 |
นิทานของคนจร / / เรื่องสั้นชุด เจ็บให้เข้าใจ
นิทานของคนจร กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว......... ยังคนผู้หนึ่งอาศัยอยู่บนโลกใบหนึ่ง โลกใบนั้นอัดแน่นด้วยประชากรที่เรียกว่ามนุษย์กว่าพันล้านคน บนโลกใบกลมๆเบี้ยวๆใบนี้ยังมีสรรพสัตว์อาศัยอยู่ถูกเลี้ยงอย่างดี เพื่อเป็นอาหาร ของมวลมนุษย์ ต้นไม้ใบหญ้าถูกแผ่วถางเพื่อเป็นที่อาศัยของมนุษย์ผู้อารีสืบเผ่าพันธุ์ไร้ฤดูกาล แต่ละพงศ์เผ่าอยู่แยกแตกต่างกันไป ดำรงชีพตามวิสัยที่ใจปรารถนา การเบียดเบียน เป็นเรื่องที่ถูกฝึกฝนมาจากในรั้วโรงเรียน สิ่งที่ทำให้มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อสั่งสอนมนุษย์เพื่อเมื่อเดินออกมาแล้วอหังการ เรียนรู้วิธีกอบโกยสรรพสิ่งรอบข้างเข้าเป็นของตัวด้วยรอยยิ้ม คนผู้นั้นโอบกอดความเดียวดายเป็นมิตรแท้มาเนิ่นนาน และเป็นเริ่มต้น นักเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร มาแรมปี เรื่องราวที่เล่าล้วนเกิดจากสมองซีกซ้ายและขวาผสมกลั่นกรองเป็นมโนภาพ แล้วถ่ายทอดให้เคลื่อนไหวผ่านตัวหนังสือบนกระดาษสีขาวสะอาดตา โลกอีกใบที่หล่อเลี้ยงคนอีกคนให้อยู่บนโลกแห่งความจริง กว้างสุดกว้าง ไกลกว่าไกล โลกในจิตนการ สุขใจยิ่งนัก.. จะเป็นอะไรยังไงก็ได้ โลกที่ต่างจากความจริงที่ปวดร้าว โลกที่ปรารถนา การเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด ความฝันที่ไม่ปวดเจ็บไม่ต้องเก็บไปผวาสะอื้นตื่นขึ้นกลางดึก โลกใบหนึ่งที่หล่อเลี้ยงให้คน-คนหนึ่งยังคงหายใจอยู่ในวิถีแห่งความจริง ชีวิตที่ปวดเจ็บ ชีวิตที่โหยหิว ชีวิตที่แก่งแย่งแข่งขัน ชีวิตที่ดินร้น ชีวิต ชีวิต... คนบางคน.. อยู่โดยมิรู้จุดหมายแห่งการหายใจ อยู่เพื่ออยู่ให้หมดคืนวัน อยู่เพื่อใช้วันคืนอย่างเปล่าว่างไร้ค่า และบางคน อยู่เพื่ออยู่ให้ความฝันเคลื่อนไหวบนโลกแห่งความจริง นักเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร ก็เช่นกัน คืนวันที่ผ่านพ้นกับประสบการณ์ที่เรียนรู้ เขากลายเป็นคนเงียบใบ้ และยิ่งเมื่อเขานิ่งงันเมื่อไร เรื่องราวจะยิ่งถ่ายทอดออกมามากเท่านั้น แม้ว่าท่าทีของเขาจะแปลกและแตกต่างจากคนทั่วๆไป แต่เขายังดำรงคงเป็น นักเล่าเรื่องผ่านตัวอักษรเช่นเคย นักเล่าฯพยายามถ่ายทอดเรื่องราวของตนให้คนอื่นๆรับรู้ และพยายามอย่างยิ่งที่จะ ผ่านระบบบรรณาธิการ อันแสนหฤโหด ซึ่งนับวัน ระบบ นี้จะกัดกร่อนความฝันของเขาให้เล็กลงผายผอมลงอย่างน่าใจหาย กี่ครั้งกี่หนที่ความฝันถูกโยนทิ้งอย่างไร้ค่านอนนิ่งในตะกร้าขยะ แม้เขาจะเข้าใจถึงหน้าที่และบทบาทของแต่ละผู้คนแต่ละพงศ์เผ่า แต่เมื่อใดที่เขาเห็น หนังสือ วางเด่นอยู่ในชั้นบนร้านหนังสือใหญ่ในย่านชุมชน โอ้...สะท้อนใจนัก เมื่อใดหนอ เรื่องเล่าบนกระดาษขาว นิทานของคนใบ้เยี่ยงเขาจะได้มีโอกาสเป็นเช่นนั้น นักเล่าฯอ่อนระโหยโรยแรง คืนวันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟฝันเริ่มอ่อนแสงลงที่ละเล็กที่ละน้อย บางเบาไม่ต่างจากเปลวเทียนเล่มน้อยยามต้องแรงลม แต่ยิ่งคืนวันเคลื่อนผ่าน แม้นักเล่าฯยังคงไม่ย่อท้อกับอุปสรรค์ เขากลับยิ่งผัน วิกฤต เป็นโอกาส ประโยคฮิตของมนุษย์อีกพงศ์เผ่าที่เรียกตนเองว่า นักการเมือง จับประเด็นร้อนความเคลื่อนไหวของกระแสโลกกลั่นเป็นเรื่องราว เป็นนิทานของคนโง่เขลาในสายตาของนายทุน!! นักเล่าฯเริ่มเข้าใจ เมื่อชีวิตมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น เขาเองมิสามารถอยู่ได้โดยไร้ร้างซึ่งความฝัน แต่ในทิศทางเดียวกันเขาเองก็มิหายใจก็อิ่มท้อง ข้อเสนอบางประการที่ต้องการสนองกลับเพื่อแลกเปลี่ยนกับการดำรงอยู่ต่อไปแห่งชีวิต เพียงแค่นักเล่าฯจะเล่าเรื่องราวที่คนส่วนใหญ่อยากฟังอยากอ่านใคร่อยากรู้และกระหายเป็นที่สุด เรื่องคาวฉาวโลกีย์หรือแม้แต่นิยายรักสุดเพ้อฝัน เรื่องผีใบ้หวยให้เลขเด็ด เพื่อสนองกลุ่มบางเผ่าพันธุ์ผู้มีชีวิตอันแห้งแล้ง นักเล่าฯเริ่มสับสนและไขว่เขวในประโยคเสนอที่ต้องการสนองอย่างเร่งด่วน เขาเริ่มมองหา นักเล่าฯคนอื่นๆ อนิจจา..ชีวิตที่เดียวดาย ชีวิตที่เงียบใบ้ทำให้หันหน้าไปทางใดก็ได้เพียงรอยยิ้มที่เย็นชาบนใบหน้า นักเล่าฯเดินเรื่อยๆก้าวเท้าเอื่อยๆ ไปตามถนนสายพระอาทิตย์อัศดง งามนัก สวยนัก และ ณ มุมหนึ่งของถนน ปรากฏแสงเทียนวอมแวมดุจดาวดวงน้อยระร้อยราวฟ้า ทว่าพรมดิน นักเล่าฯผู้เดียวดายก้าวเท้าไปราวถูกมนต์สะกด เสียงโหวกเหวกบรรยายสรรพคุณ หนังสือทำมือ ของแต่ละผู้คนล้วนแล้วแต่ปลุกจิตวิญญาณที่เคยสงบนิ่งให้ตื่นฟื้น นักเล่าฯผู้เงียบใบ้ได้รอยยิ้มจริงใจเป็นสิ่งแรกที่เข้าไปสัมผัสหนังสือที่เรียกตนเองว่า ทำมือ บทสนทนาสั้นๆเริ่มต้นพร้อมๆกับสิ่งเบาบางที่ค่อยๆแทรกผ่านในอณูเนื้อของหัวใจที่เคยแห้งแล้ง เมล็ดพันธุ์แห่งมิตรภาพถูกเพาะปลุกขึ้นเงียบๆ นักเล่าฯเดินทางกลับที่พำนักพร้อมกับตัวอย่างหนังสือที่บรรจุความฝันของคนตัวเล็ก อีกกลุ่มเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ยังคงมีอยู่ในโลกใบนี้ นักเล่าฯถ่ายทอดเรื่องราวผ่านกระดาษอีกครั้ง ลองผิดลองถูก ทุบกระปุกหมูออมจัง(ออมสิน) เพื่อเป็นค่าถ่ายเอกสาร เข้าเล่มเย็บปกด้วยด้ายเส้นเล็กๆ เล่มแล้วเล่มเล่า เมื่อความฝันถูกบรรจุเป็นรูปเล่ม นักเล่าฯสะพายเป้แบกฝันกลับไปที่เดิมที่เคยมีคนปลูกต้น มิตรภาพ เอาไว้ ทั้งความกล้าและความกลัวผสมปะปนในแต่ละก้าว นักเล่าฯมือไม้สั่นไม่เคยนำความฝันมาเร่ขายแบกะดินเช่นนี้เลย ความกลัว ความกังวล ทุกๆความรู้สึกล้นทะลักให้ปากสั่นมือสั่น และเมื่อมีนักอ่านความฝันแวะเวียนมาหยิบจับหนังสือร่วมพูดคุยและทักทาย เจ้าตัวเงียบใบ้ในตนเองก็เริ่มคลายพิษสง นักเล่าฯค่อยๆเปิดปากบอกเรื่องราวราวความฝันเล็กๆที่ยิ่งใหญ่กับนักอ่าน เพื่อนเผ่าพันธุ์เดียวกันเข้ามาขับไล่เจ้าความโดดเดียวที่เกาะหลังเขาออกไปไกลๆ เจ้าตัวเงียบใบ้หนีหายไปเมื่อไรไม่รู้ สังคมเล็กๆกำลังเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงตัวตนของนักเล่าฯ เขาเริ่มเป็นที่รู้จัก ชีวิตสะพายเป้แบกฝันไม่เดียวดายนัก ทุกครั้งที่มานั่งเร่ขายตัวหนังสือ มิตรใหม่จะยิ่งงอกงามยิ่งทบทวี คืนวันผันเปลี่ยน นักเล่าฯยังกลั่นกรองเรื่องราวของตนผ่านตัวอักษรลงบนกระดาษขาวเรื่องแล้ว เรื่องเล่า หนังสือทำมือขายดีขึ้นเรื่อยๆ มีคนมาเชิญเขาไปนั่งพูดคุยกึ่งเสวนาราวกับเป็น นักเขียนใหญ่ที่เขาเคยอิจฉา สำนักพิมพ์หลายแห่งที่เคยมองเมินเขากลับรื้นค้นต้นฉบับในถังขยะและเสนอข้อสัญญาที่เขาปรารถนา วันนี้ นักเล่าฯ แตกต่างจากวันวาน เขากลายเป็นคนโอ้อวดในสายตาคนบางกลุ่ม เขาเป็นที่วิจารณ์อย่างรุนแรงจากบางเผ่า บางคนเกลียดเขาอย่างไร้เหตุผล เขาถูกกล่าวหาว่าปลุกปั่นกระแส หนังสือทำมือ เป็นตัวทำลายระบบวรรณกรรม ให้หมองหม่น หากทว่าในความเป็นจริงที่เป็นไป นักเล่าฯยังคงเป็น นักเล่าเรื่องราวผ่านตัวอักษร เขายังประเมินว่าเป็นคนตัวเล็กที่สะพายเป้แบกความฝันไปเร่ขายตามรายทาง เขายังคงนับถือระบบบรรณาธิการด้วยใจเคารพยิ่ง เพียงแต่วันนี้ คนตัวเล็กอย่างนักเล่าฯมีโอกาสมากขึ้น เขามีข้าวกิน มีเรี่ยวแรงที่จะบอกเล่าเรื่องราวของตนต่อไป ในสังคมของคนตัวเล็ก ต้นมิตรภาพที่ถูกรดน้ำพรวดดินด้วยปุ๋ยชั้นเยี่ยมชื่อ กำลังใจ วันนี้..นักเล่าฯยังคงก้าวไปตามถนนสายหนึ่งที่ยังไม่เห็นซึ่งปลายทาง เพียงแต่แต่ละก้าวที่ก้าวไปเต็มไปด้วยพลังความหวังที่จะเห็นความฝันเป็นที่ยอมรับจากคนอีกหลายๆเผ่าพันธุ์ และนับตังแต่นั้นเป็นต้นมา นักเล่าฯยังคงเล่านิทานตามแบบของเขาต่อไป ในแต่ละก้าวที่เขาก้าวเดิน ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวที่อยากบอกเล่า..เรื่องราวของมิตรภาพที่เกิดขึ้นบนถนนสายเล็กๆชื่อ หนังสือทำมือ ต่อไป
........................................ E n D
www.samewaymag.com/saylom.htm
จากคุณ :
Saylomissara
- [
29 ก.ย. 48 19:07:34
]
|
|
|
|
|