CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    กวนเธอเพราะห่วงหรอก ตอนเดียวจบ

    หลังจากที่เพื่อน ๆ ในกลุ่มของเขาเห็นท่าทีของฝนฟ้าทำท่าจะตก  เลยหนีกลับไปได้สักพักใหญ่  ฟ้าก็กระหน่ำฝนลงมาอย่างหนัก  เสียงฝนเสียงฟ้าดังคำรามกึกก้องอยู่ภายนอก  แต่เขากลับแทบไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้นเลย  เพราะจิตใจกำลังจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า  เขาใช้พู่กันจุ่มสี  แล้วบรรจงระบายลงบนชิ้นงานอย่างตั้งใจ

    “ก๊อก ๆ ๆ”  เสียงเคาะประตูดังขึ้น  แต่ดูเหมือนเสียงฝนกระหน่ำจะดังกลบเสียงนั้นจนเขาไม่ได้ยิน

    จากเสียงเคาะประตูเบา ๆ กลายเป็นเสียงตบประตูดังลั่น  แสดงถึงอารมณ์ของคนเคาะเริ่มเสีย  เสียงนั้นดังพอที่จะทำให้เขาเงยหน้าขึ้นจากชิ้นงาน  มองตรงไปยังประตูห้องอย่างฉงน

    “ใครวะ!  กระทืบประตูอยู่ได้”  เขารู้สึกฉุนคนเคาะประตูช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย  วางพู่กันลงแล้วลุกขึ้นก้าวเร็ว ๆ เดินดิ่งตรงไปที่ประตู

    ทันทีที่ประตูเปิดออก  ร่างเปียกโชกของคนที่ยืนอยู่หน้าประตู  ทำให้เขาเพิ่งนึกออกว่า  เธออาสาไปซื้ออุปกรณ์และของที่ยังขาดอยู่มาให้  นี่เขาลืมเธอเสียสนิทเลย  มองเธอยืนกอดข้าวของที่ซื้อมาไว้แนบอก  เสื้อขาวเปียกปอนหลีบติดกายเธอจนมองเห็นสีผิวตรงต้นแขน

    “ทำอะไรอยู่ยะ!  เคาะประตูตั้งนานไม่รีบมาเปิด”  เธอกระแทกเสียงปึงปังใส่อย่างโมโห  มองเพื่อนหนุ่มที่ยืนท้าลมเย็นยะเยือกด้วยกางเกงขาก๊วยสีม่วงอ่อนเพียงตัวเดียวเผยให้เห็นผิวขาวเกลี้ยงสะอาดตาที่ไร้เสื้อปกปิด

    “ขอโทษที…ไม่ได้ยินน่ะ”  เขาก้มลงมองตัวเองนิดหนึ่ง

    “รอแป๊บนึงนะ”  แล้วหายกลับเข้าไปในห้อง  นึกขึ้นได้ว่ามันคงไม่สุภาพที่เขาไม่ได้สวมเสื้อคุยกับเธอ  แล้วก้าวออกไปเผชิญหน้ากับเพื่อนสาวที่ยืนหน้าตึงอยู่หน้าห้อง  ริมฝีปากบางนั้นสั่นเล็กน้อยด้วยความหนาวจากลมเย็นชื้นและละอองฝนที่พัดมาปะทะอยู่ตลอดเวลา

    ชายหนุ่มส่งมือไปรับของจากเพื่อนสาว
    “เธอคงหนาวแย่  รีบเข้ามาก่อนเถอะ”  

    วิภวาสาวเท้าเข้ามาในห้องพักของสหายหนุ่ม  มองเห็นงานที่เขาทำค้างอยู่วางโดดเด่นอยู่บนพื้นกลางห้อง  เธอเดินเข้าไปมองดูผลงานกลุ่มที่เธอกับเพื่อน ๆ มีส่วนร่วมช่วยกันทำขึ้น  และคงต้องอยู่ช่วยเขาทำจนกว่าฝนจะหยุดตก

    เศาร์ก้าวซวบเข้าไปหาเพื่อนสาวที่กำลังยืนก้มมองชิ้นงานบนพื้น  เขารีบเอาผ้าขนหนูผืนโตคลุมศีรษะของเธอแล้วผลักร่างเล็กให้ถอยครูดออกมาจากงานที่กองอยู่

    “ไอ้บ้า! นี่นายทำอะไร!”  วิภวาเอ็ดตะโรลั่น  รีบดึงผ้าขนหนูที่โปะลงมาบนหัวออกทันที

    “ก็วิภน่ะ  ระวังมั่งสิ! น้ำจากหัวเธอจะหยดโดนงานเสียรู้มั้ย!  เพิ่งลงสีเสร็จสียังไม่แห้ง  แล้วดูซิเนี่ย  น้ำหยดนองเต็มห้องเลย  ทำไมไม่ยืนอยู่ที่เดียว  เดินไปเดินมาทำไม”  เขาดุเสียงเครียด  พลางกวาดสายตามองไปตามพื้นห้อง

    วิภวาอึ้งไปครู่หนึ่ง  พูดอะไรไม่ออกด้วยความรู้สึกผิดที่เป็นเหตุทำให้เขาต้องวุ่นวาย  ยืนทำหน้าเจื่อน ๆ มองเขาคว้าผ้ามาเช็ดน้ำนองเต็มพื้นหินขัด

    เศาร์เงยหน้ามองเธอที่ยืนนิ่งเงียบไป

    “ขอโทษที  เมื่อกี๊ผลักหัวแรงไปหน่อยเจ็บหรือเปล่า”

    วิภวาส่ายหัว

    “อ้ะ!  นี่…เอาไปเปลี่ยนซะ  เราให้ยืม  อยู่เปียก ๆ แบบนี้ไม่ดีหรอก  เดี๋ยวไม่สบาย”  เขาส่งเสื้อยืดให้พร้อมกับเสื้อเชิ้ต  และผ้าถุงอีกหนึ่งผืนให้เธอ

    “ใส่ไปเหอะน่า…เราซักสะอาดแล้ว  ไม่เหม็นหรอก  ถึงจะมีกลิ่นกายเราติดไปบ้างก็เป็นกลิ่นหอมนะ”  เขาลอยหน้าลอยตาอธิบายคุณภาพของเสื้อตัวเองอย่างภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน  เมื่อเห็นเธอยังยืนงง ๆ อยู่

    วิภวาทำจมูกย่นปากยื่นใส่เขาก่อนที่จะรับมาเดินเข้าห้องน้ำ

    เสาร์นั่งลงตรงที่เดิม  หยิบพู่กันขึ้นมาทำงานต่อ

    ครู่หนึ่งเธอก้าวออกมาจากห้องน้ำ

    ชายหนุ่มเงยหน้าจากงานที่กำลังทำ  มองไปที่เพื่อนสาวแล้วอมยิ้มขำ ๆ เสื้อเชิ้ตของเขามันดูลุ่มล่ามไปหน่อยสำหรับร่างเล็กกระทัดรัดอย่างเธอ

    “เศาร์..นายไปเอาผ้าถุงมาจากไหนเหรอ”  วิภวาถามถึงผ้าถุงดำที่สวมอยู่

    “ของแม่เราน่ะ  ขอแม่มาไว้ดูต่างหน้ายามคิดถึง  อ้าว…!!  เธอนุ่งผ้าถุงเป็นด้วยเรอะ!!”  ประโยคสุดท้ายแกล้งพูดหยอกล้ออย่างอารมณ์ดี

    “โธ่!  ของกล้วย ๆ รู้ไว้ฉันอยู่บ้านน่ะ  นุ่งผ้าถุงย่ะ”  เธอสะบัดเสียงใส่

    เศาร์หัวเราะอย่างขำ ๆ กับท่าทีของเพื่อนสาวอย่างรู้นิสัยที่ชอบเอาชนะและไม่เคยยอมใคร  

    “แล้วเธอน่ะ  ทำไมเพิ่งมา  ไปซื้อใกล้ ๆ แค่นี้เอง  อู้งานนะ  กินแรงเพื่อนนี่หว่า  เพื่อน ๆ เขากลับกันไปหมดแล้ว”

    “โธ่…นายไม่รู้อะไร  รถติดเป็นบ้าเลย  ติดบ้าติดบออะไรไม่รู้  ฉันนะต้องลงแล้วเดินหอบมานายรู้รึเปล่า  แถมฝนก็ดันตกอีก  มะร่อกมะแร่กเลย”  วิภวาบ่นอย่างยืดยาว

    “โอ๋…อย่าเพิ่งโมโหนะ  เดี๋ยวจะเลี้ยงมาม่า  หิวรึยังล่ะ”  เขาจุ่มพู่กันลงในกระป๋องน้ำ
    “หิวดิ!  ของฉันขอ 2 ห่อนะ”
    “กินจุเหมือนกันนะ  ตัวแค่เนี้ย”  เขาลุกขึ้นเดินไปตรงมุมห้อง  หยิบมาม่าออกมาจากถุงใบใหญ่
    “นายกินยี่ห้อไหน  ฉันชอบมาม่าต้มยำนะ”  วิภวาเดินตามไป
    “ยี่ห้อนี้กินได้มั้ย”  เศาร์ชูมาม่ามังสวิรัติยี่ห้อใบโพธิ์ซองสีเหลืองอ๋อยให้เธอดู

    “อ๋า…”  วิภวาเลิกคิ้ว  “นายเปลี่ยนมากินใบโพธิ์ตั้งแต่เมื่อไหร่  เปลี่ยนรสชาดเหรอ  หรือว่า…นายจะหันมากินเจจ๊ะ”  วิภวาพูดหยอกเย้าเขาเล่นในประโยคสุดท้าย  

    “ใช่แล้วล่ะ  เรากินเจ  เอ้ย!  ไม่ใช่ดิ!  กินมังสวิรัติ”  เขาเทน้ำใส่หม้อ  นำไปตั้งบนเตาไฟฟ้าแล้วเสียบปลั๊ก

    “อะ…อะไรนะ! ฉันล้อเล่นนะ  นายกินจริง ๆ เหรอ”  เพื่อนสาวเบิกตาโต  ชะงักการฉีกเปิดปากถุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
    “จริงสิ  ไม่โกหกหรอก  เดี๋ยวผิดศีลข้อ 4”  เขายิ้ม  แล้วหันมาช่วยเธอเปิดซองมาม่า
    “อ้าว…งั้นนายก็ต้องถือศีล 5 ด้วยสิ”  แววตายังคงฉายแววงุนงงอยู่ไม่หาย
    “ฮื่อ…”  เขาพยักหน้า  แล้วลุกไปเตรียมชามช้อนและตะเกียบให้พร้อม

    “ชีวิตเรามีศีลเป็นที่พึ่งนะ”  เขาหันมาบอก

    วิภวานิ่งมองเขาอย่างงง ๆ ผู้ชายกวน ๆ อย่างเขาเนี่ยนะ  กินเจ  ถือศีล 5  เธอไม่อยากจะเชื่อ…

    “แล้วเวลาอยู่มหาลัยนายกินยังไงล่ะ”

    “จะยากอะไร  ก็สั่งเขาทำพิเศษสิ  กินจนเขาจำหน้าได้แล้วล่ะ”  สีหน้าของเขาบ่งบอกว่ามันเป็นเรื่องง่ายดายเสียเหลือเกิน

    หลังจากจัดการกับมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย  สองสหายต่างลงมือปฏิบัติการกับงานที่ค้างอยู่ทันที

    “เศาร์…เผื่อที่ไว้แปะกาวเซ็นต์นึงพอมั้ย”  เธอส่งกระดาษแข็งให้เขาดู
    “เซ็นต์ครึ่งละกัน”
    “นายว่า  เราจะทำเสร็จมั้ย  ส่งวันจันทร์นี้แล้วนะ”
    “ทันดิ!  พรุ่งนี้เที่ยง ๆ พวกนั้นมันก็จะมาช่วย  วิภร่างแบบไว้เยอะ ๆ นะ  พรุ่งนี้  พวกนั้นมาก็ให้ช่วยกันตัด  ติดกาว  ห่อกระดาษ  วันอาทิตย์ก็ช่วยกันประกอบ  ก็เสร็จแล้วล่ะ  รับรองทัน!”

    อยู่ ๆ ไฟก็ดับวูบลงมืดสนิท!!

    “ตายแล้ว…ทำไมอยู่ ๆ ไฟดับล่ะ” วิภวาโวยวายลั่น  

    ใจคอไม่ค่อยดีเอาเสียเลย  แม้จะรู้ดีว่าตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมานานตั้งแต่ ม. 1 โน่น เพื่อนคนนี้ไม่เคยมีเรื่องเสียหายเกี่ยวกับผู้หญิงเลย  และดูเหมือนเขาไม่เคยจีบใคร  หรือมีทีท่าว่าชอบใครซักที  ที่สำคัญสาว ๆ  ต่างตั้งฉายาเรียกขานเขาว่า   “คุณชาย”   กับความเป็นสุภาพบุรุษของเขาเสมอ  ถึงจะเป็นคุณชายที่ชอบกวนประสาทก็ตามที   แต่ทว่า!  มันเสี่ยงอยู่เหมือนนะ!

    “ไม่ต้องตกใจหรอกน่า…ที่นี่น่ะ  เวลาฝนตกไฟชอบดับบ่อย ๆ”
    “แล้ว…งานของเราล่ะ!  เฮ้อ…”  เธอเริ่มกังวลเรื่องงานกลุ่มที่ใกล้กำหนดส่งเข้าไปทุกที

    “นี่ ๆ อยู่เฉย ๆ นะวิภ”  เขาตะโกนห้ามเมื่อได้ยินเสียงเธอขยับตัว  

    “เดี๋ยวก็เหยียบโมเดลพังกันพอดี  ข้างหลังน่ะ  เป็นกระป๋องน้ำกับสี  เดี๋ยวก็ได้หกเลอะเทอะหมด”   เขาดุเสียงเครียด  เพราะรู้ดีกับความซุ่มซ่ามกระโดกกระเดกของเพื่อนคนนี้

    “เออน่ะ!  แล้วนายล่ะ  กำลังทำอะไรอยู่”  เธอได้ยินเสียงเขาขยับตัวเคลื่อนไหว

    “เก็บชิ้นงานน่ะสิ”  เศาร์คลำไปตามพื้น  เก็บส่วนประกอบของโมเดลที่วางเกลื่อนอยู่ให้มารวมเป็นจุดเดียว

    “เฮ้ย!  ไอ้บ้า! นี่มันขาฉัน”  เธอร้องลั่น!!  เขาจับไปถูกขาเธอเข้า

    เศาร์รีบชักมือกลับ  “โทษที  ก็มันมืดนี่หว่า…”

    สักพักหนึ่งเขาเริ่มมองเห็นเธอนั่งอยู่ใกล้ ๆ เมื่อสายตาชินต่อความมืด

    วิภวาขยับตัวลุกขึ้น

    “จะไปไหน!”  เขารีบคว้าแขนเธอไว้

    วิภวาตกใจ!

    “ก็…ก็…ฉันเมื่อย…จะเดินไปที่หน้าต่างน่ะ”  เธอหาข้ออ้าง  เพราะคงไม่ดีนักกับการอยู่ใกล้ ๆ กันในความมืดเช่นนี้

    “นี่…ตามเรามา  เราละกลัวเธอเหยียบอะไรพังเสียจริง ๆ”  ไม่วายดุเธออีก

    เธอละเบื่อเขาจริง ๆ  จะหยุดต่อว่าเธอ  กวนประสาทเธอได้บ้างมั้ยเนี่ย!!

    เศาร์ลุกขึ้น  จูงมือเธอเดินไปในความมืดอย่างระมัดระวัง  เขาคุ้นเคยทุกตารางนิ้วในห้องนี้  และที่สำคัญเขารู้ว่า  ชิ้นงานวางอยู่ตรงไหนบ้าง

    “อยู่นี่นะ  เดี๋ยวเรามา  อย่าเดินเผ่นพ่านล่ะ  ที่นี่ผีดุนะ  เดินชนผีเข้าไม่รู้ด้วย”  เขาขู่แกล้งเธออีกต่างหากเพราะรู้ว่า  ถึงเธอจะเก่งกล้าสามารถแค่ไหน  แต่เธอก็กลัวผี  แล้วปล่อยมือเธอ  หันหลังเดินไป

    “ดะเดี๋ยวสิ! ฉันไปด้วย”  เธอคว้าชายเสื้อเขาเดินตามไปอย่างขวัญหนีดีฝ่อ  

    ไอ้บ้าเอ๊ย!  พูดถึงทำไมเนี่ย…!!  คนยิ่งกลัว ๆ อยู่  ว่าจะไม่คิดถึงแล้วเชียว

    “ไม่ต้อง!  ทำตัวเป็นเด็กสามขวบไปได้  เดี๋ยวก็เดินชนกันตายพอดี  ห้องก็แคบแค่นี้”  เขาดุแล้วสาวเท้าห่างออกไป    นอกจากแกล้งให้กลัวแล้ว   ยังทำเป็นไม่สนใจอีกต่างหาก

    “โธ่!  ทีใครทีมันนะ  อย่าให้ถึงทีของฉันบ้างล่ะกัน  เชอะ!”  วิภวาสะบัดหน้ากลับ  

    ถึงจะรู้ว่าเขาแกล้งหลอกให้กลัว   แต่เธอกลับกลัวจริง ๆ  และเอาอุปทานเกี่ยวกับผีออกจากจิตใจไม่ได้ด้วยสิ!  พยายามคิดถึงเรื่องอื่น  เพราะรู้ว่า  ถ้าเปลี่ยนความคิดได้  จะเลิกกลัว    สายตาเพ่งมองออกไปภายนอก  ลมชื้น ๆ พัดเข้ามาปะทะร่างของเธอเบา ๆ จนรู้สึกหนาวยะเยือก  จนต้องกระชับคอเสื้อเชิ้ตของเขาที่สวมอยู่เข้าหากัน  ยืนฟังเสียงฝนที่ยังตกหนักอยู่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่าย ๆ  รีบเอามือปิดหู  เมื่อแสงสว่างวาบขึ้น   แล้วตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหว  

    ไอ้ฝนบ้าเอ๊ย!  ทำไมไม่ไปตกให้ชาวไร่ชาวนาวะ!   กทม.  ไม่ได้ทำไร่ทำนานะเฟ้ย!  

    พาลโกรธฟ้าฝนอีกต่างหาก   ใจเริ่มกังวลว่า   จะกลับหอพักยังไงดี   จะอยู่กับเขาสองต่อสองแบบนี้ทั้งคืนก็คงไม่ดีแน่

    “ป่านนี้  พ่อจะเป็นยังไงบ้างนะ”  เธอคิดถึงพ่อแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันนานหลายปีแล้วก็ตาม   วันที่พ่อทะเลาะกับแม่อย่างรุนแรง   แล้วเดินจากเธอกับแม่ไป  อย่างไม่กลับมาอีก   วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนักมากอย่างวันนี้

    “ทำไมพ่อต้องกลัวแม่ด้วย  ทำไมไม่ยอมบอกว่าพ่ออยู่ที่ไหน  แม่ลืมพ่อไปตั้งนานแล้ว  คงไม่ไปอาละวาดกับพ่ออีก  ทำไมพ่อถึงไม่เชื่อ…”  น้ำตาเริ่มซึมออกมาคลอดวงตาคู่นั้น  เมื่อนึกถึงครั้งที่พ่อโทรมาหา  เธอพยายามถามว่าท่านอยู่ที่ไหน   แต่พ่อกลับไม่เคยบอกเลยซักครั้งเดียว    วิภวารีบปัดความคิดนั้นออกไป  เพราะทุกครั้งที่คิดถึงพ่อ  น้ำตาทำท่าจะทะลักขอบตาออกมาทุกที  เธอรู้สึกขายหน้า  หากหญิงเก่งอย่างเธอต้องแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็น  คงจะเสียฟอร์มน่าดูเลย

    แสงสว่างเรือง ๆ สว่างวาบขึ้นตรงมุมห้องอีกด้านหนึ่ง

    วิภวาหันกลับมา  มองเห็นแสงสว่างจากลำเทียนที่อยู่ในมือเขา  ยืนมองเขาวางเทียนตามจุดต่าง ๆ ของห้องทำให้ห้องสว่างไสวด้วยแสงสีทองของเปลวเทียน

    “วิภหรี่บานเกร็ดหน่อย”  เขาบอกเธอเมื่อเห็นเปลวเทียนไหวตามลมแรงที่พัดกระหน่ำรอดผ่านบานเกร็ดเข้ามา  ทำท่าจะดับ
    “นายเตรียมพร้อมเสมอเลยนะ  เศาร์”  เธอหมุนบานเกร็ด  แล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม
    “อยู่แล้ว….”  ชายหนุ่มยิ้มระรื่น  มือหยิบพู่กันแกว่งในกระป๋องน้ำ

    “ว่าแต่คิดนานไหมค่ายกลนี้”   เธอแหย่พลางหัวเราะร่วน  เพราะถึงนึกค่ายกลในหนังจีน  แทนที่จะเป็นหนังรักโรแมนติก

    “ค่ายกลไรเล่า!  หยุดบ้าหนังจีนเลย  มานี่เลย  ทำงานเดียวนี้!”    เขาตวัดสายตาดุ ๆ ขึ้นมามอง   พลางหยดน้ำตาเทียนลงบนโต๊ะญี่ปุ่นเตี้ย ๆ ซึ่งเธอนั่งทาบแบบกระดาษแข็งอยู่ก่อนหน้านี้   แล้ววางเทียนลงบนน้ำตาเทียนนั้น  

    “นายเป็นคนจังหวัดไหน”  วิภวาชวนเขาคุย   เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน  แต่กลับยังไม่เคยซักประวัติความเป็นมาของเขาเลย
    “สุโขทัยน่ะ”  เขาตอบพลางแต้มสีดำลงบนชิ้นงานอย่างมีสมาธิ
    “แล้วนายมีพี่น้องกี่คนล่ะ”  เธอกดดินสอลากเส้นตามแบบลงบนกระดาษแข็ง
    “เราเป็นคนโต  มีน้องชายน้องสาวอีกอย่างละ 2 คน”  เขาตอบโดยไม่ได้เงยหน้ามองเธอ   สายตาจับอยู่ที่ชิ้นงานเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
    “ดีนะ  คงสนุกสิ  ฉันนะเป็นลูกคนเดียว  เหงาจะตาย”  วิภวาขยับแบบตรงที่ว่างถัดมา

    “โหย…หนุกบ้าอะไร  ตีกัน  ทะเลาะกัน  เช้า  กลางวัน เย็น ก่อนนอน  เราน่ะ ปวดหัวจะตาย”

    มิน่าล่ะ!  เพราะเป็นลูกคนโต  เขาจึงรับผิดชอบงานได้ดี  และมักเป็นคนคอยดูแลเพื่อน ๆ เสมอ

    “แต่มันคงดีกว่าไม่มีใครเลยนี่นา”  เธอกระซิบบอกตัวเองเบา ๆ ไม่อยากให้เขารับรู้ถึงความเหงา  เมื่อเธอกลับบ้านแล้วไม่เจอใครเลย

    “แล้วแม่เธอทำอะไรล่ะ”  วิภวาถามต่อไป
    “ครอบครัวเราทำนาทำไร่  ทำสวนด้วย  เราถึงได้แข็งแรงบึกบึนอย่างงี้ไงล่ะ”  เขาหัวเราะร่วน   ก่อนจะหยุดทำงานขึ้นมาแอ่นอก  แสดงท่าความแข็งแรงประกอบ

    เพื่อนสาวหัวเราะตามอย่างขำ ๆ ในท่าประกอบของเขา

    “ว่าแต่แม่เธอล่ะ  ทำอะไร  เด็กเทพไม่ใช่เหรอเธอน่ะ”

    “เป็นพยาบาลน่ะ  ไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก  เดี๋ยวเข้าเวรเช้า  ออกเวรบ่าย  เข้าเวรดึก”

    “แล้วพ่อเธอล่ะ”

    “พ่อเราเปิดร้านทำแว่นตานาฬิกาอยู่ต่างจังหวัดน่ะ”  หัวใจของเธอเหมือนถูกกระตุก  เมื่อเขาถามถึงพ่อของเธอ
    “เหรอ….ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ…แล้วไปเปิดอยู่ที่ไหนล่ะ”  แล้วตวัดปลายพู่กันบนชิ้นงานซ้ำอีกครั้ง
    “ไม่รู้…ฉันไม่รู้หรอก”  พยายามบังคับน้ำเสียงให้ราบเรียบ   เมื่อน้ำตาเริ่มคลอหน่วยอีกแล้ว
    “อ้าว…ไม่รู้เหรอ…ทำไมไม่รู้ล่ะ”  เขาเปลี่ยนพู่กันเป็นเบอร์เล็กลง  แล้วแตะสีใหม่ขึ้นมาแต้มในส่วนที่ละเอียดขึ้น

    วิภวานิ่งอึ้ง  เงียบกริบไม่มีคำตอบของคำถามนั้น

    “ฉันไม่รู้…ฉันไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพ่อ…นั่นสิ!  ทำไม! ทำไมฉันถึงไม่รู้ว่าพ่อตัวเองอยู่ที่ไหน  ทำไม…ทำไมถามพ่อ…พ่อถึงเลี่ยงไม่ยอมบอก  ฉัน…ฉันคงไม่ควรรับรู้ว่าพ่อของตัวเองอยู่ที่ไหน  ใช่มั้ย!”  เธอนั่งก้มหน้าถามตัวเองอยู่ในใจ

    เศาร์เงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นวิภวาเงียบไป  เขาตกใจที่เห็นเธอร้องไห้  มองหยดน้ำที่รินไหลเป็นทางตามผิวแก้ม  สะท้อนกับแสงเทียนเป็นประกาย

    วิภวารีบยกมือปาดน้ำตา  เมื่อเห็นเขามองมา  แล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น

    “วิภ…วิภ…เรา…ขอโทษ  เราไม่ตั้งใจ”  เขาไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีกว่านั้น

    เศาร์ลุกขึ้นเดินไปหยิบกระดาษทิชชุมาส่งให้เธอ
    “เราลืมไปว่าพ่อแม่เธอแยกกันอยู่  ขอโทษนะ”  เขานั่งลงข้าง ๆ เพื่อนสาว
    “ฉันไม่ได้เสียใจหรอกที่พ่อกับแม่หย่ากัน  แยกกันอยู่”

    เธอเงยหน้ามองเขา  มองเห็นแสงเทียนวูบไหวอยู่ในดวงตาคู่นั้น  รีบยกมือป้ายน้ำตาที่ไหลออกมาอีก

    “พ่อแม่ฉันอยู่ด้วยกันทะเลาะกันทุกวัน  ครอบครัวฉันไม่ได้มีความสุขเหมือนของนายเลย”

    “อ้าว…ไม่ดีเหรอ  จะได้ไม่เหงาไง”  เขากระเซ้าแหย่

    “นี่!  อย่ากวนได้มั้ย!”  เธอชักยัวะ!!  สายตาจ้องหน้าเขาเขม็ง  

    คนกำลังเศร้านะเฟ้ย!!

    เศาร์หัวเราะเบา ๆ   แล้วเอาแต่นั่งจ้องหน้าเธอ

    “มองอะไร! ไม่เคยเห็นคนร้องไห้หรือไง”  เธอเริ่มอารมณ์เสีย

    “ไม่เคย…!”  เขายักไหล่  ยิ้มอย่างกวนบาทา  ลอยหน้าลอยตาอย่างกวนประสาท

    “โกหก!”  เธอชักโมโห  “นายผิดศีลแล้วนะ”

    “เอ๊…ไม่ผิดหรอก  ก็เราไม่เคยเห็นคนร้องไห้ที่ชื่อวิภวา…นี่นา…จะผิดได้ยังไง”

    “นายนี่!  บอกว่าอย่ากวน ๆ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง”  เธอเอื้อมมือมาทุบเขาตุ้บตั้บหลายที

    เขายึดมือเธอไว้  “อ๊ะ…อ๊ะ…อย่ามาป้ายขี้มูกใส่เราสิ”

    เธอพยายามดึงมือตัวเองออก  “ไอ้..บ้า!  ปล่อยนะ”

    “นี่…แล้วก็ห้ามป้ายขี้มูกกับเสื้อเรานะ  เราไม่ยอมด้วย”  เขาอมยิ้มแล้วปล่อยมือเธอกลับไป  เดินไปนั่งลงที่เดิมมองเห็นเธอค้อนใส่เขาตาเขียวปัด

    “หยุดร้องไห้แล้วก็ทำงานต่อสิ!  เดี๋ยวเถอะ  อู้เหรอ!”  แล้วเขาก็ลงมือทำงานต่อ

    วิภวามองเขาก้มหน้าก้มตาทำงาน
    “ที่แท้…นายคงไม่อยากให้เราร้องไห้  ก็เลยหาเรื่องกวน  โธ่! เอ๊ย!  นายคงพูดปลอบใครไม่เป็นล่ะสิ”  ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มน้อย ๆ  แล้วหยิบดินสอขึ้นมาทำงานต่อ

    เสียงฟ้ายังคำรามครืน ๆ อยู่ภายนอก  ฝนซาลงบ้างแล้ว   ได้ยินเพียงเสียงจ้อกแจ้ก ๆ เบา ๆ

    เศาร์เงยหน้าจากงานตรงหน้า  เหลือบดูนาฬิกาที่ผนังห้อง  ขณะนั้นบอกเวลาตี 2  วันใหม่กำลังเริ่มขึ้นแล้ว  เขาหันไปมองเพื่อนสาว  ส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นดินเข้าไปหาเธอ  ยืนเพ่งมองวิภวาที่ฟุ้บหน้าหลับตาพริ้มอยู่กับโต๊ะ  ในมือเธอยังกำดินสอไว้อยู่  มองรูปสุดท้ายที่เธอทาบแบบมันเหยเกบิดเบี้ยว  เขาเอื้อมมือไปดึงดินสอออกจากมือเธอ  ทันทีที่ดินสอหลุดออกจากมือเรียวนั้น  เขาก็สะดุ้งเมื่อเธอคว้ามือเขาไว้

    “พ่อ…”  เขาก้มลงตะแคงหูฟังเสียงเธอครางเรียกพ่อเบาๆ  พร้อมกับมองเห็นน้ำตาระรินเอื่อย ๆ อย่างช้า ๆ

    “วิภฝันร้ายหรือ…”
    เขาค่อย ๆ ดึงมือตัวเองออกมา  แล้วเขย่าร่างเธอเบา ๆ  เพื่อปลุกเธอให้ตื่นจากฝันร้าย

    “วิภ…วิภ…”

    เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ

    “ง่วงก็ไปนอนเถอะ  มา…เร็วลุกขึ้น  เดี๋ยวก็นำลายยืดรดกระดาษเป็นด่างเป็นดวงพอดี”

    “แหม..นายคงไม่เคยมองฉันในแง่ดีเลยสินะ  ฉันน่ะ  เกิดมาสาบานได้ว่าไม่เคยนอนน้ำลายยืดน้ำลายหกนะ  อย่ามาตู่กันดีกว่า  นายล่ะสิเป็นบ่อย”  เธอลุกขึ้นจากโต๊ะเดินตามเขาไป
    “ไม่มีที่นอนนิ่ม ๆ หรอกนะ  มีแต่เสื่อ  หมอนก็ไม่มี  เอาผ้าหนุนก็แล้วกัน”  เขาจัดแจงจัดที่หลับที่นอนให้เธอ

    “ไม่เป็นไรหรอก  ฉันอยู่ง่าย…กินง่าย…นอนก็ง่าย…..”  ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอน
    “เอ้า!  นี่ห่มซะอากาศเย็น”  เขาโยนผ้าห่มให้

    “โธ่!  นายนี่!  โยนดี ๆ หน่อยก็ไม่ได้  ลงหัวฉันทุกที!”  เธอรีบลุกขึ้นดึงผ้าห่มที่โปะลงมาบนหัวออก

    เศาร์หัวเราะ  “นี่…นอนดี ๆ ล่ะ  อย่าให้โป๊ะนะ”

    “รู้แล้วน่ะ!  แต่ถ้าเกิดโป๊ขึ้นมานายห้ามมองนะ”

    “ไม่รู้ซี…แล้วแต่ว่ามันจะหันไปจ๊ะเอ๋รึเปล่า  นอนดี ๆ แล้วกัน  ไงถ้าโป๊เราจะมาดึงปิดให้เอง”

    “บ้า!  ทะลึ่ง!”  เธอล้มตัวลงนอนเอาผ้าห่มคลุมโปง

    “อ้าว! จะช่วยให้ไม่โป๊ยังจะว่าอีกแหนะ”

    “นี่! นายน่ะหยุดกวนฉันซะที  ฉันหนวกหูจะนอนแล้ว”  เธอตะโกนอู้อี้อยู่ในผ้าห่ม

    “คร้าบ….”  เขารับเสียงยาวยืด

    “ฝันดีนะวิภ  ขอให้ฝันว่าพ่อมาหาเธอนะ”  เขาอวยพรเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่จะลงมือทำงานต่อ

    วิภวาค่อย ๆ โผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มช้า ๆ มองเห็นเขาก้มหน้าทำงานอย่างขะมักเขม้น

    “ขอบใจ…เศาร์”  เธอบอกเขาในใจก่อนที่จะผล็อยหลับไป


    แสงทองของวันใหม่ฉาบรังสีเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมสว่างขึ้น  เสียงนกเล็ก ๆ คุยกันกระจุ๊กกระจิ๊กอยู่ภายนอก  บรรยากาศยามเช้าสดชื่นแจ่มใส

    วิภวาขยับตัวลุกขึ้นรีบสำรวจตัวเอง  เธอถอนหายใจโล่งอกที่ทุกส่วนของร่างกายอยู่ในสภาพเรียบร้อยดี  มองเห็นเพื่อนหนุ่มนอนตะแคงเหยียดยาวอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง  เธอลุกขึ้น  หอบผ้าห่มไปห่มให้เขา

    “ขอบใจนะ  นายคงหนาวแย่แล้ว”

    เศาร์รู้สึกตัวทันทีที่ผ้าห่มคลุมลงบนกาย แต่ยังคงนอนนิ่งอยู่  ได้ยินเสียงเธอเปิดประตูออกไปที่ระเบียงหลังห้อง  เขานอนเล่นอีกซักพักหนึ่งจึงลุกขึ้น  สลัดหัวแรง ๆ รู้สึกหนัก ๆ ที่หัว   แล้วเดินตรงไปยังระเบียง

    “ตื่นแต่เช้าเลยนะวิภวา”  เขาก้าวออกไปที่ระเบียงพลางเสยผมที่ยุ่ง ๆ อย่างรวก ๆ

    “แล้วนายล่ะ  ทำไมรีบตื่น  นอนกี่โมงล่ะ  หรือว่ากลัวนอนน้ำลายยืด  อ้าปากหวอให้ฉันเห็น”  เธอหัวเราะคิกคักที่ได้เป็นฝ่ายกวนแก้แค้นเขา

    “นี่…มาแอบดูเรานอนหรือไง  ไม่เห็นจริงอย่าพูดดีกว่า”  เขามองเธอที่ยืนพิงกำแพงอยู่  ลมเย็นชื้นพัดผมเธอพลิ้วไหวเบา ๆ
    “นายชอบปลูกดอกไม้เหรอ”  วิภวามองเห็นกระถางดอกไม้วางอยู่เรียงราย  ส่งกลิ่นหอมรวยริน
    “อืม…เห็นดอกไม้แล้วมันสดชื่นดีนะ”  เขาชะงักนิดหนึ่ง  แล้วขยับเข้าไปใกล้ร่างเล็กบอบบางนั้น  “ขอโทษนะวิภ  อยู่เฉย ๆ นะ”

    วิภวาตกใจ!!  รีบถอนตัวออกไปทางประตูแต่ถูกเขาจับไหล่ไว้

    “เฉย ๆ ซี่…มดน่ะ  มดอยู่บนหัวเธอ  ตัวบะแอ้บเลย”  เขาดึกร่างของเจ้ามดออกจากเส้นผมของเธอ
    “ทางของเจ้าอยู่นี่…เจ้ามด”  เธอมองเขาปล่อยมันไต่ไปตามกระถางดอกไม้
    “ชีวิตนายดูมีความสุขจังเลยนะ”

    เศาร์ถอยตัวห่างออกมาก้าวหนึ่ง  “คนรามีทุกข์ทั้งนั้นแหละนะ  ไม่ทุกข์เรื่องนี้ก็ทุกข์เรื่องโน้น  เชื่อมั้ย…ไม่มีใครไม่มีทุกข์   ไม่มีปัญหาหรอก   อยู่ที่เราจะใส่ใจกับทุกข์นั้นแค่ไหนน่ะ  ใส่ใจมากก็ทุกข์มาก  ใส่ใจน้อยก็ทุกข์น้อยเธอก็เหมือนกันอย่าคิดมากนะ”

    เธอมองเห็นความห่วงใยในสายตาเขา  รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
    “แล้วนายมีทุกข์อะไรล่ะ  ถ้าทุกข์แล้วนายทำยังไง”

    “ถ้าเราทุกข์เหรอ  ก็ใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าไง  อริยสัจ 4 น่ะ  ทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  มรรค”  เขาท้าวแขนกับขอบระเบียง

    “จริงง่ะ”  เธอไม่ค่อยอยากจะเชื่อ

    “ไม่จริงก็ผิดศีลข้อ 4 ซี  ทำไมหน้าเราไม่ให้เหรอ”

    “ฮื่อ…ก็นายน่ะชอบกวนเรื่อยเลย  แบบนี้เขาเรียกว่า  เพ้อเจ้อ…”

    “โธ่…เราก็ไม่ใช่พระอรหันต์นี่นา  ก็ต้องมีหลุดกันบ้าง  แต่เราก็พัฒนาขึ้นนะ  เดี๋ยวนี้เราไม่พูดทะลึ่งแล้ว  เห็นอ๊ะเปล่า…”

    วิภวาหัวเราะ  “เออๆ เห็นแล้วจ้ะ  ว่าแต่ธรรมะช่วยดับทุกข์ได้จริงเหรอ”

    “ได้สิ  ถ้าเราศึกษาเรียนรู้จริง  เธอลองใช้บ้างนะ”  น้ำเสียงเขาอ่อนโยน  

    “ที่จริงเราเป็นชาวพุทธไม่ใช่เหรอ  ศาสนามีไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ  แต่ทุกวันนี้ไม่รู้เขายึดเหนี่ยวจิตใจด้วยอะไรกัน  ธรรมะไม่ใช่แต่นั่งสมาธิหลับตาอย่างเดียวหรอกนะ  นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น  ที่จริงธรรมะก็อยู่รอบ ๆ ตัวเรานี่แหละ  ธรรมะก็คือความดีนั่นเอง  เช่น  ถ้าเธอไม่คืนเสื้อตัวนี้ให้เรา  โดยที่เราไม่อนุญาตเธอก็เป็นคนไม่ดี  ขึ้นชื่อว่า  ขโมยเสื้อเรา  นั่นก็คือเธอผิดศีลข้อ 2  เป็นคนไม่มีธรรมะไงล่ะ  เธอมาช่วยเราทำงาน  เธอมีน้ำใจ  นั่นก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง”

    “สา…ธุ…….”  เธอลากเสียงยาวหลังจากที่เขาเทศนาจบ  พลางยิ้มอย่างขำ ๆ

    “ธรรมะช่วยได้จริง ๆ นะ  หาว่าเราพูดเล่นหรือไง  เธอเองก็ลองดูมั่งดิ”

    “จ้ะ!  แล้วฉันจะลองดู  แต่ว่าตอนนี้ท้องฉันร้องจ๊อก ๆ แล้วล่ะ  ทุกข์ก็คือ  ฉันหิวแล้ว  วิธีดับทุกข์ก็คือ  เราต้องไปหาข้าวใส่ท้องกันแล้วล่ะ”  วิภวาหัวเราะ

    “งั้นอาตมาภาพจะพาโยมไปฉันเจมังสวิรัตินะ  ไปมั้ย”

    “นิมนต์เจ้าค่ะ  ไปซี่…วันนี้ฉันจะหยุดเบียดเบียนสัตว์โลก 1 วัน  ก็แล้วกันนะ  หลวงพ่อ”  เธอหัวเราะ  แล้วเดินตามร่างสูงกลับเข้าห้อง  เธอไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายกวน ๆ อย่างเขาจะมีธรรมะอยู่ในใจขนาดนี้  พึ่งเคยเห็นเขาพูดจาเป็นธรรมะก็วันนี้เอง  ทุกทีเขามักจะพูดจากวน ๆ ไร้สาระตลอด  

    แต่…เธอรู้ว่า…ในคำพูดกวน ๆ ของเขามีความห่วงใยเธอซ่อนอยู่

    18-8-39
    ปรับปรุงใหม่ 14-9-48

    ==========  

    สวัสดีค่ะ  สบายดีรึเปล่าคะ  ฝนตกทุกวันเลย   รักษาสุขภาพกันด้วยค่ะ  ก็เอางานเก่ามาปัดฝุ่นอีกแล้วค่ะ  ขอคำแนะนำด้วยนะคะ  ^ _ ^



    แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 48 12:33:41

    จากคุณ : ริเศรษฐ์ - [ 14 ก.ย. 48 12:30:34 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป