CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


                            ปี่อภัย                        

    บนเนินเขาเตี้ยแห่งหนึ่ง ลมราตรีกระพืดพัดหอบนำเสียงปี่ลอยล่องไปทั่วบรรยากาศ เพียงครู่เสียงสะดุดขาดห้วงแล้วจึงหยุดไป ชายหนุ่มเจ้าของเลาปี่วางมันไว้บนตัก เหลียวกลับมามองอาคันตุกะที่ยืนอยู่บนเนินหญ้าไม่ไกลนัก


    “นาย มานั่งนี่ซิ”


    อาคันตุกะแปลหน้าเดินเข้ามาใกล้ แล้วหย่อนตัวลงข้างๆ ชายเจ้าของเลาปี่

    “ข้าขออภัย ที่มารบกวนการบรรเลงดนตรีของท่าน”


    ชายหนุ่มจ้องมองอาคันตุกะลึกลับอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงเบือนหน้ากลับไปมองแสงไฟวอบแวมที่ส่องมาจากหมู่บ้านด้านล่าง

    “ดูท่านจะไม่แปลกใจกับการปรากฏตัวของข้าเลย”


    “ในโลกนี้มีเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจอยู่มากมาย บางเรื่องก็อ่านจากใบลานในวัด บางเรื่องก็ฟังจากคำเล่าของคนอื่น เมื่อวันผ่านไป เรื่องของนายอาจจะเป็นที่คนอื่นไม่เข้าใจตอนที่ฉันเล่าให้เขาฟังก็ได้ ดังนั้นมันจึงไม่เป็นเรื่องแปลกสำหรับฉัน”


    อาคันตุกะลึกลับผงกหัวให้กับความคิดของชายหนุ่ม ขณะเดียวกันเสียงปี่ก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง แสงดาวพราวกระพริบ เล่นล้อคลอเสียงปี่ เพียงขณะเมฆก้อนใหญ่ก็ลอยเคลื่อนประหนึ่งฝ่ามือสีดำ เข้าโอบอุ้มกอบกำดวงดาราทั้งหมดไว้ เสียงปี่จึงเงียบไป


    “นายมาจากไหนกันล่ะ” ชายหนุ่มถามขึ้น ขณะที่ตาก็ยังจ้องมองฝ่าความมืดของราตรีกาลไปยังหมู่บ้านด้านล่าง


    “ข้าล่องเรือมา เรือนั้นข้ามผ่านเกาะแก่งมากหลายจนนับไม่ได้ บางที่ไม่มีใครอยู่ บางที่มีอยู่ และบางที่ก็ไม่มีใครต้อนรับข้า”


    เมฆหนาคล้อยเคลื่อนจากไปบางส่วน ทำให้ท้องฟ้าฟากหนึ่งปรากฏประกายเปล่งปลั่งของแสงดาว

    “แล้วนายเคยกลับบ้านบ้างไหม”


    “บ้าน… ข้าไม่มีบ้าน ข้าเป็นเพียงคนเร่รอน เฝ้าแรมรอนเดินทางอย่างไร้จุดหมาย ในความคิดของข้า มีเวลาที่คิดถึงเหมือนกัน
    แต่ข้าเหนื่อยล้าเกินไป เกินกว่าจะปลูกสร้างมันได้”


    “ดูนายจะเพลียจริงๆ นั่นแหละ นายก็พักบ้างซิ เอาล่ะฉันจะเป่าปี่ให้ฟัง เพลงนี้จะทำให้นายหลับอย่างสบาย”

    ชายหนุ่มยกลิ้นปี่ขึ้นจรดริมผิวปาก เตรียมเป่าลมบรรเลงเพลง


    “โปรดหยุดก่อน!”


    “นายไม่อยากฟังเหรอ” เขาถามขึ้นด้วยความสงสัย


    “ไม่หรอก ข้าก็อยากจะหลับเหมือนกัน แต่จนใจไม่มีเสียงใดจะทำให้ข้าหลับได้ ขอยืมเครื่องดนตรีของท่านสักครู่ได้หรือเปล่า”


    “ได้ซิ”


    อาคันตุกะลึกลับรับเลาปี่มาพิจารณา ใช้มือลูบไล้เล่าปี่ไปมาอยู่ครู่หนึ่งจึงส่งคืนให้กับชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ เมื่อรับเลาปี่จากชายแปลกหน้า พอเลาปี่สัมผัสมือเขาอุทานของมาคำหนึ่ง ตัวปี่ที่ทำจากแก่นไม้จันร้อนขึ้นจนรู้สึกได้เหมือนถูกนำไปผิงไฟ


    “เอาล่ะ ตอนนี้ท่านบรรเลงเครื่องดนตรีของท่านได้แล้ว ด้วยบททำนองที่ท่านตั้งใจขับกล่อมให้ข้าหลับ ข้าจะหลับไหลดั่งแรงปรารถนาของท่าน”


    แม้ไม่เข้าใจในคำพูดอยู่บ้าง ชายหนุ่มก็ยกเล่าปี่ขึ้นเตรียมบรรเลงเพลง แต่ชายแปลกหน้าทักขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้เขาต้องหยุดชะงักอีกคราหนึ่ง


    “ขออภัย ข้าลืมถามชื่อของท่าน ช่วยบอกให้แก่ข้าด้วย”


    “ฉันชื่อด้วง แล้วนายชื่ออะไรล่ะ”


    “อืม… ตามภาษาของท่านเรียกข้าว่า จรจักร ก็แล้วกัน และเมื่อข้าหลับไป ท่านไม่จำเป็นต้องปลุก ปล่อยให้ข้าหลับไปอย่างนั้นเถอะ” ว่าแล้วชายแปลกหน้าก็ล้มตัวลงนอนแล้วเอ่ยขึ้น “โปรดบรรเลงดนตรี”


    เมฆหนาจางหายไปจากท้องฟ้าแล้ว ลมเย็นพัดเป็นระลอกโยกยอดหญ้าที่ชูใบพลิ้วไหวเป็นคลื่น เสียงปี่ดังขึ้นแผ่วเบาเหมือนเสียงคนกระซิบ พลันลมลอยเบาลงจนนิ่งสงบ จิ้งหรีดเรไรถอนเสียงสิ้น ยอดหญ้าที่ชูใบโน้มต้นลง แสงดาวหรุบประกายหายจากฟ้า ทุกสิ่งในรอบข้างดูจะซาบซับเพลงปี่ที่ล่องลอยไปทั่วบรรยากาศ ไม่ว่าจะสิ่งใด ต่างสงบ หยุดนิ่ง และหลับไหล คงเหลือไว้แต่ชายผู้บรรเลงเพลงปี่แต่ผู้เดียว

    -+-+-+--+-+---++-+--++-+--++-+-+-+-+-+--++-+-+-+-+-+-+-+-+-++-+-+-+-


    ในราตรีต่อมา

    ข้างเนินหญ้ามีต้นไม้ขึ้นอยู่ประปราย ต้นไม้บางต้นมีรอยถูกตัด บางต้นแห้งตายยืนเป็นซาก คงเหลือแต่กิ่งก้านสีเทาที่พุ่งชี้ขึ้นบนฟ้า ชายหนุ่มนั่งชันเข่าอยู่บนเนินหญ้า ขณะที่มือข้างขวากำเลาปี่ด้านหนึ่ง และแกว่งปลายอีกข้างลงบนฝ่ามือซ้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเป็นจังหวะช้าๆ


    “ท่านกำลังคิดถึงสิ่งใด” เสียงของอาคันตุกะลึกลับดังขึ้นเบื้องหลัง


    “ฉันสงสัยว่าหลังยอดเขานั่น” พลางชี้ไปที่ภูเขาที่อยู่ติดกับขอบฟ้า “จะมีอะไรอยู่บ้าง จะมีหมู่บ้านผู้คน หรือมีป่าไม้อยู่หรือไม่ ถ้ามีแล้วสิ่งเหล่านั้นจะเหมือนกับที่นี่ไหม”


    “นั่นก็ย่อมมิใช่เรื่องยากแต่อย่างไร เพียงท่านมีเวลาสักหน่อยเดินทางไปถึงก็จะรู้เอง” อันคันตุกะผู้ลึกลับตอบ ขณะเดียวกันก็ถือวิสาสะเดินเข้ามานั่งข้างชายหนุ่ม


    “ถ้าฉันไปถึงที่หลังยอดเขานั่น แล้วก็ไปเจอยอดเขาอีกอันหนึ่งล่ะ ฉันก็ต้องเดินทางไปหาคำตอบอีกอย่างนั้นหรือ”


    “คงไม่จำเป็นหรอก เพราะว่าผู้คนในโลกนี้ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ถ้าท่านจะลองเดินทางไปเรื่อยๆ ท่านอาจจะเจอกับสัตว์แปลกๆ ได้เหมือนกัน”


    “อืม… คงจะจริงตามที่นายว่า” ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนเหยียดขา ใช้มือข้างหนึ่งหนุนศรีษะจ้องมองดาวที่แต้มประดับพื้นฟ้าสีดำ “เกาะที่นายเคยไปมาล่ะ ผู้คนสัตว์สิ่งของเป็นอย่างไรบ้าง ลองเล่าให้ฉันฟังหน่อย”


    “ก็เพียงแตกต่างกันบ้างที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ข้างในล้วนไม่ต่างกัน ความรัก ความชอบ ความเกลียด ความกลัว ล้วนมีไม่แตกต่างกัน” แล้วก็เลียนแบบพฤติกรรมของชายหนุ่ม แหงนหน้ามองท้องฟ้า ซึ่งคืนนี้ไร้เมฆหมอกดั่งเช่นเมื่อวาน


    “ถ้าผู้คนไม่แตกต่างกัน แล้วอย่างนั้นนายจะเสียเวลาเดินทางทำไมล่ะ สู้หาที่ลงหลักปักฐานไม่ดีกว่าหรือ”


    “ข้อนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ในแรกเริ่มกลุ่มชนเผ่าของข้าก็อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหมือนกัน แต่พอเวลานานเข้าหลายคนเริ่มออกเดินทางละทิ้งจากถิ่นที่อยู่ ท้ายที่สุดก็ไม่เหลือใคร ตอนนั้นเพียงข้าเป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่เดินทางออกมา” อาคันตุกะลึกลับกล่าวด้วยเสียงรันทด ดวงตาทอแววเศร้าสร้อยเมื่อหวนรำลึกถึงอดีตที่ผ่านมา


    “บางทีอาจเพราะสงสัย” เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “การเดินทางเพื่อหาบางสิ่ง ซึ่งไม่มีในที่ที่เราอยู่ เวลาที่พวกเราออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดอาจจะไร้ประโยชน์ วันเก่าเป็นเช่นไร วันนี้หรือวันหน้าก็ไม่ต่างกัน”


    ทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบ ลมพัดโชยอย่างต่อเนื่อง หอบเอาอากาศเย็นพุ่งกระจายไปโดยรอบ ใบไม้ที่เกาะอยู่บนกิ่งหลายใบปลิวกระทบกัน ส่งเสียงเหมือนคนกระซิบกระซาบ


    “เราน่าจะพูดคุยกันถึงเรื่องที่น่ารื่นรมย์บ้าง” ชายหนุ่มพูดขึ้นทำลายความเงียบที่มีอยู่ พลางยันตัวขึ้นลุกนั่งอีกครั้ง


    “ข้าเห็นด้วย” อาคันตุกะผู้ลึกลับกล่าว พลางเอี้ยวตัวดึงสิ่งของบางอย่างออกมายื่นให้ชายหนุ่ม


    “นี่อะไร” ชายหนุ่มรับสิ่งของ พลางพิจารณา ”รูปร่างมันเหมือนกับขวาน แต่มันเป็นเนื้อเดียวกันหมด เบาแต่ดูแข็งแรง สีขาวหม่นเหมือนกับท่อนไม้แห้งเลย เป็นอาวุธของนายเหรอ”


    อาคันตุกะผู้ลึกลับผงกหัวยิ้มรับ “ท่านคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว ของสิ่งนี้ข้าเพิ่งจะทำขึ้นมา ว่ากันตามตรงแล้วไม่มีอะไรทำอันตรายข้าได้หรอก ข้าสร้างอาวุธชิ้นนี้ขึ้นมาเพราะอยากจะลองสร้างขึ้นมาเท่านั้น”


    เสียงวืดๆ ดังขึ้นมาชายหนุ่มลองจับด้ามอาวุธเหวี่ยงไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งอาวุธคืนให้แก่เจ้าของ


    “น่าจะเอาไว้ทุบหัววัวได้ แต่นายน่าจะพกพวกดาบดีกว่า”


    “ถ้ามันอยู่ในมือของท่าน มันก็ไม่ต่างจากท่อนไม้ธรรมดาอันหนึ่งหรอก อาวุธนี้ไม่อาจใช้ได้เพราะการสัมผัสเพียงอย่างเดียว การสัมผัสจากมนุษย์ที่ไร้แรงปรารถนาจะไม่ส่งผลต่อมัน แต่ถ้ามันอยู่ในมือของข้า มันจะสำแดงฤทธิ์ได้ตามใจข้านึก”


    ว่าแล้วชายแปลกหน้าก็ยกขวานขึ้น เพียงง้างมือบรรยากาศโดยรอบก็เหมือนถูกสูบหายไป จนทำให้รู้สึกอึดอัด นับว่าเป็นเหตุการณ์แปลกประหลาดยิ่งนัก


    “นายพอก่อน!” ชายหนุ่มรีบร้องบอก ก่อนที่อาคันตุกะผู้ลึกลับจะแสดงอานุภาพให้เห็น “ฉันเข้าใจแล้ว และไม่ต้องการจะเห็นท่านใช้อาวุธชนิดนี้” พูดพลางยกมือขึ้นลูบขนแขนที่ลุกชันขึ้นมา หากมีกระจกอยู่บริเวณนั้น เขาจะเห็นว่าชั่วขณะหนึ่งไม่ใช่เพียงขนแขนเท่านั้นที่ลุกชัน ผมบนศรีษะก็ตั้งชี้ขึ้นเหมือนกัน


    “แล้วแต่ท่านต้องการ” อาคันตุกะผู้ลึกลับเอี้ยวตัวเก็บอาวุธไว้ ตามความต้องการของชายหนุ่ม


    “ค่อยยังชั่ว มาฟังฉันเป่าปี่ดีกว่า เพลงที่ฉันจะเป่าให้นายฟัง เป็นเพลงที่จะให้ประชันกับคณะของบ้านหนองคำในงานวัดวันพรุ่งนี้”


    “คงเป็นบทเพลงที่รื่นเริงซินะ ข้าขอยืมอุปกรณ์ของท่านสักครู่หนึ่งได้ไหม”


    <<โปรดอ่านต่อด้านล่างครับ>>

    จากคุณ : egotech - [ 26 ก.ย. 48 22:28:11 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป