CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ร้ายกว่าโจร

    ร้ายกว่าโจร
                                                                             

                       เมื่อผมได้ยินเสียงลูกชายร้องเรียกนั้น เป็นเวลาประมาณสองยามของคืนหนึ่งในเดือน เมษายน ใกล้จะสงกรานต์ของปีที่เงินบาทเพิ่งลอยตัวใหม่ เสียงนั้นแทรกเข้ามาในโสตประสาทของผมอย่างรุนแรงจนต้องสะดุ้งตื่น

                       "คุณพ่อครับ! ไฟไหม้ครับ!!..."

                       "หา...ว่าไงนะ"

    ผมไม่ได้งัวเงียแต่ถามให้แน่ใจ

                       "ไฟไหม้ครับ ไฟไหม้!!!..."

                       ผมโผล่พรวดออกจากห้องนอน ก็ได้ยินเสียงเพื่อนบ้านผู้หวังดี เที่ยววิ่งร้องตะโกนปลุกชาวบ้าน
    ดังสนั่นลั่นไปทั่วซอย
    ผมรีบออกไปหน้าบ้านและร้องตอบไปว่า มีเครื่องดับเพลิง จะเอาไปใช้ไหม
    แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็รู้ตัวว่าช้าไปเสียแล้ว เพราะแลเห็นเปลวเพลิงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าตรงช่องว่างหน้าบ้าน
    ถัดออกไปสัก ๒ - ๓ หลัง
    จึงรีบบอกให้ลูกชายวิ่งออกไปดู แล้วกลับมารายงานโดยเร็ว
    ว่าต้นเพลิงอยู่ตรงไหนแน่

                       ครู่เดียวก็ได้ข่าวว่า ไฟกำลังไหม้ห้องแถวไม้ ๖ - ๗ ห้องริมซอยใหญ่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งทำเป็นผับสำหรับคนกลางคืน
    ถัดมามีบ้านคั่นอยู่ ๒ หลัง และมีซอยเล็กอยู่หน้าบ้านอีก จึงมีกำลังใจตั้งสติสั่งการให้ลูกบ้าน เตรียมเก็บสมบัติที่มีค่ากองรวมไว้  
    ถ้าเพลิงลามข้ามซอยใหญ่ ก็เป็นอันว่าได้ออกแรงกันละ  เสร็จแล้วก็นั่งรออนาคตที่จะมาถึงในเวลาอันใกล้
    เพราะไม่มีอะไรจะต้องทำให้ดีกว่านี้อีกแล้ว

                       ผมมีแผนเผชิญเหตุไว้นานแล้ว ตั้งแต่ยังไม่เกษียณอายุ เพราะอาจเกิดเพลิงไหม้ในเวลาที่ผมไม่ได้อยู่บ้าน จะได้ไม่ตื่นตกใจจนเกินเหตุ

                       ประการแรก  ของที่มีค่าทั้งหลาย เช่นแก้วแหวนเงินทอง ต้องอยู่รวมที่เดียวกัน เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ก็กวาดใส่ถุงพลาสติก ยัดใส่กระเป๋าถือเอาไปได้ทั้งหมด

                       ประการที่สอง เอกสาร เช่น สมุดฝากออมสิน หรือธนาคาร ทะเบียนบ้าน โฉนดที่ดิน หนังสือสำคัญต่าง ๆ ต้องใส่กระเป๋าพิเศษไว้ในที่ซึ่งหยิบฉวยง่าย  

                       ประการที่สาม เสื้อผ้าในตู้ต้องแขวนตะขอ ให้หันไปทางเดียวกันทั้งหมด เมื่อต้องการจะขน ก็ถลกเอาผ้าปูที่นอนมากางออก
    แล้วก็คว้าไม้แขวนเสื้อ กางเกงกระโปรง ตามความต้องการกองลงไว้ตรงกลาง รวบชายทั้งสี่ผูกเงื่อนตาย  
    ถ้าน้ำหนักมากเกินกำลังจนแบกหามไม่ไหว ก็ลากไปเลย

                           เพียงสามประการนี้ก็คงจะพอยังชีพต่อไปได้ เพราะคงไม่มีโอกาสกลับมาขนเอาอย่างอื่นอีกแล้ว ของหนักทั้งหลายต้องทิ้งไว้หมดอย่ามัวเสียดาย

    เมื่อขนไปกองตามจุดที่คิดว่าปลอดภัยแล้ว ต้องมีคนเฝ้า ไม่เช่นนั้นเมื่อหมดภัยแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะเหลืออีกเหมือนกัน

                       แผนที่ว่านี้ผมเคยเขียนใส่กระดานดำ ทิ้งไว้เป็นแรมเดือนให้ลูกบ้านได้จดจำให้ขึ้นใจ พร้อมกับซักซ้อมว่า ถ้าเหตุเกิดด้านนี้ จะหนีไปทางไหน จุดนัดพบอยู่ที่ไหน ไม่ใช่วิ่งไปคนละทาง แล้วก็ต้องวิ่งหากันอีก กว่าจะเจอก็อาจสายไปเสียแล้ว

                      และตลอดเวลาที่อยู่หมู่บ้านแห่งนี้มา หลายสิบปี  ก็ได้มีการซ้อมหนีภัยโดยเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง ร่วมสิบครั้ง                    

                       ครั้งแรกนั้นนานมากแล้ว ทั้งหมู่บ้านซึ่งแบ่งพื้นที่ออกเป็นแปลงละ ๖๐  ตารางวา ยังมีบ้านปลูกอยู่แปลงละหลังเดียวเดี่ยวโดด ไฟไหม้บ้านไม้ห่างจากบ้านผมไม่มากนัก แต่เราไม่ต้องขนของเลย เพราะไม่มีทางลามไปติดบ้านอื่น ไฟลุกชั้นบนอยู่ไม่ช้า   ก็มีรถดับเพลิงเพียงคันสองคัน มาดับไฟได้เรียบร้อย

                       ต่อมามีการแบ่งแยก ๖๐ ตารางวา ให้เป็นสองส่วน เมื่อปลูกบ้านแล้วก็ค่อนข้างจะชิดกัน ต่อมาอีกก็ปลูกบ้านมากกว่าหนึ่งหลัง ในพื้นที่ ๓๐ ตารางวา  ก็ทำให้แน่นขนัดยิ่งขึ้นไปอีก

    ต่อมาก็เป็นห้องแถว แต่ที่ยังไม่กลายเป็นสลัม หรือแหล่งเสื่อมโทรมไปดังเช่นที่อื่น ก็เพราะว่าเจ้าของที่ดินแห่งนี้มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ได้ตัดซอยไว้เป็นเส้นตรงพาดกันเป็นตาหมากรุก ปัจจุบันจึงเป็นซอยที่รถแล่นผ่านได้ ทั้งสี่ด้านถึง ๑๒ ทาง

                       เมื่อเกิดเหตุเพลิงใหม้แต่ละครั้ง ก็จะมีการเสียหายไม่เกินหนึ่งล็อค คือเป็นพื้นที่ ๖๐ ตารางวารวมแปดแปลง เว้นแต่คราวที่ใหญ่ที่สุด ลมพัดหวนไปหวนมา  รวมแล้วประมาณสี่ล็อค นับบ้านเรือนกว่ายี่สิบหลังคาเรือน

                       ครั้งนั้นเป็นเวลาเย็น ผมยังจำได้ติดใจ  เพราะเป็นวันที่ ๓ ธันวาคม  ผมแต่งเครื่องแบบเต็มยศ  
    รอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท อยู่ที่เต๊นท์หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม   ในงานสวนสนามของทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์

    ที่หน้าเต๊นท์มีเครื่องรับโทรทัศน์ตั้งอยู่เต๊นท์ละหนึ่งเครื่อง  ผมมองไม่เห็นภาพเพราะสะท้อนแสง แต่ได้ยินเสียงท่านผู้การคนดังของสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง ๕ ประกาศว่า ขณะนี้ไฟกำลังไหม้อยู่ที่หมู่บ้านของผม พอหันหลังกลับไปดูขอบฟ้า เห็นควันสีดำพลุ่งขึ้นเป็นลำ  ไม่ทราบว่าเหงื่อมาจากไหนลงจากต้นคอเข้าไปในเสื้อเครื่องแบบ โชกราวกับใครเอาน้ำมาราดสักปี๊บ

                       แต่ก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปทางไหนได้  เพราะใกล้เวลาเสด็จพระราชดำเนินแล้ว และไม่มีเส้นทางที่จะเดินหลบพลับพลาที่ประทับ ด้านหน้าสวนอัมพรไปได้เลย

    วันนั้นจึงกลับถึงบ้านเมื่อเวลาทุ่มกว่า ด้วยหัวใจที่เหี่ยวแห้ง เพราะไม่รู้ชะตากรรมของตนเอง ถ้าเจอบ้านเหลือแต่เสาดำโด่เด่ ก็ถือว่าเป็นเวรกรรมของเรา

    เคราะห์ยังดีที่เหตุเกิดห่างจากซอยบ้านผมไปถึงสองซอย ไม่ต้องขนอะไรเลย

                       อีกครั้งหนึ่ง ไปเป็นเพื่อนน้องสาวที่โรงพยาบาล พอหมอตรวจซื้อยาได้เรียบร้อยแล้วก็ไปกินอาหารกลางวัน จนอิ่มหนำสำราญเกือบบ่ายโมง  เรียกรถแท็กซี่จะกลับบ้าน  

    คนขับก็บอกว่าถ้าจะไปลำบาก เพราะแถวนั้นเกิดไฟไหม้ตั้งแต่ตอนเที่ยง ผมรู้สึกจะเข่าอ่อนไปเลย ต้องขอร้องให้ช่วยพาไปหน่อยเถิดเพราะบ้านผมอยู่แถวนั้นเอง ไปได้แค่ไหนก็แค่นั้น ต่อจากนั้นผมจะเดินไปเอง

    โชเฟอร์ก็แสนดีพาหลบหลีกลดเลี้ยวไป จนใกล้หมู่บ้านไปต่อไม่ได้แล้ว เราสองคนก็พากันเดินจ้ำเข้าไปในซอย ซึ่งห่างจากบ้านเราไม่มากนัก

    พอมองเห็นจุดเกิดเหตุก็รู้ว่าบ้านเราปลอดภัย น้ำตาพาลจะไหลเสียให้ได้ ถ้าเคราะห์ร้ายก็ไม่มีอะไรเหลือแน่นอน เพราะไม่มีคนอยู่บ้าน ออกไปทำงานกันคนละทิศ

                       เล่าแล้วก็ต้องย้อนไปถึงครั้งที่สำคัญที่สุด ก่อนหน้านี้หลายปี ผมเป็นพนักงานชั้นปลายแถว ของสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง ๕ เหมือนกัน วันนั้นเป็นเช้าวันอาทิตย์  กำลังจะเริ่มรายการธรรมะของหลวงพ่อชื่อดัง ทางปากเกร็ด อยู่ในห้องส่งเล็ก

    เพื่อนที่เป็นพนักงานระดับเดียวกันเข้ามาบอกว่า ไฟกำลังไหม้อยู่แถวบ้าน ผมก็เลยฝากให้เขาช่วยดูแลงานในหน้าที่ของผมด้วย  ตัวผมเองก็รีบจับรถแท็กซี่กลับ แต่ต้องลงเดินห่างจากบ้านมาก เห็นแต่รถดับเพลิงเต็มท้องถนน  

    ผมมองผ่านบ้านที่ถูกไฟไหม้ราบลงแล้ว เห็นหลังคาบ้านผมยังอยู่ ใจก็ชื้นมาเป็นกอง

                       ปรากฏว่าคราวนี้ห่างจากบ้านออกไป เพียงบ้านเดียวเท่านั้น  มีคนอยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตากันก็จริง แต่ลูกชายสองคนยังเล็กนักช่วยอะไรไม่ได้เลย แม้แต่จะเฝ้าของ ซึ่งได้ช่วยกันขนออกไปห่างจากบ้านอีกสองซอย  

    ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นึกว่าไม่รอดแล้วคราวนี้   ผมก็ปลอบใจกันไปตามเรื่อง แล้วก็ช่วยกันขนของกลับ ห่อผ้าปูที่นอนห่อใหญ่ ที่แม่บ้านของผมลากไปคนเดียวจนด้านล่างขาดเป็นรู ขากลับต้องสองสามคนช่วย

    เพื่อนที่ซอยต้น ๆ  ก็พาเพื่อนอีกคนมาช่วยขนเอาตู้เย็นขนาดห้าคิว พร้อมด้วยของเต็มตู้ ช่วยกันลากลงบันไดไปได้ถึงสองซอย ขากลับต้องสี่คนหามจึงจะขึ้นบ้านได้

                       เพราะมีประสบการณ์เช่นนี้แหละ  จึงได้ออกเป็นระเบียบปฏิบัติประจำไว้ ดังที่เล่าข้างต้น

                       ผมนั่งเฝ้าของอยู่ที่โต๊ะใกล้ลานหน้าบ้าน หูฟังเสียงรถดับเพลิงสูบน้ำกันอยู่เซ็งแซ่ไปหมด  ตาก็จับอยู่ที่เปลวเพลิงซึ่งค่อยลดตัวลง และมีควันสีขาวพลุ่งขึ้นมาแทน พอไฟย้ายที่ไปอีกทาง น้ำก็ตามติดไป ควันสีขาวก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น

    ผมจึงให้ลูกสองคนผลัดกันออกไปดูเหตุการณ์ได้ เขาก็เข้ามารายงานว่า ไม่มีทางข้ามซอยใหญ่มาได้แล้ว คราวนี้จึงรู้สึกหิวน้ำ เมื่อเอาน้ำแข็งในกระติกมาดื่มผ่านลำคอที่แห้งผากแล้ว จึงได้ปวดท้องฉี่

                       ผมพยายามนึกถึงเหตุไฟไหม้ที่แล้ว ๆ มา ก็นึกได้ไม่ครบถ้วน จำได้แต่ว่า หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่แล้ว หมู่บ้านของเราก็มีการทำบุญ ปลอบขวัญ  หรือสะเดาะเคราะห์ ขึ้นในวันที่ ๕ พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันฉัตรมงคลของทุกปี  ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  ซึ่งแปลกกว่าทุกหมู่บ้าน ที่จะต้องมีการทำบุญประจำปี ในวันขึ้นปีใหม่ หรือวันสงกรานต์

    เมื่อมีเงินบริจาค เหลือจากการทำบุญ ก็นำไปซื้อเครื่องดับเพลิงขนาดเล็ก มาติดตั้งไว้ตามเสาไฟฟ้าจนมองเห็นแดงครืดไปหมด แต่อุบัติเหตุเพลิงไหม้ ก็ยังทยอยเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ทำให้หม้อดับเพลิงนั้นร่อยหรอลงไป แต่ก็ช่วยไม่ให้เพลิงลุกลามได้หลายครั้งเหมือนกัน  จนถึงครั้งนี้ ก็ไม่มีหม้อดับเพลิงเหล่านั้นเหลืออยู่แล้ว อีกไม่กี่วันข้างหน้าคงจะมีผู้บริจาคเงิน ซื้อเครื่องดับเพลิงชุดใหม่กันอีกที  

    เพราะโบราณว่า  กันดีกว่าแก้ ปล่อยให้แย่แล้วมันแก้ไม่ไหว

                       ดึกมากแล้ว เวลาประมาณตีสามกว่า เสียงเครื่องยนต์จากรถดับเพลิงยังไม่เงียบลง แต่กระแสไฟฟ้ากลับคืนมาดังเดิม ชาวบ้านที่ไปมุงดูเหตุการณ์ ต่างก็พากันเดินกลับ ผมออกไปยืนหน้าบ้าน ท้องฟ้าเป็นสีดำ มีแสงจันทร์นวล เห็นเพื่อนบ้านหญิงที่แก่มากกว่าผม แต่บ้านอยู่ห่างมากกว่าผม เดินผ่านมา ผมก็ถามว่า

    “ เป็นไงบ้างครับ ขนของหรือเปล่า ? “

    ท่านบอกว่า

    " ขนทำไมให้โง่ ขนออกมาให้ไอ้พวกโจรมันยกเอาไปหมดน่ะซี "  

    พอดีมีเพื่อนบ้านหญิงอีกคนหนึ่ง ที่แก่น้อยกว่าผม แต่บ้านอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากกว่าผม เดินตามมา ผมจึงร้องทักด้วยประโยคเดิม เธอกลับตอบว่า

    " ขนซีคะ โธ่...โจรปล้นสิบครั้งไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว "

    เธอตอบตามคำโบราณเหมือนกัน  ผมก็เลยไม่รู้ว่าใครผิดใครถูกกันแน่

    แต่ถึงอย่างไรหมู่บ้านของผมนี้ ก็น่าจะได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่มีอัคคีภัย มากครั้งที่สุดแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร อย่างแน่นอน.

    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 18 ก.ย. 48 19:34:51 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป