CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


                                  ชะตากรรมสุดท้าย                              

    สายลมเย็นพัดแผ่วเบา แต่ก็พอที่จะมีพลังทำให้เม็ดเหงื่อไหลที่ค้างอยู่บนคางหยดลงบนมือของผม แสงจันทร์เต็มดวง ไร้เมฆบดบัง ส่องให้เห็นใบหน้าที่คั่งแค้นของเขา ผมหลับตาลง หลบเลี่ยงไม่ให้เห็นใบหน้าที่มีชีวิตในวินาทีสุดท้ายของเขา เกร็งนิ้วมือ แล้วขยับงอมัน ส่งเม็ดกระสุนเข้าไปฝังในกลางหน้าผากของเขา


    เสียงระเบิด และปืนดังก้องมาจากชายป่า แสงจันทร์สาดฉายให้เห็นควันไฟที่ลอยขึ้นมาเป็นหย่อมๆ ผมล้วงแผนที่ออกมา แล้วจ้องมองดูมันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขยำทิ้งไป ไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกแล้ว เลยขอบชายป่าอีกด้าน ปลายยอดของจุดหมายสุดท้ายปรากฏเป็นเงาลางๆ


    ผมใช้เงาของต้นไม้ให้เป็นประโยชน์ ค่อยย่องผ่านเงาไม้ไปทีละต้น พยายามใช้ประสาทสัมผัสทุกส่วนให้เป็นประโยชน์ จนมาถึงต้นไม้ต้นสุดท้ายของขอบชายป่า ผมตระหนักว่าต้นหญ้าเหนือลานโล่งเบื้องหน้า มีอันตรายซุกซ่อนอยู่ เพียงแต่ผมหามันไม่พบ


    หลังจากเฝ้าสำรวจสภาพรอบด้านอยู่นาน ผมก็หยิบเอาลูกระเบิดออกมาจากกระเป๋าเป้ด้านหลัง กะระยะพอเหมาะแล้วดึงสลัก ขว้างมันออกไปสุดแรง ลูกระเบิดลอยข้ามลานหญ้าแล้วตกไปยังพุ่มไม้หนา เสียงระเบิดดังสนั่น ฝุ่นผงและกลุ่มควันลอยคละคลุ้ง พร้อมด้วยเสียงครวญครางโอดโอย ผมมุ่งตรงไปยังเสียงนั้น


    “อย่า”


    เจ้าของเสียงร้องโอดโอย ร้องขึ้นมาหลังจากที่ผมปรากฏตัวเบื้องหน้าเขา สองมือเขายกขึ้นมาปัดป้อง ผมยกเท้าขึ้นเหยียบยอดอก เพื่อไม่ให้เขากระเสือกกระสนหนีไป เขาใช้แรงที่มีอันน้อยนิดพยายามผลักเท้าผมออก แต่ไม่เป็นผล เลือดไหลเลอะเปรอะใบหน้า ดวงตาอ้อนวอนของชีวิต


    “ยังไง นายก็ไม่รอดแล้ว ทรมานเปล่าๆ ขอให้เราช่วยนายเถอะ”


    “ได้โปรด ผมยังไม่อยากตาย”


    “ได้โปรด”


    เขาพร่ำคำว่า ได้โปรด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นแล้วเป็นที่น่าเศร้าสลดยิ่งนัก ผมถอดมีดออกจากฝัก จ้วงแทงเข้าไปที่ลำคอ เขากระตุกอยู่พักหนึ่งแล้วก็นิ่งเงียบไป ดวงตาเบิ่งโพล่งเหมือนตัดพ้อถึงความไร้เมตรตาของผม


    ป้อมปราการชะตากรรมสุดท้ายปรากฏขึ้นมาให้เห็นแล้ว


    ท่ามกลางลานทุ่งหญ้าแห่งนี้ การคลานเป็นหนทางปลอดภัยที่สุด ผมค่อยๆ คืบคลานไปยังปราการสุดท้ายอย่างเชื่องช้า ใจก็นึกคิด ทำไมมนุษย์ต้องฆ่าฟันกัน ทำไมเราไม่อยู่กันอย่างสงบ หรือว่ามันเป็นชะตากรรมที่เราต้องแบกรับเอาไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายแล้วมนุษย์คนสุดท้ายที่ยืนอยู่บนกองซากศพ เขาจะได้อะไร


    -+-+-+-+-++-+-+-+-+-++-++--++-+-+-+-+-+-

    เหตุการณ์เมื่อสามเดือนก่อน


    ข่าวที่สร้างความตื่นตะลึงให้แก่คนทั่วโลก ได้อุบัติขึ้น ด้วยวิทยาการของโลกที่ก้าวผ่านเวลานับร้อย พันปี ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็ไขความลับในตัวของเราได้ สงคราม การฆ่าล้าง ความโกรธ และการทำร้าย คนทำต่อคน ประเทศทำต่อประเทศ สิ่งเหล่านี้มิได้เกิดจากปีศาจหรือพระเจ้าดลบันดาลให้มันเกิด ทว่ามันเกิดจากต้นกำเนิดของเรา


    ด้วยความรู้ทางด้านพันธุวิศวกรรม กล่องที่เก็บความลับของมนุษย์ได้ถูกเปิดขึ้นมา สัญชาติญาณที่ถูกฝังมาตั้งแต่มนุษย์คนแรกที่กำเนิดบนโลกนี้ สัญชาติญาณที่ทำให้เราฆ่าฟันกันเอง กระหายสงครามและทำร้ายชาติพันธุ์เดียวกัน และเดี๋ยวนี้ เราสามารถขจัดมันออกไปได้อย่างถาวร


    ในคราวแรกมีคนไม่เชื่อ และขณะเดียวกันก็มีคนคัดค้าน มีพวกชุมนุมประท้วง เริ่มขว้างปาทำลายสิ่งของ เหตุการณ์น่าจะจบเหมือนการประท้วงทั่วไป ซึ่งสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน  แต่ไม่ใช่ครั้งนี้  คนเกิดมาด้วยความรู้และเข้าใจต่างกัน การจะทำให้คนทั้งหมดบนโลกเข้าใจเหมือนกันหมด ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ใครก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไปแล้ว เพียงชั่วโมงเดียวผู้คนที่ชุมนุมประท้วง กลับถูกสยบ หรือเรียกให้ถูก ก็คือยอมถอนตัวออกไปจนหมด ไม่ต้องมีการบังคับ ไม่มีการใช้กำลัง เพียงนักวิทยาศาสตร์ยกเครื่องมือบางอย่างซึ่งพวกเขาเรียกมันว่า เครื่องขจัดสัญชาติญาณดิบ แผ่แสงไปยังผู้ประท้วง เพียงชั่วขณะ คนทั้งหมดก็ลดอาการดุดันลง พากันทิ้งอาวุธ และสำนึกถึงความเป็นมนุษย์อันประเสริฐ


    ฟังดูมันเหมือนเรื่องที่น่าตลก ศาสนาต่างๆ เกิดมานับพันปี แต่ไม่อาจจะกล่อมเกลาคนได้ เพียงนักวิทยาศาสตร์และเวลาไม่ถึงชั่วโมง กลับเปลี่ยนแปลงคนได้


    เมื่อข้อพิสูจน์ได้ปรากฏแก่สายตาของผู้คนทั้งโลก ก็เกิดความเห็นขัดแย้งกันขึ้นมาสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเห็นว่าควรจะเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงมนุษย์ทั้งหมด โดยการติดตั้ง เครื่องขจัดสัญชาติญาณดิบ ไว้บนดาวเทียมและทำให้มันทำงาน อีกกลุ่มหนึ่งกลับเห็นคัดค้าน และอย่างน่าประหลาดใจกลุ่มนี้เป็นพวกนักศาสนาทั้งหลาย พวกเขาบอกว่า หากมนุษย์จะฆ่ากันก็เพราะเป็นกฎแห่งกรรม ใครจะเปลี่ยนแปลงมันมิได้


    หลังการถกเถียงกัน (ไม่มีการชุมนุมประท้วง เพราะกลัวโดนเครื่องขจัดสัญชาติญาณดิบ จัดการเหมือนพวกแรก) จึงได้ข้อสรุป หากจะเปลี่ยนคนทั้งโลก ก็ให้คนทั้งโลกเปลี่ยนมันด้วยตัวเอง ด้วยสงครามทั้งสุดท้ายของมนุษย์


    เครื่องขจัดสัญชาติญาณดิบ ได้ถูกติดตั้งไว้บนดาวเทียมพร้อมที่จะทำงาน เปลี่ยนคนทั้งโลกได้ และมันจะทำงานได้ ก็ต่อเมื่อมีผู้กดปุ่ม ปุ่มที่กดนี้จะมีอยู่สองปุ่ม ปุ่มสีเขียวหมายถึงเปิดการทำงาน ขณะที่อีกปุ่มหนึ่งเป็นสีแดง ไม่มีใครรู้ว่าปุ่มนี้ทำงานอย่างไร แต่ที่แน่ๆ มันไม่ได้ทำงานเหมือนปุ่มสีเขียว


    ปุ่มทั้งสองนี้ถูกนำไปติดตั้งไว้ในกลางป่าลึกของอเมซอน เก็บไว้บนยอดหอคอยของป้อมที่เรียกว่าปราการชะตากรรมสุดท้าย และผู้ที่จะเข้าไปกดปุ่มนั้น จะเป็นใครก็ได้ ผู้ที่เข้าร่วมจะต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการ  จากคนที่เข้าร่วมนับล้านคน ไม่จำกัดวิธีการ ขอให้ถึงปราการก็เป็นพอ เช่นนี้เอง มันจึงเหมือนกับการทำสงคราม สงครามที่ไม่มีผู้ชนะ สงครามครั้งสุดท้ายของมวลมนุษย์ หลังจากสองเดือนผ่านไป การจัดเตรียมพื้นที่เสร็จเรียบร้อย หนทางตัดสินของชะตามนุษย์ก็เริ่มต้นขึ้น

    +-+-+-++-+-+-+-+-+-+-+-++--+-+-

    ผมจ้องมองซากศพเกลื่อนกลาดรอบๆ ป้อม ผมไม่ใช่คนแรกที่มาถึงป้อมแห่งนี้ ตามข้อมูลที่ได้มานั้น ทุ่งรอบนอกของป้อม ซึ่งกินบริเวณหนึ่งกิโลเมตรเต็มไปด้วยระเบิดกับดัก ส่วนตัวป้อมก็ถูกสร้างมาเป็นอย่างดี ทั้งยังติดตั้งปืนกลอัตโนมัติไร้มนุษย์บังคับ เพียงมีสิ่งเคลื่อนไหวเข้ามาในรัศมีมันจะเปิดฉากยิงทันที นอกจากนั้นยังมีเครื่องบินที่คอยมาทิ้งลูกระเบิดรอบๆ ป้อมทุกหนึ่งชั่วโมงด้วย เช่นนี้เองจึงยังไม่มีใครเดินเข้าไปในป้อมนี้ได้อย่างง่ายดาย


    ผมเดินเลาะขอบชายป่าเพื่อหาทางเข้าไปยังตัวป้อม จนสายตาไปสะดุดเข้ากับคลองดินแห่งหนึ่ง เห็นแน่ชัดว่าเป็นคลองดินที่เพิ่งถูกขุดขึ้นมา ตัวคลองคดโค้งเหมือนงูขนาดใหญ่ที่พยายามจะเลื้อยเข้าไปหาป้อม กินความยาวเกินกว่าครึ่งทางแล้ว เมื่อคาดเดาดูจากจากกองดินที่สุมกันอยู่ และซากศพที่กองอยู่ขอบคลอง ก็พอจะกะได้ว่าคลองดินแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยแรงคนจำนวนมาก ที่สำคัญมันไม่ได้ถูกขุดขึ้นมาด้วยคนเพียงกลุ่มเดียวแน่นอน


    จากซากศพที่เห็นคนหรือกลุ่มคนที่เริ่มขุดคลองดิน ถูกฆ่าโดยคนอีกกลุ่มเพื่อยึดคลองดินแห่งนี้ และพวกเขาก็ถูกคนอีกกลุ่มฆ่าเพื่อแย่งคลองดินนี้ไปเรื่อยๆ ดูจากซากศพที่กองอยู่ด้านขอบแล้วมีจำนวนนับร้อย หรืออาจจะถึงหลักพันก็ได้


    เพียงใช้เวลาแค่อึดใจ ผมก็เดินตามคลองดินมาได้ครึ่งทางแล้ว แต่ยังไม่พบคนดักทำร้าย ไม่มีแม้แต่เงาของคน มันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง ความคิดนี้ย้ำเตือนเข้ามาในหัวสมองอยู่ตลอดเวลา จนใจที่ไม่สามารถจะรู้ได้ว่ามันเป็นอะไร มันเหมือนการเดินเข้าไปหากองไฟความร้อนแผ่รังสีเข้ามากระทบตัวเรา และเมื่อเราเริ่มเดินเข้าไปใกล้ๆ ความร้อนก็ยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น สภาพในตอนนี้ของผมก็เป็นแบบนี้


    ผมเดินไปเรื่อยอย่างระวัง กลิ่นอันตรายแผ่พุ่งรุ่นแรงเข้าทุกขณะ จิตสำนึกบอกให้ผมหยุดเดินอยู่ตลอดเวลา การเคลื่อนไหวช้าลงแต่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ผมเดินจนถึงช่วงที่โค้งของเนินดิน ร่างกายตื่นตัวอย่างเต็มที่ แล้วก็พุ่งถลาไปยังขอบอีกด้านอย่างรวดเร็ว ปืนในมือเตรียมลั่นไก แต่… ไม่พบใคร และกว่าที่ผมจะทันเฉลียวใจ มันก็สายไปเสียแล้ว ผมมองหาคนผิดที่ เสียงขยับดังขึ้นเหนือหัว ไม่มีทางออก ไม่มีทางหนี ไม่มีทางต่อสู้


    “ทิ้งปืนลง“ เสียงตวาดดังขึ้น ผมทิ้งปืนลงอย่างว่าง่าย มันไม่มีประโยชน์ที่ขัดขืน แม้ว่าการทำแบบนี้ช่วยยืดระยะเวลาตายไปได้หน่อยหนึ่ง


    “แกเลือกสีอะไร” คำถามดังก้องขึ้นมา คำตอบของผมชี้เป็นและตายให้กับชีวิต


    “สีแดง” ผมหลับตาลง

    <<ต่อด้านล่างครับ>>

    จากคุณ : egotech - [ 19 ก.ย. 48 06:09:25 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป