CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    การเดินทาง ตามหา...คนที่ไม่กลับมา

    ท่ามกลางแดดร้อนๆ ที่เผาไหม้จนแสบผิวกายนั้น ความอึดอัดจากบรรยากาศภายในรถโดยสารประจำทางยิ่งทำให้มันทวีความร้อนมากขึ้น ฉันซึ่งนั่งตั้งแต่ต้นๆ สายมองฝ่าเปลวแดดออกไปทางนอกหน้าต่าง ฉันกำลังจะกลับไปยัง ‘บ้าน’ ของฉัน กลับไปหา ‘คนสำคัญ’ ที่ฉันได้จากมา

            ไม่รู้ว่าเขาจะยังต้อนรับฉันอยู่ไหม

            ไม่รู้ว่าเขาจะยังต้องการฉันอยู่หรือเปล่า

            และถ้าหากเขาจะไม่...รักฉันอีกต่อไป ฉันก็พร้อมที่จะเข้าใจ

            เปล่าหรอก ฉันรู้ว่าฉันกำลังหลอกตัวเอง ฉันไม่พร้อมที่จะเข้าใจ และก็ไม่พร้อมหากเขาจะไม่รัก และไม่ต้องการฉันอีกแล้ว...

            ความชื้นเริ่มก่อตัวที่ดวงตาของฉันอีกครั้ง น่าแปลกที่ฉันคิดว่าน้ำในตัวคงจะเหือดแห้งไปพร้อมกับเหงื่อแล้วแท้ๆ แต่มันก็ยังเหลือ...เหลือพอที่จะทำให้ความเสียใจที่แน่นอยู่ในอกได้ระบายออกมาทางน้ำตา

            ทุกอย่างมันเริ่มจากประโยคโง่ๆ ประโยคหนึ่ง คำพูดร้ายกาจที่มักจะหลุดออกจากปากตอนที่เรากำลังโกรธ คำพูดทุเรศๆ เหล่านั้นที่ฉันได้เอ่ยมันออกไป โดยหวังสุดใจว่าจะทำให้เขาต้องเจ็บปวดที่สุด

            เจ็บ...เหมือนที่ฉันกำลังเจ็บ

            ทั้งๆ ที่เราก็มีกันอยู่แค่นี้...แค่สองคนแม่ลูก
    .............................
            “ถ้าพ่อยังอยู่ พ่อจะต้องเข้าใจหนู แม่น่ะ แม่...” ฉันยังจำได้ถึงประโยคที่จุดชนวนให้ฉันต้องเริ่มการเดินทางในครั้งนี้

             “ทำไม ฉันทำไม หา!” แม่ซึ่งกำลังสั่นไปทั้งตัวชี้นิ้วมาที่หน้าฉันด้วยอาการโกรธจัด “ฉันไม่ดีพอรึไง” เสียงของแม่ที่เริ่มดังขึ้น แม่ตะโกนออกมาราวกับจะกรีดร้อง “ใช่ซี่ ฉันมันไม่ดี ไม่เหมือนพ่อของแกไง พ่อแกมันดี...ดีมากจนไปเสวยสุขอยู่บ้านเก่านั่นแน่ะ คนทุเรศที่ทำให้ฉันต้องกระเตงแกมา เลี้ยงแกมาลำพัง เลี้ยงแกมาอย่างดี แล้ววันนี้แกทำกับฉันแบบนี้เรอะ กล้าขึ้นเสียงใส่ฉันเรอะ”

            ความจริงประโยคหนึ่งดังชัดกว่าคำพูดประชดประชันที่หลุดออกมาเป็นชุด เสียงนั้นก้องสะท้อนกลับไปกลับมาในหัว

             พ่อยังไม่ตาย พ่ออยู่บ้านเก่า อยู่ตลอดเวลา พ่อไม่ได้หายสาบสูญไปไหน พ่อยังมีชีวิตอยู่

             สีหน้าของแม่ซีดลงไป เมื่อตระหนักได้จากท่าทางของฉัน และสำนึกว่าท่านได้พูดอะไรออกมา ฉันเงียบ ไม่พูด ไม่มองแม่อีก ฉันหันหลังให้ท่าน และเดินกลับเข้าไปในห้องเล็กๆ ที่กันขึ้นมาเพื่อทำเป็นห้องส่วนตัวของฉัน

              พ่อยังไม่ตาย ...ฉันไม่อยากแม้แต่จะเชื่อว่าแม่ปิดฉันเรื่องนี้ตลอดระยะเวลาสิบปี และฉันก็บ้าพอที่จะไม่ถาม ...ไม่ถามว่าทำไมเราต้องย้ายบ้าน ไม่ถามว่าพ่ออยู่ที่ไหน ฉันรับรู้เอาเองอย่างผิดๆ ว่าพ่อตายแล้ว ก็ทำไมจะไม่เชื่อแบบนั้นเล่า สีหน้าเศร้าสร้อยของแม่ ยามที่ฉันเอ่ยถึงพ่อ น้ำตาที่กลั่นตัวเป็นหยด และเพิ่มจำนวนเป็นสายยาวในทันทีที่เอ่ยเรื่องต้องห้ามนั้นของแม่ แทบจะเป็นการหยุดถามซอกแซกตามที่แม่เรียกได้เป็นอย่างดี

              แม่ไม่เคยเอ่ยถึงพ่อแม้แต่คำเดียว นับตั้งแต่เราย้ายบ้านมา ไม่ทั้งในทางที่ดี และไม่...แม้แต่ในทางที่ร้าย แม่ทำราวกับพ่อสูญสิ้นไปจากโลกนี้แบบถาวร ทำราวกับในตัวฉันอีกครึ่งหนึ่งไม่ได้มีเลือดของพ่อปะปนอยู่

              ฉันลงมือเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าในคืนนั้นเอง ฉันยัดทุกสิ่งที่เห็นว่าสำคัญลงในกระเป๋าเป้คู่ใจ

               รูปของพ่อ..แน่ล่ะ  แล้วก็กระเป๋าเงิน เสื้อผ้า ฯลฯ

               เมื่อฉันออกมาจากห้องอีกครั้ง ภายในบ้านเงียบสงัด

               ฉันเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะก้าวออกไปนอกบ้าน ดี...จะได้ไม่ต้องพูดอะไรกันอีก ฉันจะไปอยู่กับพ่อ

               ฉันขึ้นรถประจำทาง และพอจะจำได้ว่าต้องขึ้นยังไง เสียงพ่อที่สอนให้จำทางยังดังก้อง

               “ขึ้นรถสายนี้นะลูก ลงที่ประตูน้ำ จากนั้นก็เดินย้อนมาอีกหน่อย เห็นร้านอาหารนี้ใช่มั้ย” ฉันจำได้ว่าพยักหน้าตอบไป “ตรงเข้าซอยนี้นะ บ้านเราเลขที่เท่าไหร่คะ”

                “143/92 ค่ะ” ฉันตอบด้วยเสียงฉาดฉาน มือใหญ่ๆ ของพ่อลูบที่หัวฉันพร้อมคำชมที่ตามมา

                “เก่งจัง ลูกใครไม่รู้เนอะ”

                ฉันยิ้มออกมาให้กับความทรงจำในครั้งนั้น ความอบอุ่นหลังไหลเข้ามา

               พ่อ...ฉันคราวออกมาอย่างสุขใจเล็กๆ ฉันจะได้เจอท่าน และได้เรียกท่านว่าพ่ออีกครั้งแล้ว

               ฉันเดินตามเส้นทางที่จำได้ โชคดีที่แม้ผ่านไปเป็นสิบปี แต่ร้านอาหารนั้นก็ยังคงอยู่ ใจฉันชื้นขึ้นมานิดตอนที่พบร้าน ฉันเดินอย่างมั่นใจมากขึ้นไปตามทางเล็กๆ ซอยบ้านที่เคยคุ้น

               “หนึ่ง สี่ สาม ทับ เก้า...” ฉันแทบจะร้องออกมาอย่างดีใจ “สอง... เจอแล้วๆ” รั้วบ้านเปลี่ยนไปจากที่เคยจำได้ สมัยก่อนรั้วจะดูสูงเหลือเกิน แต่ตอนนี้กลับสูงแค่อก แถมด้านบนยังฉลุลายโปร่งไว้ๆ อีก

                ฉันโคลงหน้าก่อนนึกขำตัวเอง ก็จะไม่ให้รั้วเตี้ยลงได้ยังไง เราสูงขึ้นนี่

                ฉันเอื้อมมือออกไปหมายจะกดกริ่งเรียก พลางคิด พ่อจะดีใจไหมนะที่ได้เห็นเรา นี่แม่ต้องไม่ยอมบอกแน่ๆ เลยว่าเราอยู่ที่ไหน พ่อก็เลย...หาเราไม่เจอ

                ฉันยิ้มเมื่อเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นหนึ่งครั้ง มันจะแปลกไหมนะ ถ้าฉันจะบอกว่าแม้กระทั่งเสียงกริ่ง ก็ยังทำให้ฉันอบอุ่นไปถึงภายใน มันเป็นความรู้สึกที่แปลกดีนะ แต่ฉันชอบมันเหลือเกิน

                ร่างตะคุ่มๆ ที่ก้มๆ เงยๆ อยู่ที่สวนหน้าบ้านเรียกความสนใจฉัน ฉันละมือที่จะกดกริ่งซ้ำอีกครั้ง เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันก็แค่รู้ขึ้นมาเฉยๆ ร่างนั้นต้องเป็นพ่อแน่ๆ

                 “ครับๆ มาแล้วครับ” เสียงทุ้มนุ่มนวลดังขึ้น ฉันยิ้มเมื่อมองเห็นได้ชัดขึ้น พ่อดูเปลี่ยนไปนิดหน่อย ตอนนี้พ่อมีพุงน้อยๆ ผมก็บางลงไป แต่ก็ดูเท่ดีจะตาย พ่อ...พ่อของฉัน

                “มาหาใครค...” พ่อดูอึ้งไปนิดเมื่อมองหน้าฉันได้ถนัดตา

                “พ...” ฉันอ้าปากเพื่อจะเปล่งเสียงเรียกอย่างที่อยากทำมานาน แต่มีเสียงแหลมเล็กอื่นดังกลบเสียงของฉัน

                “พ่อขา” เด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่งวิ่งมาเกาะขาพ่อของฉันไว้ มือมอมแมมไปด้วยคราบดินจับแน่นอยู่บนกางเกงของท่าน เอ๊ะ เด็กคนนั้นเรียกใครว่าพ่อนะ ฉันหูฝาดไปหรือเปล่า

               “คุณ ใครมาน่ะ” เสียงอีกเสียงดังออกมาจากในบ้าน พร้อมใบหน้าที่เยี่ยมออกมามอง

                “คนแปลกหน้าค่ะแม่” เด็กคนนั้นตะโกนตอบแม่ของเธอ

                “คนแปลกหน้าหรือคุณ ถ้ามาขายของ บอกไปเลยนะว่าไม่เอา” เธอคนนั้นตะโกนบอกมาอีกครั้งก่อนจะหายหน้ากลับเข้าไปในบ้าน

    จากคุณ : surudee - [ 10 ก.ย. 48 16:24:40 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป