ชายหนุ่มยื่นเลาปี่ให้อาคันตุกะแปลกหน้า ซึ่งเมื่อรับเลาปี่มาแล้ว เขาก็ยังคงทำพฤติกรรมแบบเดิมเหมือนคืนก่อน เพียงลูบไล้บนตัวปี่ไปมา จากนั้นก็ยื่นคืนส่งเล่าปี่ให้ชายหนุ่ม
ยังคงเหมือนเดิม ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะที่รับเลาปี่มา ในความหมายของคำพูดเขา ก็คือตัวปี่ยังคงร้อนเหมือนเมื่อคืนวาน เขารอสักครู่หนึ่งจนปี่เริ่มเย็นตัวลง จึงเริ่มเป่าปี่
เสียงปี่ของชายหนุ่มเริ่มด้วยเสียงหวีดยาวเอื่อยช้าก่อน จากนั้นก็เปลี่ยนทำนองเสียงกลับไปกลับมา ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนท่วงทำนองระดับเสียงเร่งร้อนเร้าความรู้สึกยิ่งขึ้น พลันนั้น เสียงกระซิบซาบที่ดังมาจากใบไม้เปลี่ยนกลับเป็นเสียงหัวร่อต่อกระซิก ดวงดาวที่พราวแสง กระพริบส่งต่อกันเป็นจังหวะจากฟากซ้ายมาขวาบนลงล่าง ผืนหญ้ารอบข้างเหมือนมีเท้าที่มองไม่เห็นหลายคู่เต้นรำเหยียบใบหญ้าจนเป็นรอย จิ้งหรีดเรไรหลายตัวทนอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ต้องออกมาสีเท้าคลอการบรรเลงอย่างเข้าจังหวะ ทุกสรรพสิ่งรอบข้างดำเนินเป็นเช่นนี้ จนกระทั่งเสียงหวีดยาวจากปี่ดังขึ้น เป็นเครื่องบ่งบอกว่าการบรรเลงยุติ แล้วกาลก็สงบนิ่งลงอีกครั้ง
-+-+-+-+-+-+-+--+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+
ราตรีที่สาม
นกเค้าแมวตัวหนึ่ง โผบินไปเกาะบนกิ่งไม้แห้ง คืนนี้มันมาเฝ้าจับหนูนาที่เดินผ่านทางนี้ มันขยับตัวสองสามครั้ง ก่อนที่ร่างของมันจะหยุดนิ่งกลืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกิ่งไม้แห้งนั้น
ชายหนุ่มเดินขึ้นเนินมาด้วยสีหน้ามีความสุข ในขณะที่บนเนินหญ้านั้น มีร่างของอาคันตุกะผู้ลึกลับนั่งอยู่ก่อนแล้ว
รู้ไหม วันนี้ฉันแข่งประชันกับคณะปี่พาทย์ของบ้านหนองคำชนะ ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง ก่อนจะทรุดนั่งลงข้างๆ
ข้ายินดีกับท่านด้วย
เอะ! ชายหนุ่มส่งเสียงอุทานขึ้นเมื่อมองหน้าอาคันตุกะผู้ลึกลับ ไฉน ท่านถึงทำสีหน้าแปลกประหลาดถึงเพียงนี้
อาคันตุกะผู้ลึกลับถอนหายใจอยู่ครั้งหนึ่ง ก่อนจะบอกเหตุผลให้ชายหนุ่มได้ทราบ
ข้าคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว
นายพูดว่าอะไรนะ เขาถามขึ้นด้วยความไม่แน่ใจ น้ำเสียงเจือด้วยความหวาดหวั่น
ข้ากำลังจากตาย ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ แม้ว่าข้าสามารถปรับเปลี่ยนสภาพให้ดำรงอยู่ได้นานขึ้นอีก มันก็หาได้มีประโยชน์กับข้าไม่ อยู่เป็นเช่นไร ตายแล้วจะเป็นไร มิต้องทุกข์กังวลแทนตัวข้าหรอก อาคันตุกะลึกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่ตาจ้องมองไปยังบนฟ้า ส่วนชายหนุ่มยังคงนั่งก้มหน้านิ่งโดยไม่ปริปาก
ด้วง
ข้ามีเรื่องข้อร้องท่านอย่างหนึ่ง
นายมีสิ่งใดที่จะให้ฉันช่วย ก็บอกมาเถอะไม่ต้องเกรงใจ ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงรันทดหดหู่ ในค่ำคืนนี้เขาต้องเสียเพื่อนแปลกหน้าไป ทั้งๆ ที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน
ข้าไม่ใช่เคยไม่เคยตาย ในช่วงชีวิตของข้านั้น ผ่านสิ่งที่เรียกว่าความตายมานับครั้งไม่ถ้วน
ฉันไม่เข้าใจ ชายหนุ่มเหลียวมองอาคันตุกะลึกลับด้วยสีหน้าความมึนงง
ในแผ่นดินมาตุภูมิที่ข้าเกิดนั้น มิใช่ที่นี่ เขาหยุดพูดอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อดูปฏิกิริยาของชายหนุ่ม ซึ่งตอนนี้นั่งฟังอย่างตั้งใจ
มิใช่ที่นี่ ในความหมายของข้า ก็คือไม่ใช่ที่นี่จริงๆ ไม่ใช่บนผืนดินนี้ และมิใช่พื้นดินบนดวงดาวใด ข้ามาจากอีกภพภูมิที่ท่านไม่อาจจะเข้าไปถึงได้ ในโลกของท่าน สากลจักรวาลทั้งมวล สำหรับสายตารูปร่างของข้ามันเป็นเพียงแค่มะละกอผลหนึ่ง จุดเริ่มต้นและปลายยอดดำรงอยู่เช่นนี้เป็นตลอดกาล สิ่งที่ท่านมองเห็นเหล่านี้
ว่าแล้วพลางวาดนิ้วชี้ไปยังแสงดาวที่ทอแสง
การเกิดและดับขึ้นอยู่กับกาลเวลา สรรพสิ่งกำเนิดมาจากเส้นด้ายที่โยงใยจากต้นไปท้าย ทั้งตัวท่านต้นไม้ใบหญ้าและของอื่นๆ เป็นเพียงปุ่มปมของเส้นด้ายนั้น ตัวท่านและของเหล่านี้ เมื่อตายสลายไปก็เพียงเป็นแค่การคลายของปมด้ายเท่านั้น ตัวท่านยังคงอยู่เพียงแต่เปลี่ยนสถานะเป็นอื่น ซึ่งจะกำเนิดขึ้นใหม่เมื่อเส้นดายเกิดปมขึ้นมาอีกครั้ง
แล้วตัวของนายที่ฉันเห็นนี่ล่ะ เกิดจากอะไร ชายหนุ่มถามขึ้น เพื่อหวังจะให้ตัวเขาเข้าใจในสิ่งที่อาคันตุกะผู้ลึกลับบอกเล่า
ตัวของข้าที่ท่านเห็น อืม
ถ้าเปรียบแล้วก็คงเหมือนกับท่านเขียนตัวหนังสือบนใบไม้หรือก้อนหิน อยากจะเขียนเช่นไรก็ทำได้ หรืออยากจะทำให้เกิดอะไรก็ทำได้เช่นกัน ท่านดู แล้วอาคันตุกะลึกลับก็ยกมือขึ้นชี้ไปบนท้องฟ้า จงเกิดแสง
ทันใดนั้น กลางท้องฟ้าที่มืดมิด บังเกิดแสงสว่างวาบขึ้น แสงวิ่งเป็นแนวยาวไปตามขอบฟ้าก่อนจะจางหายไป
ดาวตก! ชายหนุ่มอุทานขึ้น
นั่นเป็นเพียงตัวอย่างของการสร้างตัวของข้า วัตถุสิ่งของต่างๆ ง่ายเพียงยกมือขึ้นวาด เขายิ้มให้กับชายหนุ่มที่ยังตาค้างด้วยความฉงน
ถ้าอย่างนั้น ถ้านายบอกว่ากำลังจะตาย ก็ไม่ได้ตายจริงๆ ใช่ไหม
ก็เหมือนกับที่ข้าบอก การสร้างสิ่งของในโลกของท่าน ก็เหมือนกับการเขียนตัวหนังสือ แม้ว่าข้าจะมีอำนาจบันดาลให้เกิดสิ่งใดได้ แต่ก็ไม่อาจจะขัดกับกฎในโลกของท่านได้ กฎที่ว่าก็คือ ทุกสิ่งต้องสูญสลายไปตามกาลเวลา
ฉันพอจะเข้าใจแล้ว ชายหนุ่มผงกหัวรับกับสิ่งที่บอกเล่าจากอาคันตุกะลึกลับ
นั่นก็ดีแล้ว ยากนักที่จะมีใครเข้าใจในสิ่งที่ข้าบอกเล่า ก็กลับมาที่คำขอร้องของข้า
นายต้องการให้ฉันทำอะไร
ไม่ต้องกลัว สิ่งที่ข้าร้องขอนั้น ไม่เกิดความสามารถของท่านหรอก แล้วเขาก็ถือวิสาสะหยิบเลาปี่ที่วางข้างตัวชายหนุ่มขึ้นมา
ข้าของแค่เสียงบรรเลงอำลาสุดท้ายจากท่าน พลางยื่นเลาปี่คืนให้ชายหนุ่ม
เขารับเลาปี่จากอาคันตุกะผู้ลึกลับ ครั้งนี้กลับแปลกไปจากทุกครั้ง ตัวปี่เหมือนถูกแช่แข็ง เพียงจับต้องก็รู้สึกถึงความเย็นที่แผ่ซ่านเข้าถึงกระดูก
ด้วยเสียงที่ท่านบรรเลง เสียงนี้จะไม่มีไม่อะไรขวางกั้น มันแทรกข้ามทุกสรรพสิ่ง ลอยผ่านต้นไม้ ลอยผ่านก้อนหิน ลอยผ่านผืนแผ่นดิน ลอยผ่านทุกชั้นของมิติ และดังไปถึง ที่ที่ตัวตนอันแท้จริงของข้าอยู่ เมื่อนั้น ทั้งร่างกายนี้ และตัวตนของข้า จะสูญสลายไปอย่างแท้จริง
ถ้าอย่างนั้น ท่านก็จะต้องตายจริงซินะ ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
ข้าขอท่านมากเกินไปหรือเปล่า
ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ฉันสับสนเหลือเกิน ด้วยเหตุและผลฉันไม่ควรทำตามคำขอ แต่ด้วยเหตุและผลเช่นกัน คำขอของท่านอาจจะสมด้วยเหตุและผลที่ฉันไม่อาจเข้าใจได้ ชายหนุ่มนั่งนิ่งชั่วขณะ แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว ตกลง! ฉันก็จะทำให้
หนูนาตัวใหญ่วิ่งจากพุ่มไม้เตี้ยต้นหนึ่ง ไปยังพุ่มไม้อีกต้นหนึ่ง มันหยุดอยู่ครู่หนึ่ง เหลียวมองรอบตัว และสูดกลิ่น เพื่อหากลิ่นของสัตว์ผู้ล่า มันหาได้เฉลียวใจว่า มีสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมายังตัวของมันอย่างประสงค์ร้าย สายตาคู่นั้นทอแสงแวววับท่ามกลางความมืด
เสียงปี่ดังขึ้นอย่างแช่มช้าเกิดเสียงสูงต่ำที่ขัดแย้ง แต่ขณะเดียวกันก็กลมกลืนเหมือนลวดลายผ้าไหมที่ถัดทอขึ้นอย่างประณีต แสงดาวบนท้องฟ้าดูเหมือนมืดสลัวลง บันดาลให้รู้สึกอ่อนล้าโรยแรง บางจังหวะเสียงปี่คล้ายขาดหายไป ประหนึ่งคนคร่ำครวญสะอื้นไห้ จนร่วมรู้สึกถึงความเศร้าโศกที่ไม่สิ้นสุด นกเค้าแมวถลาผละจากกิ่งไม้บินเข้าไปตะปบหนูนา ความจริงต้องร่อนไปเส้นตรง กลับโอนเอนไปมาเหมือนว่าวที่สายขาด ส่วนตัวหนูนานั้นก็หลอมกลืนไปกับต้นหญ้า ทรงกายไม่มั่นไหวลู่เอนไปตามยอดหญ้า ชั่วขณะหนึ่งนกเค้าแมวก็ร่วงหล่นลงบนพื้นหญ้าอย่างไร้เสียง ข้างกันนั้นหนูนาคืบคลานเดินเอียงเข้าหานกเค้าแมว และท้ายสุด หนูนาแทรกหน้าเข้าซุกปีกนกเค้าแมว ซึ่งใช้ปีกแผ่กางโอบคลุมร่างของหนูนาเอาไว้
พอสิ้นเสียงปี่ ห้วงชีวิตสุดท้ายทั่วบริเวณก็จางหายไป ชายหนุ่มปฏิบัติตามคำขอสุดท้ายของมิตรผู้จากไป เขานำเอาอาวุธวางของอาคันตุกะผู้ลึกลับไว้บนร่างไร้วิญญาณ แล้วคุกเขาต่อร่างนั้นเอ่ยคำอำลาเบาๆ ว่า ลาก่อนเพื่อน จากนั้นจึงเดินหลั่งน้ำตาลงเนินไปอย่างเงียบเฉียบ โดยทิ้งร่างไร้ชีวิตนั้นไว้
หากชายหนุ่มเพียงแต่นั่งเฝ้าอีกชั่วขณะหนึ่ง เขาก็จะพบว่าร่างสีขาวซีดของมิตรผู้จากไปนั้น ค่อยละลายอย่างช้าๆ และลงจมหายไปในพื้นดิน นั่นก็รวมถึงอาวุธประหลาดที่วางบนร่างนั้นด้วย
หากไม่มีเรื่องอื่นเกิดสอดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
+-+-+-+-+--+-+-+-+-+-+-+--+-+-++--+-+-+-+
อีกด้านหนึ่งของเนินเขา
ชายผู้หนึ่งวิ่งหนีกระเสือกกระสนคลุกฝุ่น จากกลุ่มชายฉกรรจ์ที่มาพร้อมด้วยอาวุธ เขาคือนักปี่จากหมู่บ้านหนองคำนั่นเอง
ชายฉกรรจ์ทั้งหมดวิ่งไล่กวดจนเขาจนมาถึงกลางเนินเขาจึงทัน หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ปราดเข้าถีบไปที่กลางหลังของเขา จนเซถลากลิ้งโค่โล่ลงกับเนินหญ้า
ไอ้จันมึงคิดว่าจะหนีพวกกูไปไหนพ้น ชายหน้าตาปุปะเดินเข้าไปแตะซ้ำ จนชายหนุ่มตัวงอไปตามแรงเท้า
อย่าทำฉันเลย หนี้ที่ติดพวกแกไว้ ฉันต้องหามาคืนแน่ๆ ชายนักปี่จากหมู่บ้านหนองคำ ร้องบอกอย่างลนลาน
ถุย ชายหัวหน้ากลุ่มซึ่งมีรอยแผลเป็นพาดที่แก้มขวาเป็นแนวยาว ถุยน้ำลายแสดงความหยามเหยียด ในขณะที่คนอื่นๆ รายรอบก็ส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ย เมื่อไหร่มึงจะหามาคืนพวกกูได้วะ แค่ประชันวงปี่พาทย์ก็ไม่ชนะ นี่ขนาดคณะของพวกมึงมีทั้งขุนกลอง ขุนฆ้องฝีมือดียังเอาชนะวงปี่บ้านนอกนี่ไม่ได้เลย
ว่าแล้วก็หลิ่วตาส่งสัญญาณให้คนอื่นๆ ล้อมกักกันนักปี่หนุ่มจะหนีไปอีก ชายหน้าตาปุปะขณะเดินอ้อมไปด้านหลังนักปี่หนุ่มสะดุดเข้ากับร่างไร้ชีวิตของนกเค้าแมวกับหนูนา แต่ก็หาใส่ใจไม่ คงใช้เท้าเขี่ยกระเด็นไปพ้นทาง
โถ่
ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันมีทีเด็ด เพียงมันเป่าปี่คนก็ออกมาฟ้อนเต้นไปกันหมดทั้งเด็ก ทั้งแก่
ชิชะ มึงไม่ต้องพูดมาก เพราะมึงแข่งแพ้ทำให้กูหมดเงินพนันไปหลายอัฐ หนี้เก่าหนี้ใหม่มึงทำงานทั้งชาติก็ใช้ไม่หมดหรอก กลับไปหัดปี่ในชาติหน้าเถอะ ว่าแล้วเดินถือดาบย่างสามขุมอย่างอาฆาตมาตรร้ายเข้าหา
ชายหนุ่มใช้สองมือต่างเท้า กระถดหนีไปตามพื้น เหลียวมองรอบข้างก็มีแต่เงาคนล้อมเรียงรายเต็มไปหมด ในห้วงความเป็นตาย ตาเหลือบไปเห็นท่อนไม้สีขาวรูปร่างประหลาดวางบนพื้นหญ้า เขาเอื้อมจับมันขึ้นมา หวังเพียงตอบโต้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะถูกทำร้ายจนตาย ด้วยมือกระชับท่อนไม้มั่น ก็บังเกิดความเจ็บปวดก็ไหลรินลามจากขึ้นไปถึงแขน ขนอ่อนทั่วกายก็ลุกชันขึ้น กลิ่นสาบแห่งความตายฟุ้งกระจายไปทั่ว เขาตัวสินใจฟาดมันด้วยปรารถนาจะฆ่าฟัน ชั่วพริบตานั้นมันก็อุบัติขึ้น
-+-+-++---++-+-++-+--+-+-+-+-+-+--+-+-+-+-+-+-
ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง
เสียงดังครืนครางของฟ้าร้องดังขึ้น ท่ามกลางนภาราตีที่ไร้เมฆหมอก ปลุกให้ชาวบ้านหลายคนตื่นขึ้น เสียงของฟ้าร้องราวกับเป็นบทเริ่มต้นของเพลงโหมโรง อันจะเป็นบทที่นำพาให้ลูกหลานของพวกเขาในอีกหลายชั่วรุ่น เข้าพัวพันเข้ากับเรื่องราวประหลาดที่มาจากวัตถุสองสิ่ง จนไม่อาจจะหลีกเลี่ยงชะตากรรมนี้ได้
แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 48 22:41:51
แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 48 22:39:22
แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 48 22:36:38
แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 48 22:36:18