CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ชนชาติเขมรสร้างปราสาทหินไว้เพื่ออะไร

    ณ พื้นที่บริเวณทะเลสาบเขมร เรื่อยมาทางตะวันตกครอบคลุมถึงภาคอีสานทางตอนล่างของประเทศไทย      เป็นพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นไออารยธรรมโบราณนับตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์  เรื่อยจนถึงยุคประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติ  

    หากแต่ร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดี ที่ยังหลงเหลืออยู่ให้พบในปัจจุบันของพื้นที่บริเวณนี้  ส่วนมาก คือ ปราสาทหิน  

    และเป็นที่รู้กันดีว่า  ปราสาทหินเหล่านี้ก่อสร้างขึ้นภายใต้อิทธิพลจากวัฒนธรรมเขมรโบราณ  ของชาวเขมรผู้ที่มีอำนาจและอิทธิพลทางวัฒนธรรมต่อพื้นที่บริเวณนี้มากที่สุด

    ปราสาทหิน ที่ก่อสร้างไว้มากมายเหล่านี้   ชาวเขมรสร้างมันขึ้นมาทำไม  หรือเพื่อใครกัน

    ก่อนอื่นต้องขอยกประวัติศาสตร์ของเขมรมาเล่ากันพอสังเขป  จากหลักฐานทางโบราณคดีทำให้ทราบว่าชนชาติขอมเริ่มรวมตัวเป็นอาณาจักรหรือรัฐมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่๖ โดยพัฒนามาจากเมืองท่าที่ติดต่อค้าขายกับอินเดีย  มีความเจริญภายใต้พื้นฐานของอารยธรรมอินเดีย ใช้ชื่อว่า  อาณาจักรฟูนัน  มีอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง (เวียดนามตอนใต้) และแม่น้ำโขงตอนใต้(กัมพูชา)  จนถึงบางส่วนในบริเวณของภาคอีสานตอนใต้ของประเทศไทย  โดยมีเมืองออกแก้ว (ตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนาม)เป็นเมืองท่าในการติดต่อค้าขาย  และมีราชธานีนามว่า“วยาธปุระ” ใกล้เขาบาพนมในประเทศกัมพูชา  

    อาณาจักรฟูนันมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศทั้งกับอินเดียและจีน  หลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ยังดูรางเลือนหาข้อสรุปไม่ได้แน่ชัดนัก  ทราบแต่เพียงว่ากษัตริย์องค์สุดท้ายคือ รุทรวรมัน  และนับถือศาสนาพราหมณ์ที่ได้รับมาจากอินเดียเป็นหลัก

    พุทธศตวรรษที่ ๑๒  อาณาจักรเจนละ ซึ่งแต่เดิมเป็นรัฐหนึ่งของอาณาจักรฟูนัน  มีอาณาบริเวณตั้งแต่เมืองจำปาศักดิ์-ภูเขาวัดภู  และในปัจจุบันคือบริเวณทางตอนใต้ของประเทศลาวและทางภาคเหนือของประเทศเขมร  และราชธานีของอาณาจักรเจนละคือ เมือง “เศรษฐปุระ”  อาณาจักรเจนละมีพื้นฐานอารยธรรมสืบต่อมาจากอาณาจักรฟูนันรวมทั้งการนับถือศาสนาพราหมณ์ด้วย

    พระเจ้าภววรมัน  ปฐมกษัตริย์ของเจนละได้ยึดวยาธปุระจากรุทรวรมัน  ต่อมาพระอนุชาของภววรมันคือ พระเจ้ามเหนทรวรมันที่ ๑ ได้เข้ายึดฟูนันและปราบปรามได้  ทำให้อาณาจักรเจนละได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม

    จนล่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓  อาณาจักรเจนละได้ถูกกษัตริย์ชวาจากราชวงศ์ไศเลนทร์แห่งอาณาจักรชวาภาคกลางรุกราน จึงทำให้เจนละแตกออกเป็น ๒ ส่วนคือ  เจนละบก และ เจนละน้ำ  ส่วนของเจนละน้ำนั้นถูกชวายึดครองได้  นอกจากนี้อาณาจักรชวายังได้นำตัวรัชทายาทคือ  เจ้าชายชัยวรมันที่ ๒ ไปเป็นตัวประกันที่อาณาจักรชวาอีกด้วย ซึ่งเป็นระบบที่เรียกว่าตัวจำนำเพื่อรับรองความจงรักภักดีของอาณาจักรเขมร

    ต่อมาในปีพ.ศ.1350 ชัยวรมันที่ ๒ ได้ยกทัพขึ้นมาประกาศเอกราชจากอาณาจักรชวา  และยังรวมอาณาจักรเจนละบกเจนละน้ำที่แตกแยกเข้าด้วยกัน สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับอาณาจักรเขมรใหม่  และขนานนามใหม่ว่า อาณาจักรกัมพูชา ไม่ขึ้นกับอาณาจักรชวาอีกต่อไป    

    พระเจ้าชัยวรมันที่ ๒  ทรงเลือกตั้งราชธานีของอาณาจักรกัมพูชาในบริเวณทางเหนือของทะเลสาบเขมร  พระองค์ทรงขยายพระราชอำนาจขยายเข้าไปถึงบริเวณลุ่มแม่น้ำ  บริเวณอีสานใต้ของประเทศไทยด้วย      

    นอกจากนี้พระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ทรงสถาปนาลัทธิเทวราชา  คือยกฐานะกษัตริย์ให้เป็นเทพเจ้าหรือเทวาราชา (Deva-Raja)  เป็นกษัตริย์สูงสุด  จึงเป็นการปูพื้นฐานระบบเทวราชาให้อาณาจักรอื่นๆเอาเป็นแบบอย่าง  รวมถึงสยามของเราก็รับระบบนี้มาใช้ด้วยเช่นกัน  ระบบเทวราชานี้มีส่วนทำให้พราหมณ์เข้ามามีบทบาทในราชสำนัก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญศิลปศาสตร์ต่างๆ และประกอบพิธีราชาภิเษกให้กับกษัตริย์  

    ลัทธิเทวราชาหรือระบบเทวราชา  ต่างจากลัทธิไศวนิกายแลไวษณพนิกาย  คือ  ก่อนหน้านั้นกษัตริย์เป็นเพียงมนุษย์ที่นับถือเทพเจ้า  แต่ลัทธิราชานั้นถือว่ากษัตริย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเทพเจ้าคือเทพเจ้าแบ่งภาคลงมาจุติเป็นกษัตริย์นั่นเอง  เมื่อกษัตริย์เสวยราชย์แล้วต้องกระทำ ๓ สิ่ง  คือ  

    ๑.ขุดสระชลประทานหรือที่เรียกว่า บาราย  นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขมรมีความยิ่งใหญ่  เพราะเนื่องจากเขมรก็ไม่นิยมตั้งถิ่นฐานใกล้แม่น้ำเท่าใดนัก  ที่เมืองพระนครก็มีบารายขนาดใหญ่หลายบาราย  เช่น  บารายอินทรฏกะ    

    ๒.กษัตริย์ต้องสร้างศาสนสถานบนฐานเตี้ยๆ อุทิศถวายบรรพบุรุษ หรือปราสาทหินสร้างบนฐานเตี้ยๆเพียงชั้นเดียว  เช่น  ปราสาทพะโค ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับบรรพบุรุษของพระองค์

    ๓.และยังต้องสร้างศาสนสถานบนฐานเป็นชั้น หรือปราสาทหินแบบยกฐานเป็นชั้นสูงหลายชั้นเพื่อเป็นที่สถิตของเทพเจ้า  หากเป็นศาสนาพรหมณ์ลัทธิไศวนิกายก็จะประดิษฐานศิวลึงค์ทองสัญลักษณ์แห่งองค์พระอิศวร หรือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกายก็จะประดิษฐานเทว รูปพระวิษณุ และมีความเชื่อว่าเมื่อกษัตริย์สิ้นพระชนม์วิญญาณของพระองค์จะไปเสด็จรวมกับเทพเจ้าที่ปราสาทที่พระองค์สร้างไว้นั่นเอง  เช่น  พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒  ทรงสร้างปราสาทหินนครวัด อุทิศถวายแด่องค์พระวิษณุ  เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ก็ทรงมีพระนามว่า  บรมพิษณุโลก

    จากเหตุผล ๒ ข้อหลังนี้เองที่เป็นประเพณีที่กษัตริย์เขมรทุกพระองค์จะต้องสร้างปราสาทหินอย่างน้อยที่สุด ๒ หลัง  

    ส่วนรูปแบบของปราสาทหินนั้น  ก็พัฒนารูปแบบมาจากศาสนสถานในประเทศอินเดียที่เรียกกันว่า ศิขร  เป็นศาสนสถานของศิลปะอินเดียในภาคเหนือ  และ วิมาน เป็นศาสนาสถานของอินเดียภาคใต้  นอกจากนี้ก็ยังได้รับอิทธิพลของ จันฑิ ศาสนาสถานในศิลปะชวาเมื่อครั้งที่อาณาจักรเจนละตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรชวาด้วย

    ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้จึงก่อให้เกิดรูปแบบงานศิลปกรรมเขมรที่เรียกกันว่า ปราสาทหิน หรือก็คือ ศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ ที่มีความสวยงามและคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีเป็นอย่างยิ่ง  และเนื่องด้วยปราสาทหินเหล่านี้สร้างด้วยวัสดุที่เป็นอิฐ  หินทราย  และศิลาแลง  ซึ่งเป็นถาวรวัตถุจึงทำให้มีความคงทนจนถึงในปัจจุบัน  

    แต่ว่าปราสาทหินก็มิได้มีเพียงในเขตของประเทศเขมรเท่านั้น  ยังพบในบริเวณภาคอีสานของประเทศไทยก็มีปราสาทหินอยู่มากมายด้วยเช่นกัน  เนื่องจากในบางช่วงเวลาพระราชอำนาจของกษัตริย์ที่เมืองพระนครมีความเข้มแข็ง  ทำให้อำนาจทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาโบราณที่มีเหนือดินแดนประเทศไทยขยายเข้ามา  ด้วยเหตุนี้ปราสาทหินจึงถูกสร้างขึ้นในดินแดนของประเทศไทยด้วยนั่นเอง...........

    จากคุณ : ครีมเค้ก - [ 12 ก.ย. 48 12:27:54 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป