ท่ามกลางพื้นท้องฟ้าที่มืดครึ้มลงกะทันหัน
ลมที่หมุนโกรกไปมาทวีกำลังขึ้น เสียงกระแสลมดังอู้ปะทะกันไปมาด้วยแรงพลังที่มีทั้งหมด
ทั้งกาเบียลและอนูบีสซึ่งคืนร่างกลับเป็นเทวะแห่งความตายแล้วแทบจะทรงตัว
ไม่อยู่ เวิ้งฟ้ากว้างเริ่มบีบแคบลง กลายเป็นมิติทับซ้อนที่มืดมนลงทุกขณะ เสียงโห่ร้องคำรามดังขึ้นมาแต่ไกลราวกับมีกองทัพกองใหญ่อันกอปรด้วย
เหล่าขุนพลระดมมาจนมืดขอบฟ้ามัวผืนดิน
"อาคมจงเจริญ... โอ้เทพแห่งดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ขอท่านจงสถิตท่ามกลางเหล่าข้าฯ" เหล่าเสียงนั้น สวดสรรเสริญในปราชญ์แห่งมนตราแทมมอนอยู่ตลอดเวลา
ณ เวลานั้นกาเบียลราวกับปราชญ์ผู้ไร้กองทัพและบริวารผู้สวามิภักดิ์ เสียงสรรเสริญในไสยเวทย์ยิ่งดังเหมือนยิ่งข่มให้ภาษากลายเป็นถ้อยคำที่
ประโลมโลก ไร้ซึ่งภาวะอำนาจและเรี่ยวแรงในการต่อสู้ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องมีเสียงอันหวีดแหลมดังขึ้น เป็นดั่งสัญญาณให้ทุกร่างต้องสำเหนียกและสดับฟังด้วยความตั้งใจ
"ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ อนูบีส"แว่วเสียงเทวีแห่งดินแดนดาวเสาร์ดังขึ้น เสียงนั้นคุ้นไปถึงหัวใจเทพแห่งความตายอย่างอนูบีสเพราะนั่นคือ
สุริยะเทวีนามว่าบาสท์
เมื่อหมอกเมฆจางประกายเนตรแห่งแสงสว่างจึงเริ่มปรากฏขึ้นมา พระร่างแห่งนางมีเศียรดั่งนางสิงห์ผู้สงบคอยซุ่มรอเหยื่ออย่างไม่อาทรร้อนใจ
"มหาปราชญ์กาเบียล.."เทวีบาสท์ก้มศีรษะทำความเคารพ
เทศนาจารย์ผู้ครองรัศมีสีน้ำเงิน
เหล่าสมุนแห่งเทวี กองกำลังอสุรกายร่างยักษ์ นัยน์ตาเดียวต่างพักกระบองไว้ข้างกาย ต่างพร้อมรบในทุกเวลายืนรอรับคำสั่งอย่างสงบ
"มหาปราชย์แทมมอนไม่เคยปรากฏองค์ให้พวกเราได้พบเห็น หากแต่มีเสียงบัญชามายังข้า ให้รั้งท่านไว้ ณ แดนนี้"เทวีบาสท์เอ่ยขึ้น
"เทวี ... แทมมอนเคยรั้งเราไว้ด้วยการปรากฏตัวต่อหน้าอนูบีสเช่นกัน แต่เราไม่อาจขืนคำสั่งพระองค์หญิงได้"
"ท่านกาเบียล หนทางเบื้องหน้าคือพิบัติภัยซึ่งท่านมิอาจล่วงรู้"เทวีบาสท์พยายามเตือน
อีกครั้งหากแต่ไร้ผลเพราะกาเบียลได้แต่เหม่อมองไปที่ปลายขอบฟ้าไกล
"ราวกับชะตาของข้า ซึ่งแม้แต่ตัวข้าเองยังไม่อาจล่วงรู้"
กาเบียลพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หม่นเศร้ามากขึ้น
"แทมมอน ... ขอบใจในความหวังดีของท่าน เมื่อโชคชะตานั้นบังคับให้ท่านและข้าต้องกลับมาเผชิญกันอีก .. จะมีทางใดให้ข้าได้เลือกอีกนอกจากต้องเผชิญชะตากรรมนั้น ท่านเองก็ไม่อาจเลี่ยงได้" กาเบียลตะโกนก้องสู่ผืนฟ้าที่มืดมิดนั้น
"กำลังอันน้อยนิดเช่นนั้นจะสู้ผู้ใดเขาได้" เพียงชั่วครู่กลับมีเสียงโต้ตอบมาจากฟ้ากว้างราวกับสวรรค์กำลังเบิก
แสงสว่างอับอบอุ่นสู่แดนดินที่ระทมทุกข์ด้วยพรากจากเสี้ยวแสงนั้นมาเนิ่นนาน
"มิติแห่งกาลเวลาคงไม่มีความจำเป็นในการจองจำท่านอีกแล้ว โลกของข้าไม่เหมาะกับท่านจริงๆ"
แทมมอนปรากฏร่างขึ้นท่ามกลางประกายแสงสว่างที่แทรกผ่านฟ้ามืดขึ้นมา เสียงโห่ร้องของเหล่าสมุนร่างยักษ์ดังกึกก้องขึ้นมา
"ท่านมาแล้ว มหาปราชญ์แห่งพวกข้า เวทย์มนต์คาถาจงเจริญ"เทวีบาสท์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื้นตัน
"อาคมผู้เคยมืดหม่น มีด้านที่สว่างเช่นนี้ด้วยหรือ?" กาเบียลเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใสขึ้น
"พลังของเราคือด้านตรงกันข้ามของอีกฝ่าย เมื่อเรามีอำนาจแห่งแสง กาเบียลท่านคือผู้ระทมทุกข์ในแดนที่มืดมิด"
แทมมอนซึ่งอยู่ในชุดนักรบ
เกราะเงิน มีหมวกโลหะยอดสูงประดับด้วยอัญมณีตระการตา เอ่ยตอบ
แววตาของมหาปราชญ์แห่งแดนเวทย์มนต์ยังคงแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง กาเบียลเป็นศัตรูที่เขารักดั่งมิตรแท้ หลายครั้งที่เขาเองล่วงรู้ว่าดินแดนมากมายในอำนาจล้วนมาจาก
ดินแดนที่รักความสงบสุขของกาเบียล แทนที่เขาจะหยิบยื่นศรัทธาในภาษาให้มหาปราชญ์องค์อื่น กาเบียลกลับเลือกที่จะมอบเหล่าประชาราษฎร์แก่แทมมอน
"เมื่อไหร่ที่เจ้าจะกลับมาต่อสู้กับข้าอย่างเต็มฝีมืออีกครั้ง"
"อีกไม่นาน... ข้าจะได้พบกับความสงบอันนิจนิรันดร์สักที"
"ท่านเลือกที่จะดำเนินสู่แดนแห่งความตาย"เสียงแทมมอนดุดันขึ้นด้วยความ
ไม่พอใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงความผิดหวังขึ้นมา
"ท่านไร้ซึ่งชีวิตมานานแล้วสหายข้า... ศัตรูซึ่งข้าหวังจะปะมือมากที่สุดจากข้าไปนานแล้วจริงๆ"
"ไม่ต้องรั้งข้าแล้ว แทมมอน เบื้องหน้าของทั้งเราและเจ้าคือชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง เมื่อถึงราชอาณาจักรเราจักได้พบกันอีกครั้ง"
กาเบียลหันหลังเดินกลับ
สู่ตัวยานไปเงียบๆ อนูบีสซึ่งยืนอยู่เคียงข้างไม่อาจเอ่ยอะไรขึ้นมาได้อีก เมื่อได้รับรู้ถึงปรารถนาในใจนายของตน
"อนูบีส... ข้าไม่ชอบในการตัดสินใจของนายเจ้าเลย"เทวีบาสท์ขบกรามเบา ๆ
จากคุณ :
karinas
- [
3 ก.ย. 48 11:54:03
]