธอชวน
"อ้าว" รตาอุทาน แต่ก็บอกเขาไม่ได้อยู่ดี ว่าเธอซื้ออาหารสดมาเตรียมไว้แล้วตั้งแต่ตอนกลางวัน
เธอช่างคิดไปได้ ว่าเขาจะเหมือนภาวัต ที่ชอบเข้าครัวทำกับข้าวแปลกๆ คนตรงหน้าเธอคนนี้เป็นพระเอกยอดนิยมนี่นะ เขาก็คงชอบอะไรหรูๆ เกินกว่าจะมานั่งดินเนอร์ในอพาร์ทเมนต์แคบๆ ของเธอแน่นอนอยู่แล้ว
เธอก้มลงมองตัวเอง ก่อนจะพึมพำ
"ตาคงต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เนศรอได้มั้ย จองร้านไว้กี่โมงน่ะ"
ธเนศกวาดสายตาดูทั่วตัวเธอบ้าง ก่อนจะบอกง่ายๆ
"ชุดนี้ก็ได้นี่ สวยดีออก" เขาหมายถึงเสื้อแขนกุดคอเชิ้ตสีครีม มีลายดอกไม้เล็กๆ สีสดใสประดับที่ปก และกระโปรงผ้าฝ้ายสีชมพูหม่นยาวแค่เข่าของเธอ ซึ่งรตาคิดว่ามันเหมาะจะใช้เป็นชุดอยู่บ้าน ที่ใช้ใส่รับแขกได้ไม่อายอะไรนัก แต่ถ้าต้องออกไปนอกบ้านละก็ มันจะดูกะโปโลไปหน่อยไหม ยิ่งถ้าไปกับพระเอกยอดนิยม คนเขาจะนึกว่าธเนศพาเด็กโทรมๆ ที่ไหนมาดินเนอร์
"ไม่ไหวมั้ง ผมก็ไม่ได้ทำ หน้าก็ไม่ได้แต่ง" รตาพูดอ่อยๆ หากอีกฝ่ายยิ้มกว้าง เหมือนเห็นเป็นเรื่องขำขันจริงๆ จังๆ
"ไม่เป็นไรหรอกน่าตา นี่เราจะไปกินกันที่ร้านธรรมดาๆ นะ ร้านของเพื่อนเราเอง ไม่ใช่โอเรียนเทล" เขาบอกล้อๆ "ไม่ต้องใส่อีฟนิ่งเดรสหรอก เพราะเราเองก็ไม่ได้เอาทักซิโดมาซะด้วย"
รตาค้อนเขาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะบอกประชดๆ
"ย่ะ ไม่อยากให้เสียชื่อพระเอกดังหรอกนะ ว่าพายายเพิ้งที่ไหนไม่รู้ไปดินเนอร์"
คราวนี้ฝ่ายนั้นหัวเราะเต็มเสียง รุนหลังเธอให้เข้าห้องไปเตรียมตัวเสียที ก่อนจะบอกไล่หลังมาว่า
"ตามใจตานะ จะเปลี่ยนชุดหรือไม่เปลี่ยน แต่เร็วๆ แล้วกัน ถ้าช้าจะเข้าไปช่วยแต่ง"
สุดท้ายรตาจึงได้แต่ล้างหน้าล้างตา แล้วแต่งหน้าเพียงอ่อนๆ ให้เข้ากับชุด ไม่มีเวลาเลือกชุดอื่นเพราะคนนอกห้องตะโกนเรียกอยู่ทุกๆ สองนาที
"เห็นมั้ย แค่นี้ก็สวย" เขาบอกเสียงหวาน นัยน์ตากรุ้มกริ่ม เมื่อเธอเปิดประตูออกมา
แววตานั้นทำให้สีชมพูซ่านขึ้นบนใบหน้ารตาอย่างช่วยไม่ได้
ฉันมีความสุข รตาบอกตัวเอง แม้ในใจลึกๆ จะยังมีความเป็นห่วงภาวัตแวบวาบ หากสเน่ห์ของคนตรงหน้าทำให้เธอลืม หรือไม่ก็เก็บความเป็นห่วงนั้นไว้ชั่วคราว
ถึงเวลาแล้วใช่ไหมที่เธอต้องเลือก หญิงสาวถามตัวเองเผลอๆ เมื่อนั่งรถไปกับธเนศ ฟังฝ่ายนั้นคุยให้ฟังถึงเรื่องราวในกองถ่ายอย่างสนุกสนาน อยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้มีแต่เรื่องรื่นเริง อีกครั้งที่เธอนึกเปรียบเทียบกับสีหน้าเหน็ดเหนื่อยของภาวัตเมื่อตอนเย็น ก่อนจะถอนใจ นี่ทำยังไงฉันถึงจะหยุดเปรียบเทียบผู้ชายสองคนนี้ได้เสียทีนะ !
อาหารมื้อนั้นเป็นไปอย่างเรียบง่าย ด้วยตัวร้านเป็นร้านเล็กๆ อยู่ลึกเข้าไปในซอย บรรยากาศร่มรื่นเพราะคนเป็นเจ้าของใช้เพียงมุมเล็กๆ ในบริเวณบ้านของตัวเองเปิดร้าน ไม่ได้หวังกำไรมากมาย เพียงแต่เอาไว้ให้เป็นที่สังสรรค์ของเพื่อนฝูงมากกว่า
อาหารอร่อยสมกับที่ธเนศคุยไว้ รตาคงเพลิดเพลินกับสิ่งรอบข้างได้อีกนาน หากจะไม่มีแสงวาบเข้าตา เสียงอะไรบางอย่างของกล้องถ่ายรูป แล้วธเนศก็ลุกขึ้น ตะโกนให้คนในร้านจับตากล้องปาปารัชชี่คนนั้นไว้
หากก็ไม่ทัน รตานั่งตะลึง รู้ว่าอีกไม่นาน หรืออาจจะพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ เธอจะได้เป็นข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์อย่างแน่นอน วูบแรกเธอกังวล หากแล้วก็ถอนใจ เมื่อบอกตัวเองว่าภาพที่ออกมาคงไม่น่าเกลียดนักหรอก เพราะเธอกับเขานั่งกินข้าวกันตามปกติเหมือนเพื่อนธรรมดาๆ นี่นะ มิใช่กอดจูบกันอยู่เหมือนที่ช่างภาพชอบไปแอบถ่ายมาลง
ธเนศมาส่งเธอที่อพาร์ทเมนต์ด้วยท่าทางแจ่มใสไม่ต่างจากตอนมารับ แต่รตาก็ยังเห็นแวววิตกกังวลในดวงตาพราวระยับคู่นั้น ข่าวคงมีผลกระทบกับเขามากกว่าเธอ หากธเนศก็ยังปลอบเธออย่างอ่อนโยน
"ตาไม่ต้องกลัวนะ เราจะไม่ให้มีผลกระทบมาถึงตา"
ประโยคนั้นเธอน่าจะอุ่นใจเมื่อได้ฟัง หากอะไรบางอย่างในน้ำเสียงนั้นกลับทำให้เธออ่อนล้าอย่างประหลาด ในเมื่อดาราเป็นคนของประชาชน ประชาชนทั่วไปก็ย่อมอยากรู้เรื่องของดาราเป็นธรรมดา แต่หากว่า "ดารา" คนนั้นไม่ปรารถนาจะเปิดเผยชีวิตส่วนตัวให้ใครรับรู้ เธอเองซึ่งอาจจะเป็นความ "ส่วนตัว" ในแง่มุมหนึ่งของชีวิตเขา ก็คงต้องโดนปกปิดด้วยเช่นกัน ชีวิตอย่างนั้นมันจะมีความสุขไหมนะ รตาถามตัวเอง
น่าแปลกที่เมื่อธเนศกลับไป แทบจะเรียกได้ว่ายังไม่ทันลงลิฟท์ไปถึงชั้นล่าง เธอกลับกดโทรศัพท์ไปหาภาวัตในทันที ทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่ได้นึกถึงเขาเลย ตลอดเวลาหลายชั่วโมงที่ผ่านมา
หากแล้วก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อฝ่ายนั้นปิดเครื่อง ทั้งที่ภาวัตไม่เคยปิดโทรศัพท์ เพราะธุรกิจของเขาต้องมีการติดต่อโน่นนี่อยู่ตลอดเวลา
เขาเป็นอะไรไปนะ? รตาคิดอย่างวุ่นวายใจ นี่เธอละเลยเขามากเกินไปหรือเปล่า ออกไปดินเนอร์กับผู้ชายคนอื่น ทั้งที่ว่าที่คู่หมั้นดูเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ
คนคิดกระวนกระวายได้แต่รอ กดโทรศัพท์ซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นจนหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน บอกตัวเองว่าพรุ่งนี้ค่อยไปหาเขาที่บ้านก็แล้วกัน..
--------------------------------------
จากคุณ :
โยษิตา
- [
31 ส.ค. 48 00:51:47
]