CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ทีวีเป็นเหตุ (บันทึกของคนเดินเท้า)

    บันทึกของคนเดินเท้า

    ทีวีเป็นเหตุ


    ในยุคสมัยที่โทรทัศน์เมืองไทย มีให้ดูโดยไม่เสียเงินถึงหกช่อง ตลอดเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงนี้ ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อย่างไร เกิดขึ้นที่ส่วนไหนของโลก เราก็อาจจะได้รู้และได้เห็น ราวกับไปอยู่ในที่เกิดเหตุนั้นจริง ๆ อย่างละเอียดชัดเจน ไม่ต้องฟังเขาเล่าว่าเหมือนสมัยก่อน

    โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์ CNN ของสหรัฐอเมริกานั้น สามารถจะส่งข่าวและภาพให้คนทั้งโลกได้รู้เห็น เกือบจะเป็นนาทีแรกที่เหตุนั้นเกิดขึ้นทีเดียว

    อย่างเช่นกรณีผู้ก่อการร้ายขับเครื่องบิน   ชนตึกเวิลด์เทรด   ในมหานครนิวยอร์ค เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ซึ่งผู้คนในกรุงเทพมหานครก็ได้เห็นภาพนั้น เกือบจะทันทีที่เครื่องบินเครื่องมุดเข้าไปในตึก

    และเห็นเหมือนกับดูด้วยตาตนเอง จนกระทั่งตึกที่สูงที่สุดในโลกทั้งสองหลัง ทรุดลงมากองกับพื้นดิน มีแต่ฝุ่นผงคละคลุ้งไปทั่วทั้งเมือง

    รวมทั้งภาพการไล่ล่าหาตัวผู้ก่อเหตุ ของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร ในประเทศอาฟกานิสถาน หลังจากนั้นอีกนานเป็นเดือน ซึ่งก็ยังไม่ได้ตัวผู้ต้องสงสัยจนบัดนี้ และการก่อการร้ายทำนองนั้น ก็ยังเกิดขึ้นต่อไปอีก ทั้งในตะวันออกกลาง เรื่อยมาจนถึงอินโดนิเชีย และฟิลิปปินส์

    หรือรายที่มีพวกขบถประมาณห้าสิบคน บุกเข้าไปยึดตัวประกันประมาณเจ็ดร้อยคน ในโรงละครกลางกรุงมอสโคว์ เมืองหลวงของประเทศรัสเซีย เอาไว้เป็นเวลาหลายวัน โดยขู่ว่าถ้าไม่ยินยอมตามคำเรียกร้อง จะระเบิดโรงละครทั้งโรงให้ตายกันหมด รวมทั้งพวกของตนเองด้วย

    ทางราชการจึงใช้แก๊สชนิดหนึ่งปล่อยเข้าไปทางช่องระบายความเย็น จนสลบเหมือดไปหมดทั้งคนดีคนร้าย แล้วจึงเข้าไปเคลียร์พื้นที่ ปรากฏว่าคนร้ายตายไปหลายสิบคน แต่ตัวประกันตายไปร้อยกว่าคน สงวนชีวิตผู้บริสุทธิ์ไว้ได้หลายร้อยคน

    รวมทั้งเหตุที่เกิดในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นตึกถล่มที่โคราช ไฟไหม้โรงงานตุ๊กตาที่นครปฐม การยึดสถานทูตพม่าในกรุงเทพมหานคร หรือการจี้ผู้บัญชาการเรือนจำ และจับตัวประกันที่โรงพยาบาลราชบุรี ก็ตาม

    เรื่องทั้งหมดนี้ผู้คนทั้งหลาย ก็จะได้เห็นเหตุการณ์ทางทีวีพร้อมกัน โดยไม่ต้องรออ่านหนังสือพิมพ์ ซึ่งบรรยายถูกบ้างผิดบ้างเหมือนแต่ก่อน และความจริงหนังสือพิมพ์เอง ก็รู้เห็นพร้อมกับคนอ่านเหมือนกัน

    เรื่องอย่างนี้เมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีก่อน กว่าคนไทยจะได้รู้ก็คงจะผ่านไปหลายวัน อย่างข่าวธรรมดาข่าวหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครของเรานี้เอง ยังเสนอข่าวแตกต่างไปราวกับไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แค่พาดหัวก็ตื่นเต้นไปคนละแบบแล้ว

    ฉบับสีเขียวว่า หนุ่มบ้าเลือดถูกแย่งดูทีวี ตะลุยฟันนายจ้าง

    ฉบับสีชมพูฟ้าว่า  ปล้ำดรัมเมเยอร์ ม.ธ.ขัดขืนควงขวานฟันเละทั้งบ้าน

    ฉบับสีม่วงเหลืองว่า  คนใช้ทีเด็ดรำขวานจาม น.ศ.สาวเผด็จสวาท

    และฉบับสีแสดว่า  บัณฑิตสาวนุ่งชุดนอนโป๊ดูทีวี ลูกจ้างปล้ำ พ่อขวาง หนุ่มหน้ามืดฟันทั้งบ้าน

    ส่วนเนื้อข่าวนั้นพอจะประมวลได้โดยสรุปว่า เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน   ซึ่งเป็นวันเสาร์ ทางโรงพักชนะสงครามได้รับแจ้งจาก โรงพยาบาล ว่ามีคนบาดเจ็บเพราะถูกฟันด้วยขวาน อาการค่อนข้างมากรวมสามคน มารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล

    เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นสารวัตรทั้งใหญ่น้อย ก็ได้รีบรุดมาดำเนินการสอบสวน ถึงการถูกฟันจากผู้เสียหาย เพื่อหาตัว คนร้ายรายนี้ เอามาดำเนินคดีตามกบิลเมืองต่อไป

    ตัวบุคคลในข่าวก็มีอยู่ ๔ คนด้วยกัน

    คนแรกคือผู้เสียหายชื่อ นางสาวจีระพันธ์ (นามสมมติ) อายุระหว่าง ๒๐ - ๒๒ ปี ซึ่งฉบับเขียวบอกว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ฉบับชมพูมีรายละเอียดเพิ่มเติมว่า เคยเป็นดรัมเมเยอร์ไม้หนึ่งของคณะเศรษฐศาสตร์ แต่ฉบับแสดแย้งว่าคณะพานิชย์ศาสตร์และการบัญชี  ซึ่งได้สำเร็จปริญญามาใหม่เอี่ยม

    เธอกำลังดูทีวีอยู่ในชุดนอน ฉบับแสดแจ้งว่าเป็นกางเกงขาสั้น ฉบับชมพูแถมว่ามีกระโปรงบาง ๆ สวมทับด้วย ได้ถูกนายวิชัย(นามสมมุติ) ลูกจ้างอายุ ๑๗ ปี ฉุดมือหรือไม่ก็จิกผม ลากเข้าห้องน้ำหวังทำมิดีมิร้าย เธอจึงร้องเรียกให้คนช่วย

    ลูกจ้างทีเด็ดจึงวิ่งไปฉวยขวานซึ่งวางขายอยู่หน้าร้าน เพราะที่เกิดเหตุเป็นร้านขายเครื่องเหล็ก ปรากฏว่าคว้ามาได้ตั้งสี่เล่ม แล้วก็ฟันหรือตี น.ส. จีระพันธ์ ที่ศีรษะหลายแผล แต่ที่แน่ ๆ ก็คือกกหูซ้าย เป็นบาดแผลฉกรรจ์เลือดไหลโกรก เพราะฉบับม่วงได้ยืนยันไว้

    คนที่สองเป็นชายอายุระหว่าง ๖๐ - ๖๕ ปี ชื่อเป็นสำเนียงจีน คงจะฟังยากเขียนลำบากหน่อย เพราะฉบับเขียวเรียกนายพังโพ ฉบับชมพูเรียกนายผิงไน้ ฉบับม่วงเรียกนายพังโพ้ ฉบับแสดเรียกนายวันฟอ ซึ่งเป็นพ่อของ น.ส.จีระพันธ์

    เมื่อได้ยินเสียงลูกสาวร้องให้ช่วยเหลือ ก็วิ่งลงมาจากชั้นบน และประจันหน้ากับขุนขวานเข้าอย่างจัง จึงเกิดการต่อสู้กันเป็นสามารถ ฉบับชมพูรายงานว่าใช้เท้าถีบ ฉบับม่วงว่ากระโดดเตะ ซึ่งก็คงเป็นอาการคล้าย ๆ กันเลยถูกฟันที่ขาเป็นแผลเหวอะหวะ ซึ่งฉบับแสดว่าเป็นแผลฉกรรจ์เส้นเลือดขาด และฉบับเขียวเพิ่มเติมว่า ห้อยร่องแร่งไปเลย

    คนที่สามเป็นพี่สาวของ น.ส.จีระพันธ์ ชื่อ น.ส.ยุพา อายุเอาแน่ไม่ค่อยได้ ตกอยู่ระหว่าง ๒๒ - ๓๐ - ๓๓ ปี ซึ่งได้ยินเสียงต่อสู้กัน ก็วิ่งเข้ามาช่วยพ่อและน้องสาว จึงถูกมือขวานฟันเสียหัวแบะไปอีกคนหนึ่ง

    ซึ่งฉบับม่วงยืนยันว่าสามแผลเลือดไหลโกรกตามเคย และฉบับแสดเพิ่มเติมว่ากระโหลกศีรษะแตก อาการสาหัสทีเดียว

    ทั้งสามรายซึ่งตกเป็นเหยื่อคมขวานของลูกจ้างทีเด็ดรายนี้ มีแต่หนังสือพิมพ์ฉบับม่วงเพียงฉบับเดียวเท่านั้น ที่ติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด จนสามารถให้รายละเอียดได้ว่า น.ส.จีระพันธ์ ต้องเย็บ
    ๑๕ เข็ม น.ส.ยุพา เย็บที่ศีรษะตั้ง ๔๕ เข็ม  และบิดาที่มีชื่อเรียกยากนั้น ต้องเย็บทั้งที่แขนและที่ขาถึง ๔๐ เข็ม

    ฝ่ายนายวิชัย (นามสมมุติ) ขุนขวานตัวการ หลังจากที่ได้ฟาดฟันนายจ้างทั้งสาม จนได้รับบาดเจ็บสาหัสบ้างไม่สาหัสบ้างทั่วหน้ากันดีแล้ว ก็ได้หลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นร้านขายเครื่องเหล็ก ริมถนนสามเสน แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร หายไปในความมืด

    แต่ก็ไปได้ไม่นานนัก คือ ประมาณสองชั่วโมงต่อมา ก็ถูกตำรวจจับกุมตัวได้พร้อมกับขวานคู่มือ

    ซึ่งขณะที่ถูกจับนั้นฉบับเขียวเล่าว่ากำลังเดินอยู่ที่ปากตรอกพระสวัสดิ์ บางลำพูนั่นเอง
    แต่ฉบับแสดแย้งว่าหลบมุมอยู่ในซอยเดียวกัน
    ฉบับชมพูขยายความว่า นอนเอาผ้าพลาสติกคลุมอยู่ด้วย

    แต่ฉบับม่วงให้รายละเอียดว่าหลบซ่อมอยู่ในกองขยะ ไกลถึงซอยพระเจนโน่นเลยเชียวละ

    เมื่อจับกุมมือขวานได้แล้ว ก็คงจะลงมือสอบสวนกันเป็นโกลาหล นายวิชัยจึงได้เปิดเผยกับ น.ส.พ.ฉบับเขียวว่า ตนนั่งดูทีวีอยู่ก่อน น.ส.จีระพันธ์เข้ามาดูบ้าง และจะเปลี่ยนช่องไปดูละคร จึงขอร้องให้ดูหนังจบเสียก่อน น.ส.จีระพันธ์ไม่ยอมซ้ำยังด่าแม่เสียด้วย เลยเกิดความแค้นวูบขึ้นมา วิ่งไปคว้าขวานมาฟันนายจ้างดังกล่าว

    ซึ่งฉบับอื่นก็รายงานค่อนข้างจะตรงกัน ในสาระสำคัญ แต่กลับมาสารภาพกับฉบับแสดว่า ก่อนเกิดเหตุนั้นเขาเพิ่งกลับจากเที่ยวผู้หญิงที่บางขุนพรหม พอนั่งดูทีวีได้พักหนึ่ง น.ส.จีระพันธ์ก็เข้ามาดูในลักษณะที่นุ่งชุดบางและสั้น จนทำให้เหลืออดขึ้นมา เลยจิกผมเดินเข้าห้องน้ำ เตรียมทำมิดีมิงาม แต่ น.ส.จีระพันธ์ร้องให้คนช่วย เลยเกิดเรื่องราวบานปลายใหญ่โตดังกล่าว  

    ซึ่งไม่ว่าสาเหตุจะเกิดขึ้นจากประการแรก หรือประการหลังก็ตาม ทีวีก็น่าจะเป็นตัวการสำคัญ ซึ่งผลที่สุดก็คงจะทำให้ขุนขวานหน้ามืดรายนี้ ได้รับโทษไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก

    และเมื่อมาถึงวันนี้ก็คงจะกลับมาเป็นพลเมืองดีแล้ว เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๙ โน่น

    ส่วนบุคคลในข่าวทั้งหมด ก็คงจะมีอายุมากขึ้นจนเกือบจะลืมเหตุร้ายเหล่านั้นหมดแล้ว นอกจากแผลเป็นที่ยังติดตัวอยู่

    และน่าดีใจว่าในขณะที่โทรทัศน์ปัจจุบัน มีช่องมากกว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน แต่ก็ไม่มีเหตุแย่งกันดู จนเกิดเลือดตกยางออก

    เช่นข่าวที่ยกมาเล่านี้อีกเลย.

    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 5 ก.ย. 48 08:55:35 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป