CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    แม่ค้าขนมหวาน ตอน ๓

    แม่ค้าขนมหวาน ตอน ๓ (ปะทะและจูบแรก)


    ตอนสายๆ ใบไผ่ควบรถกระบะคันเก่าที่ใช้งานในสวนมากว่าสิบปี สภาพจึงยิ่งกว่าคำว่าโทรม สีตัวรถถลอกปอกเปิกมีรอยบุบอยู่หลายรอย ความจริงที่บ้านมีกระบะสองตอนที่เพิ่งซื้อได้ปีกว่าอีกคันแต่ใบไผ่เลือกเจ้าแก่ที่หล่อนเห็นมันมานาน แม้สะภาพมันจะเก่าแต่เครื่องยนต์ก็ยังดีอยู่

    ใบไผ่นิ่วหน้าน้อยเพราะความไม่ถนัดกับรถพวงมาลัยขวา หล่อนคุ้นกับพวงมาลัยด้านซ้ายที่ใช้อยู่เป็นประจำมากกว่าเจ็ดปีมากกว่า หวังว่า...มันคงไม่มีปัญหาอะไร

    หล่อนยืมรถคันนี้ออกมาเพื่อที่จะไปหาซื้อเสื้อผ้าและของใช้ เพราะเสื้อผ้าที่ใช้เป็นประจำหล่อนก็บริจาคให้กับคนงานที่โน่นหมดแล้วเหลือมาเพียงชุดเดียว ส่วนเสื้อผ้าที่มีอยู่ที่บ้านบ้างก็ล้วนแล้วแต่ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพของคุณครูจิตรา

    จำได้ว่ามีศูนย์การค้าตั้งอยู่ไม่ห่างจากบ้านสวนนัก

    บ้านสวนของหล่อนได้ชื่อว่าอยู่ในเขตกรุงเทพก็จริงแต่ว่าอยู่แถวเขตรอบนอกที่แทบจะเรียกว่าว่าบ้านนอกได้ทีเดียว จึงยังมีสวนและไร่นาให้เห็นอยู่เป็นระยะ แต่ความเจริญก็ไม่ได้หยุดยั้ง เริ่มจากมีศูนย์การค้าอันเป็นแหล่งชุมนุมของคนทุกวัย บ้านจัดสรรหลายโครงการ โรงเรียนชื่อดังที่ขยายสาขามายังแถวนี้ ทำให้เขตที่เป็นตลาดหรือแหล่งค้าขายขยายตัวยิ่งขึ้นจากผู้คนที่มากขึ้น

    นอกจากซื้อของแล้ว ใบไผ่ก็ตั้งใจจะลองสำรวจดูว่าแถวๆ นี้มีพวกร้านอะไรอยู่บ้างแล้ว ท่าทางแต่ละร้านเป็นยังไงบ้าง ความเป็นไปได้ของร้านที่หล่อนคิดจะทำเป็นยังไง

    ถนนละแวกนี้ไม่กว้างนักแค่พอที่รถจะสวนกันได้แต่ต้องระวังๆ กันหน่อย ใบไผ่ขับรถมาอย่างสบายอารมณ์เพราะแทบไม่มีรถสวนมาเลย มีเพียงรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่อยู่ข้างหน้า หล่อนมองข้างทางอย่างเพลิดเพลินกับสวนผลไม้สลับกับบ้านทั้งเรือนไทยแบบบ้านหล่อนและบ้านแบบสมัยใหม่

    รถคันข้างหน้าขับช้าๆ ทำให้ใบไผ่เริ่มทนไม่ไหว หล่อนเร่งเครื่องเพื่อจะแซงรถคันข้างหน้าโดยไม่ทันดูว่าข้างหน้ามีถนนมาบรรจบกับถนนที่หล่อนใช้อยู่...

    รถของใบไผ่คงผ่านไปด้วยดีถ้าสามแยกข้างหน้าไม่มีรถเลี้ยวออกมา และหล่อนไม่ได้ขับรถแซงตามด้านที่เคยชินมาตลอดเจ็ดปี

    ใบไผ่เหยียบเบรกสุดชีวิต...

    เอี๊ยด...โครม....

    ตาย... ใบไผ่ครางในใจ

    หางตาหล่อนเห็นรถเก๋งคันนั้นขับผ่านไปอย่างไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น

    หญิงสาวสำรวจตัวเองว่าไม่มีส่วนไหนบุบสลาย แล้วค่อยๆ หันไปมองคู่กรณี... ใบไผ่กลืนน้ำลาย รถคันใหญ่สีดำเป็นมันวับแบบที่เด็กสามขวบก็รู้ว่าราคามหาศาลแค่ไหนถูกเจ้าแก่ของหล่อนจิ้มเข้าให้

    โอ๊ย...ทำไมซวยอย่างนี้วะไอ้ไผ่

    ใบไผ่สูดลมหายใจเฮือกใหญ่...ก่อนจะแงะตัวเองลงจากเจ้าแก่

    ด้านหน้าของเจ้าแก่ของหล่อนบุบไป ส่วนเมอสิเดสคันงามมีแค่รอยถลอกแสดงว่าฝ่ายนั้นหักหลบได้ทันแต่ก็มีร่องรอยให้เห็นอยู่บ้าง

    ตายแหง... ยังไงหล่อนก็ผิดล่ะงานนี้ ถึงเจ้าแก่ของหล่อนจะเสียหายมากกว่าก็ตาม

    ร่างสูงสองร่าง คนหนึ่งสูงผอมส่วนอีกคนสูงล่ำสันทว่าแต่งกายเหมือนกันคือสูทสีดำสนิทก้าวลงมาจากตอนหน้าของรถ สายตาเย็นชาสำรวจร่องรอยที่เกิดขึ้น

    ใบไผ่กลืนน้ำลาย...หล่อนเห็นเงารางๆ นั่งอยู่ที่เบาะหลังซึ่งคงจะเป็นเจ้าของรถหรูคันนี้มากกว่าเจ้ายักษ์สองตัวที่ลงมา ใบไผ่บอกตัวเองได้ว่าเจ้ายักษ์สองตัวนี้เห็นจะไม่ใช่แค่คนขับรถเฉยๆ

    “ง่า...” ใบไผ่ไม่รู้จะเอ่ยยังไง

    “คุณขับรถชนรถของเรา” ยักษ์ตัวหนากว่าเอ่ยขึ้น

    “ก็...ไม่ได้ตั้งใจนะ แบบว่าอุบัติเหตุ”

    “ฮึฮึ... นายแซงซ้าย...ขับรถไม่ได้เรื่อง”

    ใบไผ่หน้าแดงขึ้นไม่ใช่อาย แต่ด้วยความโกรธ ระงับคำพูดที่ว่าหล่อนชินกับการแซงซ้ายไว้ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์ ตามกฎหมายเมืองไทยหล่อนผิดเต็มๆ

    “แล้วคุณจะเอาไง...ว่ามาสิ”

    ยักษ์สองตัวเลิกคิ้วเมื่อเห็นเจ้าเด็กหนุ่มผมยุ่งหน้าตามอมๆ กระชากเสียงขึ้น

    “เรียกประกัน...” เขาปรายตามองเจ้าแก่ที่บังอาจมาชนรถหรูอย่างไม่เจียม

    ใบไผ่อึกอัก ก็เจ้าแก่ของหล่อนมีแค่ประกันชั้นสามเท่านั้นล่ะมั้ง

    “ว่าไง...หรือไม่มี จะได้เรียกตำรวจแทน”

    ใบไผ่เม้มริมฝีปาก เอาวะ...

    “รถฉันแค่ประกันชั้นสาม เรียกมาก็เสียเวลา”

    อีกฝ่ายยักไหล่ ทำให้หญิงสาวรู้สึกคันมือคันไม้ตงิดๆ

    “เอาเป็นว่าฉันรับผิดชอบค่าซ่อมแล้วกัน” ถึงมันจะแพงหูดับตับไหม้ก็เถอะ ใบไผ่พูดอย่างตัดใจ... กลับบ้านจะให้หลวงพ่อที่วัดรดน้ำมนต์แก้ซวย... ไม่เอา...ขอมาอาบเลยดีกว่า

    “รถเป็นรอยขนาดนี้ก็ต้องเข้าอู่ซ่อม”

    ใบไผ่พยักหน้าแห้งแล้ง เหลือบมองบาดแผลของรถคันหรูแล้ว...ไหนจะต้องซ่อมเจ้าแก่ของหล่อนอีก โธ่เอ๊ย... เอาไงดีวะ

    จริงสิ...ไอ้เม่น...

    ไอ้เม่น...เอ๊ย...พ่อมันเป็นเจ้าของโชว์รูมแล้วก็อู่ซ่อมรถหรูๆ อย่างนี้นี่

    “ก็ได้...แต่ต้องเป็นอู่ที่ฉันเลือก...”

    “ไม่ได้... รถคันนี้มีอู่ประจำอยู่แล้ว”

    “ก็ไม่ได้เหมือนกัน...ฉันเป็นคนจ่ายนี่ฉันก็ต้องเป็นคนเลือกอู่สิ... ถ้าเอาตามพวกคุณแล้วคิดราคาเกินจริงฉันก็แย่น่ะสิ”

    “นี่แก...” ยักษ์ร่างผอมกว่าสะอึกเข้ามากำลังจะเอื้อมมือคว้าคอเสื้อเจ้าหนุ่มตัวผอมๆ แต่ดูเหมือนจะปากกล้า

    ใบไผ่ไม่ได้ตั้งใจ...แต่ทำตามสัญชาตญาณและการฝึกฝนที่ทำมาตั้งแต่เด็กจนโต

    จับมือที่จะมากระชากเสื้อหล่อนบิดอย่างเร็วและแรงส่วนอีกมือจับเสื้อมันกลับ อาศัยจังหวะหมุนตัวเป็นแรงส่งทุ่มเจ้ายักษ์ลงไปกับพื้น

    วิชญ์กระพริบตาเมื่ออยู่ๆ เพื่อนรักก็ลงไปนอนแอ้งแม้งกับพื้น...โดยฝีมือเจ้าหนุ่มหัวยุ่งผอมๆ คนหนึ่ง เขาเห็นเพื่อนรักที่ร่วมงานกันมานานกระพริบตางงๆ

    “แน่มากเจ้าหนุ่ม...”

    ใบไผ่ขยับตัวถอยหลัง

    “ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ...หมอนั่นจะเล่นงานฉันก่อน”

    “เกิดอะไรขึ้น...วิชญ์...ทศ” เสียงห้าวทุ้มดังแทรกขึ้นมา

    ใบไผ่หันไป... นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเบิกค้าง

    ร่างสูงพอๆ กับเจ้ายักษ์ทั้งสองนั่นเลย แต่รูปร่างกลับดูเพรียวแบบคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำไม่เทอะทะอยู่ในสูทธุรกิจหรูที่เหมาะกับรูปร่างอย่างน่าประหลาด

    ใบไผ่สบกับนัยน์ตาคมกริบสีเข้มราวกับท้องฟ้ายามกลางคืนที่แสนลึกลับ

    หญิงสาวสะบัดศีรษะให้หายจากมนตราที่ออกมาจากร่างสูงใหญ่นั้น

    “ว่าไง...วิชญ์” เขาหันไปถามคนของเขา และปลายตามองลูกน้องอีกคนที่ลุกขึ้นมาจากพื้น

    ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ทุ่มทศพลที่ใหญ่กว่าเท่าตัวลงไปกองได้

    “เจ้าหนุ่มคนนี้มันขับรถแซงซ้ายมาครับ...เลยมาชนกับรถเรา กำลังเจรจากันอยู่ก็มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย” วิชญ์ปรายตาห้ามคู่หูที่ทำท่าฮึดฮัดจะเอาคืน

    “ฉันเสนออู่ที่ฉันรู้จัก...ลูกน้องคุณไม่ยอม”

    วชรวรรษเลิกคิ้ว เขาเหลือบมองรถเก่าที่น่าจะเอาไปปลูกสะระแหน่เสียมากกว่าแล้วย้อนมาที่ร่างผอมบางในชุดยีนส์กับเสื้อเชิ้ตเก่าๆ

    ใบไผ่หน้าเข้ม...

    “ฉันรับรองว่าเป็นอู่ดี อู่ธนกิจจาน่ะรู้จักไหม...แต่ขอโทรหาเพื่อนก่อน” หล่อนบอกตัวเองว่าไม่ชอบสายตาเหยียดๆ ของนายหัวหน้านี่จริงๆ

    ชายหนุ่มเลิกคิ้ว... อู่ธนกิจจา เป็นอู่ที่ใหญ่มากและมีช่างมือดีมากมาย

    หล่อนล้วงกระเป๋าหนังอันเก่าที่ใช้มานานออกมาจากกระเป๋ากางเกง ค้นหาเศษกระดาษอยู่ครู่ก่อนงัดกระดาษที่ดูยับเยินออกมา เหลียวหาตู้โทรศัพท์ซึ่งไม่เห็นวี่แววของมันเลย ก็ปกติอยู่ที่โน่นหล่อนใช้เป็นวิทยุสื่อสาร นานๆ จะกลับบ้านสักทีโทรศัพท์มือถือจึงไม่มีความจำเป็น แต่นี่สงสัยจะต้องหามาติดตัวสักเครื่อง

    โทรศัพท์ขนาดเล็กบางเฉียบรุ่นล่ายื่นมาตรงหน้า

    ใบไผ่เงยหน้ามองดวงหน้าคมคายหากดูกระด้างเพราะนัยน์ตาแข็งๆ ของเจ้าตัว

    วชรวรรษกอดอกมองเจ้าหนุ่มที่กำลังโทรศัพท์อย่างเงียบๆ ความจริงเขาไม่สนใจเรื่องเงินอะไรนี่หรอกเพราะแน่ใจว่าเจ้าหนุ่มนี่คงไม่มีปัญญาจ่ายถ้าเขาจะเรียกเงินค่าซ่อมจากมันจริงๆ แต่เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าที่มันคุยน่ะจะแค่ไหน

    “เออ...ไอ้เม่น นี่ฉันเอง...”

    “ก็ฉันน่ะซิ... พ่อเอ็งไง เออ...กลับมาตั้งแต่เมื่อวาน มีเรื่องกวนแกหน่อย...”

    ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อเห็นร่างผอมสูงที่เขาคิดแต่แรกว่าเป็นเด็กหนุ่มหน้ามน ขยับตัวไปมาขณะโทรศัพท์ทำให้เขาเห็นร่องรอยภายให้เสื้อเชิ้ตสีเข้ม

    เจ้าหนุ่มนี่... เป็นผู้หญิงแฮะ...

    รู้สึกว่าลูกน้องทั้งสองของเขาจะยังไม่รู้...

    ไม่งั้นทศพลคงแทบคลั่ง... ถ้ารู้ว่าตัวเองถูกผู้หญิงทุ่มลงไปกองกับพื้น

    “เออ... ข้าขับรถชนกะเบนซ์... ฝากให้อู่ป๋าแกซ่อมให้หน่อยดิ”

    อีกผ่ายพูดอะไรมาเขาไม่รู้แต่เห็นหล่อนทำท่าเหมือนอยากบีบคอใครสักคน

    “เออ...ก็ข้าชินนี่หว่าตอนอยู่โน่นข้าก็ขับอย่างงี้ ใครจะนึกว่ามันซวยแบบนี้วะ เออ...แกรีบมาเหอะ”

    ใบไผ่ปิดโทรศัพท์แล้วส่งให้เจ้าของซึ่งตีหน้าเฉยอยู่

    “เดี๋ยวเพื่อนฉันมา”

    “แต่ฉันไม่มีเวลา...”

    “อ้าว...ตกลงจะเอาไง”

    ริมฝีปากสวยแบบที่ผู้หญิงอยากได้นักแย้มน้อยๆ

    “เอาเป็นว่าซ่อมใครซ่อมมันก็แล้วกัน...รอยแค่นี้”

    “แล้วนี้ให้ฉันโทรหาเพื่อนทำหอกอะไร” ใบไผ่เอ่ยเคืองๆ ไม่สนใจแล้วว่าตรงหน้าคือผู้ชายตัวใหญ่ๆ สามคนที่ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คนเดินถนนธรรมดา

    “เอาเป็นว่า...ฉันขอค่าซ่อมเป็นอย่างอื่นก็แล้วกัน”

    “อะไรอีกล่ะ...”

    ใบไผ่เงยหน้าขึ้น...สบกับนัยน์ตาสีเข้มที่มีแววประหลาด

    หล่อนถอยหลังไม่ทันเมื่อมือแข็งแรงดึงร่างหล่อนไปปะทะอกกว้าง

    วิชญ์และทศพลเบิกตากว้าง อ้าปากร้องไม่มีเสียงเมื่อเจ้านายคว้าร่างเด็กหนุ่มมาจูบ

    ใบไผ่ร้องไม่ออกเมื่อริมฝีปากเย็นเฉียบฉกลงมาอย่างรวดเร็ว มือไม้แทบไม่มีแรงเมื่ออยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงราวกับปลอกเหล็ก ศิลปะป้องกันตัวทุกแขนงที่ร่ำเรียนมาจนเชี่ยวชาญไม่สามารถงัดออกมาใช้ได้ ได้แต่รู้สึกถึงริมฝีปากที่เคลื่อนไหวอย่างเร่าร้อน ดูดดื่ม จนแทบไม่สามารถหายใจได้

    วชรวรรษปล่อยร่างบางออก นัยน์ตาคมกริบวาบขึ้นอย่างพอใจเมื่อเจ้าหล่อนเซน้อยๆ ไปปะทะหน้ากระโปรงรถสุดโทรมของหล่อน และนั่งแปะลงอย่างหมดแรง

    “ไป...วิชญ์...ทศ”

    รถสีดำคันหรูแล่นออกไปแล้วแต่ใบไผ่ก็ยังไม่สามารถลุกจากกระโปรงรถได้ ราวกับเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกดูดออกไปโดยผ่านทางริมฝีปาก... ใบไผ่ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากที่ตอนนี้รู้สึกระบมนิดๆ พยายามไม่สนใจหัวใจที่เต้นรัวแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

    อย่าให้รู้นะว่าแกเป็นใคร...

    ใบไผ่อาฆาตในใจ




    .................. จบตอน ๓ .........................

    จากคุณ : ฬีฬา - [ 1 ก.ย. 48 14:18:44 A:161.200.102.103 X:161.200.255.163 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป