CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    :<>: ปริศนาของเอล :<>: เรื่องที่ 5 ข่าวลือ

    เรื่องที่ 1 ซินเดอเรลลาสีเลือดhttp://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3570406/W3570406.html

    เรื่องที่ 2 ภาพฉาบจันทน์  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3595533/W3595533.html

    เรื่องที่ 3 จากใจอาจารย์ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3622930/W3622930.html

    เรื่องที่ 4 นางฟ้าผิดที่ผิดทาง http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3670429/W3670429.html


    เรื่องที่ 5 ข่าวลือ


    มืดแล้ว และเวลาที่ก้มลงดูได้จากนาฬิกาข้อมืออย่างดีจากญี่ปุ่นคือ 4 ทุ่ม 15 นาที

    "ดึกแล้วนะเอล กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวคุณน้าจะเป็นห่วง"

    อังเดร เพื่อนตั้งแต่ยังเด็กของฉันเอ่ยขึ้นในขณะถีบจักรยานไปตามถนนโดยมีฉันซ้อนอยู่ด้านหลัง แต่แม้ฉันจะบอกเขาว่าอยากอยู่ชมเมืองตอนดึกต่อสักพัก เขาก็มุ่งหน้ากลับบ้าน  และพอมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคบๆ ก่อนออกชานเมือง เขาพูดขึ้นอีกครั้งว่า

    "หมู่นี้ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเธอด้วยนะเอล"

    "หือ?" ฉันขึ้นเสียงสูงอย่างนึกประหลาดใจ

    ใครๆ ก็รู้ว่าฉันไม่ได้มีอะไรน่าสนเลยสักน้อย  ฉันเป็นแค่เด็กผู้หญิงอายุ 16 ปี เรียนอยู่ชั้นม.ปลายปีที่ 3 ของโรงเรียนสตรีกลางเมืองธรรมดา  ดังนั้นสิ่งที่อังเดรใช้เป็นหัวข้อสนทนาระหว่างเดินทางกลับบ้านในช่วงเวลา 4 ทุ่ม 15 จึงน่าแปลกใจ

    "…ข่าวลืออะไร?"

    "ฉันได้ยินคนอื่นเขาพูดว่าถ้ามีเรื่องที่ไม่ปกติสุขเกิดขึ้น พอมองดีๆ จะเห็นเธออยู่ด้วยเสมอ"

    "จริงเหรอ?"

    "ไม่รู้สิ ฉันเห็นเธอเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กจนชิน ไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหนเลย"

    ฉันคิดว่าอังเดรพูดไม่ถูกเพราะการที่เพื่อนสนิทตั้งแต่ยังเด็กอย่างเขาเอ่ยว่าเขาชิน ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เชื่อข่าวลือ

    "…ฉันรู้สึกเหมือนกำลังโดนเธอหลอกว่า อัง…"

    "ฮะๆๆ เปล่าเสียหน่อย" อังเดรหัวเราะเสียงดังอย่างเปิดเผย "ทีแรกฉันได้ยินจากสมาชิกคนหนึ่งในแก๊งถามว่าเธอเป็นคนลึกลับ ชอบผลุบโผล่จริงหรือ  ฉันก็เลยคุยด้วยแล้วพอถามไปถามมา มันกลับคนพูดคือแฟนมันที่อยู่โรงเรียนเดียวกับเธอ แต่แฟนมันจะไปได้ยินมาจากที่ไหนอีก ฉันไม่รู้เพราะเรื่องหลังจากนี้ฉันคงไม่อยากสืบ…"

    "รู้แล้ว…" ฉันลากเสียงยาวขัด "เธอน่ะชอบบทนักสืบแต่เรื่องนี้ไม่ได้ให้ความบันเทิงมากใช่ไหม"

    "ใช่"

    อังเดรตอบรับอย่างง่ายๆ ซึ่งเป็นนิสัยเสียของเขาที่ไม่ใคร่ถนอมน้ำใจใคร และคำว่า 'ใช่' ของเขาคำเดียวก็ทำให้ฉันแปลได้ตั้งมากมาย เป็นต้นว่า 'ใช่ จะสืบไปทำไม ฉันก็เห็นด้วยกับที่เขาลือกัน' 'ใช่ พวกนั้นพูดถูกแล้วละ ว่าเธอเป็นคนแปลกประหลาด'

    คิดแล้วฉันพาลฉุนทั้งต้นตอข่าวลือรวมถึงเพื่อนสนิทอย่างอังเดร จนอดไม่ได้จะปฏิญาณตนอย่างกระฟัดกระเฟียด

    "คอยดูนะจะจับให้ได้เลยว่าต้นตอมาจากใคร"

    เป็นดังนั้น…หลายวันมานี้ฉันจึงพยายามเงี่ยหูฟังผู้คนรอบข้างตลอดเวลา กระทั่งได้ยินเรื่องราวของตัวเองจากเด็กโรงเรียนเดียวกัน  พวกเธอเหล่านั้นมักซุบซิบ พูดคุยเกี่ยวกับฉันว่าเป็นคนลึกลับบ้างละ  ชอบพูดคนเดียวบ้างละ บางครั้งไพล่ไปถึงเรื่องเข้าใจผิดเก่าๆ อย่างฉันเป็นพวกแก๊งซิ่ง คบคนไม่ดี  บางทีเลื่อนเปื้อนกลายเป็นฉันชอบเที่ยวกลางคืน ส่วนกลางวันทำตัวเป็นนักเรียนดีเด่น ใส่หน้ากากหลอกคนทั้งโรงเรียนได้อย่างแนบเนียน

    จริงๆ นะ…นี่ถ้าอังเดรรู้ เขาจะต้องหัวเราะเยาะแล้วบอกว่าทุกคนพูดถูกหมดแน่เลย!

    "อรุณสวัสดิ์ค่ะ หัวหน้าห้อง!"

    เสียงสดใสก้องกังวานที่ดึงฉันออกจากภาวะอารมณ์ไม่ดีเมื่อมาถึงโรงเรียนทุกเช้าในระยะนี้ เป็นเสียงของแครอลีน เบเกอร์ เหรัญญิกประจำห้อง

    เธอมีผมสีน้ำตาลอ่อนอมแดงหยักศก ยาวประบ่าและมีดวงตาสีเดียวกัน จมูกของเธอตกกระพอน่ารัก ให้ภาพลักษณ์ของเด็กสาวที่มีลักษณะแก่นแก้วเหมือนสาวน้อยเลี้ยงวัวบนทุ่งหญ้า  ชอบวิ่งตามหลังฉันมาจากสุดระเบียงทอดสู่ห้องเรียนประจำแล้วทัก ทำให้ฉันชะงักเท้าเล็กน้อยตรงปากประตูห้องก่อนหันกลับไปตอบเสียงเรียกใสๆ นั่น

    "สวัสดีจ้ะ"

    ฉันทักเธอสั้นๆ แล้วเดินไปที่เก้าอี้ประจำ  แคทรีนที่ตามเข้าห้องมาทีหลังเลยทำหน้าตูม เดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ

    "แหมหัวหน้าห้องคะ ดิฉันทักอย่างร่าเริง  คุณน่าจะทักดิฉันตอบพร้อมรอยยิ้มนะคะ"

    "หือ?" ฉันงง "จำเป็นด้วยเหรอ?"

    "จำเป็นสิคะ!" แคทรีน เบเกอร์ขึ้นเสียงสูงตาโต "ดิฉันว่าคุณน่าจะหัดพูดให้มันเยอะๆ หน่อยนะคะ  ต้องคุยกับเพื่อนๆ เข้าไป  คุยเข้าไปอย่างสนุกสนานสิคะ มันถึงจะดีกว่าตอนนี้!"

    คำพูดของแคทรีนทำให้ฉันสนเท่ห์ด้วยเพิ่งรู้ว่าเธอเป็นคนรักการจำกัดสิทธิ ชอบการเปลี่ยนแปลงบุคลิกคน

    "การที่ฉันพูดน้อยนี่มันเลวร้ายมากเหรอ...มิสเบเกอร์?"

    "แหม...ก็ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกค่ะ เพียงแต่ดิฉันเคยคิดมาก่อนว่าคุณเป็นคนดุเพราะไม่ค่อยยิ้ม แล้วก็เลยพาลคิดไปว่าคุณต้องใจร้ายและเป็นคนที่ใช้ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ แต่พอได้ร่วมงานกันอย่างจริงๆ จังๆ ในช่วงสองอาทิตย์มานี้ ทำให้ดิฉันรู้ว่าหัวหน้าห้องเป็นคนใจดีแล้วก็ยอมรับความคิดของคนอื่นเสมอ ไม่ใช้อำนาจข่มขู่ลูกน้อง  ทั้งยังเรียนเก่ง เป็นนักเรียนดีเด่น ดังนั้น ดิฉันเลยคิดอยากจะให้ทุกๆ คนที่ไม่รู้ความจริงนี้ได้รับรู้และเห็นคุณในแบบที่ดิฉันเห็นบ้าง"

    ที่แท้ สิ่งที่แคทรีนคิดก็ไม่ใช่จิตอกุศล

    "ฉันไม่เดือดร้อนนะ"

    "แต่ฉันอยากให้ทุกคนเข้าใจนะคะ ยิ่งตอนนี้มีแต่คนพูดเรื่องของคุณ"

    "อ้อ ข่าวลือ "

    "ใช่ค่ะ ข่าวลือที่มีแต่ผิดๆ เช่น เงียบขรึม คิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ เข้าถึงได้ยากบ้างว่าลึกลับ น่าสงสัย หรือเมื่อ 3-4 ปีก่อนก็มีคนลือว่าคุณเป็นพวกแก็งซิ่งจนบรรดาอาจารย์ต้องสอบถาม กว่าจะรู้ความจริงว่าคุณไม่เกี่ยวข้องกับพวกนั้นก็เป็นนานสองนาน  ดิฉันถึงอยากให้คุณแสดงอะไรออกมาบ้าง ทุกคนจะได้หยุดพูดกันเสียที”

    จริงอยู่…นี่อาจเป็นความห่วงใยของแคทรีนซึ่งทำให้ฉันรู้สึกดีๆ กับเธอ แต่ฉันไม่คิดว่าการอธิบายทุกเรื่องให้ผู้อื่นรับรู้เป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด

    ต้นตอข่าวลือต่างหากที่สำคัญ เพราะหากแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไปหนึ่งครั้ง  ต้นตอที่ยังมีอยู่ยังสามารถงอกเรื่องใหม่ออกมาได้อีกเรื่อยๆ

    "เอาเถอะ…ฉันคิดว่าสักวันข่าวลือจะหายไปเอง" ฉันดึงเอกสารที่ต้องนำไปส่งห้องพักครูออกมาจากกระเป๋านักเรียนแล้วทรงตัวขึ้นยืน  แคทรีนเลยลุกจากเก้าอี้เพื่อสนทนากับฉันต่ออีกนิด

    "คุณไม่สนใจในข้อเสนอของดิฉันหรือคะ?"

    "ขอบคุณสำหรับสิ่งที่เธอคิดขึ้นเพื่อฉัน แต่มันยากไปหน่อย"

    กล่าวจบ ฉันเดินออกจากห้องโดยทิ้งมิสเบเกอร์เอาไว้แล้วข้ามระเบียงยาวขึ้นไปชั้นบน  เมื่อมาถึงหน้าประตูเลื่อนสีเขียว ฉันเคาะสองทีก่อนเปิดเข้าไป  แต่แล้ว…ห้องพักครูที่มีโต๊ะทำงานรกๆ ตั้งขนานกันสองแถวรวมแปดโต๊ะกลับไม่มีแม้เงาของใครเลยสักคน

    ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเช้านี้มีประชุมจึงเดินเข้าไปที่โต๊ะอาจารย์ประจำชั้นแถวซ้ายตัวหน้าสุด แล้ววางเอกสารในมือลงก่อนหมุนตัวกลับไปที่ทางออก

    นึกไม่ถึง…ประตูจะเลื่อนเปิดออกเสียก่อน

    ผู้เข้ามาใหม่สวมชุดสุภาพประกอบด้วยเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวแต่คลุมเสื้อกาวน์สีขาวทับ  เขาเดินคอตกเข้ามา ทว่าเมื่อเงยหน้าเห็นฉันก็ฉีกยิ้มกว้าง

    "เฮ้! เธอ! แหม! ครูดีใจจริงๆ ที่เจอ!"

    เขาทักพลางฉุดแขนฉันอย่างร่าเริงให้ย้อนกลับไปที่โต๊ะประจำแล้วเลื่อนเก้าอี้ให้เป็นเชิงบังคับว่า 'จงนั่ง'

    ความจริง ฉันไม่อยากคุยกับอาจารย์วัยกลางคนร่างท้วมตัวเตี้ยสอนวิชาเคมีผู้นี้เลย แต่เมื่อเขายิ้มแย้มร่าเริงจึงไม่อยากทำลายความยินดีของใครในทันทีทันใด จนจำใจทิ้งตัวลงบนเก้าอี้

    "มิสเตอร์เบิร์กคะ ฉันอยู่ได้ครู่เดียวนะคะ"

    "ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวเดียวก็ยังดี  ครูดีใจมากเลยที่เธอมาหาครู รอเดี๋ยวนะ ครูจะไปเอาขนมมาเลี้ยง"

    เขาพูดแล้วผละไปที่ตู้เหนืออ่างล้างมือใต้หน้าต่างซึ่งเป็นที่เก็บของว่างก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมพร้อมกาแฟร้อนหนึ่งถ้วยกับโดนัทน้ำตาลหนึ่งจาน  พอวางของทั้งหมดลงตรงหน้าฉันแล้วก็เลื่อนเก้าอี้ของโต๊ะข้างๆ มานั่งคุยด้วย

    "หมู่นี้ไม่เห็นมาบ้างเลย เงียบหายไปเฉยๆ"

    "ก็…ช่วงนี้งานยุ่งน่ะค่ะ" ฉันตอบหลังจิบกาแฟรสชาติไม่ได้ความของอาจารย์ แล้วเสไปหยิบโดนัทชิ้นเล็กๆ มากัด

    มิสเตอร์เบิร์กรอให้ฉันกลืนของว่างคำแรกก่อนค่อยชวนสนทนาต่อว่า… "แต่ถึงงานยุ่งยังไงก็น่าจะแวะมาหาครูบ้างนะ"

    "ทำไมล่ะคะ"

    "ก็หมู่นี้ไม่มีคนคุยกับครูบ้างเลย เขาเมินกันไปหมด"

    "เวลาอาจารย์จะพูดจะจาอะไรก็ระมัดระวังคำพูดบ้างสิคะ  คนฟังจะได้ไม่หนีอาจารย์"

    "นี่เธอว่าครูเหรอ?"

    "เตือนต่างหากค่ะ"

    "เอาละๆ ครูยอมรับแต่ไม่ได้ตั้งใจนี่ แต่เธอใจเย็นกว่าทุกๆ คนที่เคยคุยกับครูนะ เพราะฉะนั้นวันหลังเธอต้องมาคุยกับครูอีกนะ"

    มิสเตอร์เบิร์กทำหน้าสลดในประโยคต้นแต่แล้วกลับมายิ้มได้ในทันที

    ฉันรู้ว่าเขาไม่ใส่ใจคำเตือนของฉันสักนิด เพราะไม่คิดจะปรับปรุงนิสัยในขณะที่แก่ตัวไปแล้วเช่นนี้หรอก

    "…แล้วเมื่อสักครู่ออกไปไหนมาหรือคะ"

    "เขามีประชุมครูด่วน แต่พอครูไปถึงไม่เห็นมีโต๊ะติดชื่อของครู ก็เลยต้องกลับมานี่แหละ"

    แน่นอน…ฉันคิด  ในห้องประชุมย่อมต้องไม่มีโต๊ะของมิสเตอร์เบิร์กเพราะเขากำลังจะถูกคัดชื่อออกจากสภาอาจารย์ และนี่ละ…สาเหตุที่ทำให้ฉันไม่กล้าทำร้ายจิตใจเขาซ้ำ แม้จะไม่อยากนั่งคุยด้วยเลยก็ตาม

    จากคุณ : ฯคีตกาล - [ 9 ก.ย. 48 16:24:02 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป