ด้วยเห็นว่า บทความนี้น่าสนใจ บวกกับมิตรในถนนท่านหนึ่งกำลังต้องการข้อมูลด้านนี้ และคิดว่าคงจะเป็นประโยชน์กับหลายๆ ท่านที่รักการเขียน เลยขออนุญาตตั้งเป็นกระทู้ต่างหากซะเลยนะครับ
และด้วยกระแสซีไรต์ยังไม่จาง กับคำถามที่บางคนฉงนว่า กรรมการเขาเจออะไรในซีไรต์ จึงตัดสินเรื่องนั้นๆ ให้ได้รับรางวัล บทความนี้น่าจะช่วยให้ความกระจ่างได้ส่วนหนึ่ง
อนึ่ง ต้องขอออกตัวไว้ก่อนสำหรับคำผิดคำพลาดที่เกิดขึ้น แม้จะพยายาม "ตะบี้ตะบัน" พรมนิ้วให้ถูกต้องตามต้นฉบับทั้งหมดแล้ว ก็ยังอาจมีคำผิดคำพลาดเกิดขึ้น ผู้คัดเลือกคนนี้ของน้อมรับผิดโดยดุษณี
*************************************************************
ศิลปะการเปิดเรื่อง
ใน
การอ่านปุริมบทนวนิยาย
************************************************************
ถ้าจะขึ้นต้นบทความนี้ว่า นวนิยายเริ่มต้นเรื่องอย่างไร หรือผู้แต่งเริ่มต้นนิยายอย่างไร ผู้อ่านก็คงจะเข้าใจชื่อบทความเรื่องนี้ ปุริมบทหมายถึง ตอนต้น หรือตอนต้นๆ ของนวนิยาย โดยปกติแล้วผู้แต่งจะอาศัยเสียงผู้เล่าเรื่องนำผู้อ่านเข้าสู่ตัวบทด้วยการตอบคำถามสามประการ ได้แก่ เมื่อใด (เวลาที่เกิดเรื่อง) ที่ไหน (สถานที่ที่เกิดเรื่อง) และใคร (ตัวละคร)
ที่เรียกว่าตอนต้น หรือตอนต้นๆ หรือปุริมบทนั้น จะตัดตอนที่ตรงไหน ไม่มีคำตอบตายตัว ปุริมบทอาจยาวเพียงแค่หนึ่งย่อหน้า หนึ่งหน้า หรือหลายหน้า หรือบทแรกทั้งบท ปุริมบทอาจตอบคำถามทั้งสามประการไม่ครบ ผู้อ่านอาจทราบว่าเรื่องเกิดที่ใด ตัวละครเป็นใคร แต่ไม่ทราบว่าเรื่องเกิดเมื่อใดก็ได้ หรืออาจจะทราบตัวละคร ทราบเวลา แต่ไม่ทราบสถานที่ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้แต่งว่าจะให้ทราบแต่แรก (ในช่วงปุริมบท) หรือในภายหลัง ให้ทราบโดยบอกชัดเจน หรือบอกอย่างคลุมเครือ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้อ่านที่จะปะติดปะต่อข้อมูลขึ้นเอง
เคยมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า โดยทั่วไปแล้วนวนิยายผูกเรื่องขึ้นโดยอาศัยมิติเวลา ส่วนภาพวาดนั้นอาศัยมิติสถานที่ แน่ละงานศิลปะทั้งสองประเภทนี้ ย่อมผูกพันกับมิติทั้งสองในงานชิ้นเดียวกันได้ แต่โดยที่มิติเลาจะปรากฏเด่นชัดในนวนิยาย ในการศึกษาปุริมบท คำถามแรกจึงเป็นคำถามเกี่ยวกับเวลา
การเล่าเรื่องก็คือการนำเรื่องทีเกิดขึ้นแล้วในอดีตมาเป็นเรื่องเล่าในเวลาปัจจุบัน มิติเวลาและเรื่องเล่าจึงมีความเกี่ยวพันกันอย่างยิ่ง นวนิยายเรื่องหนึ่งๆ ย่อมแสดงช่วงเวลา (ชีวิตทั้งชีวิตของแม่พลอยในสี่แผ่นดิน ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เวลาสองวันกันหนึ่งคืน ใน ทางเสือ ของศิลาโคมฉาย ช่วงเวลา 2-3 ชั่วโมง ในการดูละครเรื่องหนึ่งใน เวลา ของ ชาติ กอบจิตติ) แต่มิติเวลาที่ปรากฏในปุริมบทนั้น เป็นเรื่องของชั่วขณะที่เริ่มเรื่องเล่า และของความห่างของช่วงเวลา กล่าวคือ ความห่างระหว่างเวลาที่เรากำลังอ่านนวนิยายกับเวลาที่เขียนหรือตีพิมพ์นวนิยาย และเป็นความห่างระหว่างเวลาขณะเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นจริงกับเวลาที่ผู้เล่าเรื่องนำมาเหล่า
คำพูน บุญทวี ขึ้นต้น ลูกอีสาน ของเขาดังนี้
๔๗ ปี ครั้งกระโน้น... มีเรือนเสาไม้กลมหลังหนึ่ง ยืนอาบแดดอันระอุอ้าวอยู่ใต้ต้นมะพร้าวอันสูงลิ่ว ยามลมพัดฉิวมาแรงๆ ผู้เป็นพ่อจะบอกลูกเล็กทั้ง ๓ คน ให้รีบลงไปอยู่ที่อื่น มะพร้าวต้นนี้อาจจะหักลงมาทับเรือนเอาก็ได้ เด็กๆ ที่อยู่บนเรือนอาจจะแขนขาหัก
ถ้าลมพัดไม่แรงนัก เด็กทั้งสามก็จะพากันนอนฟังเสียงซู่ซ่าตามข้างฝาและมองหลังคาสายตาเขม็ง ฝากั้นตับหญ้าคามุงหลังคาถูกแดดเผาจนแห้งกรอบ เมื่อโดนลมพัดมันจึงมีเสียงซ่าๆ ถ้ามีเสียงพ่อบอกว่า แล่นลงไปไวๆ ก็จะได้วิ่งลงไปเร็วที่สุด...
ผู้แต่งขึ้นต้นเรื่องคล้ายนิทาน ในกาลครั้งหนึ่ง ยังมีปราสาทหลังหนึ่ง ในที่นี้เป็น ๔๗ ปีครั้งกระโน้น....มีเรือนเสาไม้กลมหลังหนึ่ง ผู้แต่งไม่ได้เขียนว่า เมื่อ ๔๗ ปีที่แล้ว ในครั้งกระโน้น แต่ก็พอจะอ่านความได้เช่นนั้น การขึ้นต้นทำนองนิทานนี้ อาจเป็นเพราะตัวละครเอกของเรื่องเป็นเด็กชายตัวน้อยๆ
นวนิยายเรื่องนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารฟ้าเมืองไทยรายสัปดาห์ และพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ โดยสำนักพิมพ์บรรณกิจ จากวลีแรกของนวนิยาย ๔๗ ปี ครั้งกระโน้น เมื่อบวกลบตัวเลขแล้วก็พอจะตีความได้ว่าเรื่องเกิดประมาณ พ.ศ. ๒๔๗๒
พ.ศ. ๒๔๗๒ ให้ความหมายแก่ผู้อ่านมากมาย เรื่องเกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีพ.ร.บ.ว่าด้วยการศึกษาทวยราษฎร์แล้วแต่การกระจายการศึกษายังไม่ทั่วถึงทั้งประเทศ สถานศึกษาส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัด ถนนหนทางยังมีไม่มาก การคมนาคมในชนบทยังอาศัยเกวียน และเมื่อนำมิติเวลามาผูกพันกับมิติสถานที่ ในที่นี้คืออีสาน สภาพชีวิตในนวนิยายก็เด่นชัดขึ้น ความแห้งแล้ง ความร้อนการขาดแหล่งน้ำ สภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศของอีสานเป็นสิ่งอธิบายคุณภาพชีวิตของคนอีสานเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ ได้อย่างดี ในขณะเดียวกัน ผู้อ่านที่อ่านเรื่องนี้ใน พ.ศ. ๒๕๓๗ ย่อมมีภาพ อีสานเขียว อยู่ในใจที่ต่างไปจากผู้อ่านใน พ.ศ. ๒๕๑๙
ผู้เล่าเรื่องไม่ได้ระบุเวลาเริ่มต้นเรื่องชัด ผู้อ่านทราบเพียงแต่ว่ามีแดดจัดแล้วเด็กๆ นอนในเรือน คน ที่รู้จักอีสานย่อมรู้ว่าในช่วงแดดจัดนั้นไม่มีอะไรจะดีกว่าการนอนพักหลบแดดเพื่อสู้กับความร้อนในที่ๆ มีร่มบัง เนื่องจากเรื่องนี้เล่าโดยมีเด็กน้อยเป็นศูนย์กลางของเรื่อง เขากำลังเรียนรู้การดำรงชีวเตจากพ่อ การเล่าจึงผูกพันกับลักษณะเด่นของภาคอีสานคือ ลักษณะภูมิอากาศ เขาจะต้องเรียนรู้การหลบภัยจากธรรมชาตินี้
ชาติ กอบจิตติ ขึ้นต้น คำพิพากษา ด้วยบทนำให้ภูมิหลังตัวละครเอกและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนตอนเริ่มนวนิยาย ในการศึกษาปุริมบทนี้จะศึกษาย่อหน้าแรกๆ ของ บทที่ ๑ ผู้แต่งเริ่มเรื่องดังนี้
ภายในห้องสี่เหลี่ยมมืดสลัว....
หน้าต่างบานแรกเปิดแง้มออกกว้าง แสงสีเหลืองอ่อนสาดส่องเข้ามา เห็นเงารำไรของโต๊ะเรียนรายเรียงเป็นแถว หน้าต่างบานที่สิงเริ่มเปิดออก แสงสว่างเพิ่มมากขึ้น สีสันภายในห้องเริ่มชัดเจนแยกออกจากกันที่กระดานดำ (สีเขียว) หน้าห้องเรียน ด้านบนสุดตามความยาวของกระดานมีตัวอักษรเขียนว้า : วันที่ .......เดือน........พ.ศ. ๒๕..... ด้วยสีขาว รางไว้ชอล์กด้านล่างสุดสีดำ เศษชอล์กแท่งสั้นๆ คลุกปนกับฝุ่นสีขาวอยู่ในราง แสงสว่างเพิ่มขึ้นอีกเมื่อหน้าต่างบานที่สามเปิดออก โต๊ะครูประจำชั้นอยู่ด้านขวาของกระดานดำ เก้าอี้ ถูกดันเก็บไว้ในลักษณะชิดกับตัวโต๊ะ บนโต๊ะมีกล่องชอล์กสีกากี และแจกันแก้วสีแดงซึ่งเสียบไว้ ด้วยดอกเยบิร่าสีแดงคล้ำ ดอกเหี่ยวห้อยกลีบดอกลู่ย้อยลงพาดกันกลางแจกัน แสงสว่างส่องเข้ามาอีก ทำให้เงาของแจกันแก้วที่ระนาบลงบนโต๊ะ มีสีแดงเรื่อเจืออยู่ด้วย มุมห้องด้านหลังชั้นเรียนมีตะกร้าผงไม้กวาด ที่ตักผง วางสงบอยู่ เหนือมุมนี้ขึ้นไปคือหน้าต่างบานสุดท้ายที่กำลังจะถูกเปิดออก....
ปุริมบทนี้ขึ้นต้นด้วยสถานที่ (ห้องสี่เหลี่ยม) และทราบว่าเรื่องเกิดที่โรงเรียน (โต๊ะเรียน กระดานดำ ห้องเรียน) ก่อนที่จะทราบเรื่องเวลา ภายในย่อหน้าเดียวกัน ผู้แต่ได้ระบุเวลาไว้ด้วยตัวหนังสือบนกระดานดำ วันที่.... เดือน.....พ.ศ ๒๕..... ผู้อ่านทราบว่าเรื่องเกิดขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ร่วมพุทธศตวรรษเดียวกับผู้อ่าน เมื่อมาดูปีที่พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๒๔ ก็พอจะตีความได้ว่าเรื่องนี้เกิดใน พ.ศ. ใดก็ได้ระหว่าง ๒๕๐๐ ถึง ๒๕๒๕ ผู้แต่งไม่ต้องการระบุชัดเจน เพราะ โศกนาฏกรรมสามัญที่มนุษย์กระทำและถูกกระทำอย่างเยือกเย็นในภาวะปกติ นี้เกิดขึ้นในเวลาใดก็ได้ เกิดขึ้นซ้ำซากเมื่อใด (และที่ไหน) ก็ได้ทั้งนั้น
เรื่องเริ่มในยามเช้า แสงสีเหลืองอ่อนสาดส่องเข้ามา การเปิดประตุหน้าต่างห้องเรียนเป็นภารกิจที่ระบุเวลาปฏิบัติงาน คือยามเช้า ในย่อหน้าที่ ๒ ถัดมา ผู้แต่งยังได้ระบุเวลาเริ่มนวนิยายอย่างชัดเจนว่า เช้านี้ ในย่อหน้าที่ ๖ ให้รายละเอียดว่า เช้านี้เป็นเช้าที่สดใสอบอุ่นด้วยแสงแดด และในย่อหน้าที่ ๑๑ กล่าวว่า แต่ในตอนนี้ เป็นฤดูหนาว จึงไม่เคร่งครัดอันใดนักกับการล้างเท้า มีการย้อนเวลาในย่อหน้าที่๑๐ เพื่อบอกภารกิจพิเศษเฉพาะฤดูกาลของตัวเอกชาย ถ้าเป็นฤดูฝนฟักต้องยืนประจำเคยเฝ้าอ่านล้างเท้า
กฤษณา อโศกสิน ขึ้นต้น ปูนปิดทอง ดังนี้
บ้านติดลูกไม้ แลเห็นอยู่ตรงนั้น ....ใกล้เนื้อที่ว่างๆ สองสามแปลง แต่ไม่ไกลจากตึกรามขนาดและลักษณะต่างๆ บ้างถูกเรียกว่า บ้านหินอ่อน หรือ บ้านศิลาแลง ตามชนิดของวัสดุก่อนสร้างที่เจ้าของตกแต่งไว้ จนมองปราดก็รู้ว่าเขาชอบอะไรมากที่สุดหรือหายใจเป็นอะไร
แน่เหลือเกินว่า เจ้าของบ้านติดลูกไม้ คงหมายใจเป็นลวดลาย ฉลุสลักของไทยโบราณ บ้านของเขาขาว...ด้วยทรวงทรงงดงาม ไม่เชิงสมัยใหม่อย่างทรงลาดต่ำของบ้านแบบยุโรป มุงหลังคากระเบื้องโมเนียสีต่างๆ เพื่ออวดหลังคา แต่ไม่ใช่เทอะทะอย่างใหญ่เข้าว่า เหมือนบางบ้าน มองดูผาดๆ เหมือนจะเล็ก แต่ความจริงแล้วใหญ่ทีเดียว สูงตระหง่านสง่า มีลูกไม้ติดระบายอยู่รอบชายคา รอบหน้าต่าง และตามโค้งบางโค้ง
มีต้นปาล์มขวด สนฉัตร พุ่มใบของเถาไม้เลื้อย และกิ่งก้านของไม้ยืนต้นอื่นๆ เช่น มะม่วง ประดู่แดง ตาเบบูย่า ฯลฯ โผล่ขึ้นมาให้เห็นทั่วไป
คำในทั้งสามย่อหน้าแรกที่ยกมานี้ระบุสถานที่มากกว่าเวลา อย่างไรก็ตามหลายๆ คำที่ใช้พรรณนาสถานที่ได้บ่งชี้เวลาไว้ด้วย เช่น บ้านหินอ่อน (การสลักหินอ่อนใช้เองในประเทศไทยเกิดขึ้นในระยะเวลาร่วมสมัย) บ้านศิลาแลง (คนโบราณไม่ใช้ศิลาแลงสร้างบ้าน ใช้สร้างวัดหรือวังเท่านั้น) กระเบื้องโมเนีย (วัสดุมุงหลังคานี้ปรากฏในธุรกิจก่อสร้างในช่วงระหว่าง 10-15ปีมานี้...[บทความนี้เขียนเมื่อ พ.ศ. 2538/ผู้พิมพ์]) ตาเบบูย่า (ต้นไม้ชนิดนี้หรือชมพูพันธุ์ทิพย์ ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพัตร เป็นผู้นำเข้ามาในประเทศไทยในช่วง ประมาณ 15-20 ปีที่แล้ว) สรุปได้ว่าเรื่องเกิดขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๒๕ นี้เช่นกัน และเมื่อดูปีที่พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๒๕ ก็ทำให้ทราบว่าเรื่องควรจะเกิดระหว่าง พ.ศ. ๒๕๑๐ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๕
ช่วงเวลาที่เริ่มต้นเรื่องนั้นเป็นเวลาบ่ายจัดแล้ว ผู้เล่าเรื่องระบุไว้ในหน้าที่ ๓ ในคำบรรยายต้นชวนชม ดอกสีชมพูอมแดงบานกระจ่างอยู่ในแสงแดดตอนห้าโมงเย็น และผู้อ่านก็ทราบว่าเรื่องเริ่มในวันศุกร์จากคำพูดของตัวเองชายในหน้าเดียวกันในช่วงต่อมาว่า พรุ่งนี้ยังมีน่านา......วันอาทิตย์อีกทั้งวัน ผู้แต่งเปิดตัวละครเอกชายในบ่ายวันศุกร์หลังเลิกงานเพื่อที่จะให้ผู้อ่านเริ่มรู้จักเขาในด้านชีวิตส่วนตัว
จากคุณ :
SONG982
- [
3 ก.ย. 48 03:19:42
]