ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นในคืนหนึ่ง เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ได้พับใส่ซองปิดแสตมป์ แต่ไม่มีการจ่าหน้าซอง
ถึงคุณ
โลกของผมได้เปลี่ยนไปแล้ว..... การลาจากของคุณมันทำให้ผมเคว้งคว้าง ทุกสิ่งทุกอย่างช่างว่างเปล่าโดยสิ้นเชิงและผมไม่มีกะจิตกะใจใส่ใจกับอะไรทั้งนั้น
คุณตัดสินใจถูกแล้วที่เลิกรากับผม เพราะผมไม่ได้ให้เกียรติคุณเท่าที่ควร ผมไม่เชื่อใจคุณ
ความกลัวว่ารักที่คุณมีให้จะระเหยหายทำให้ผมพาลหึงคุณจนเกินขอบเขต ผมไม่มีหนักแน่นพอในความไว้ใจ จะช้าจะเร็ววันที่คุณเดินจากย่อมต้องมาถึงอยู่ดี
ผมเสียใจและสำนึกผิดในสิ่งไม่ดีที่เคยทำกับคุณ คุณเคยให้โอกาสผมได้แก้ตัว ซึ่งโอกาสที่ได้รับนั้นถูกใช้ไปอย่างเปล่าเปลือง คุณคงเสียความรู้สึก(อยู่เหมือนกัน)ที่ผมไม่ยอมปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น
ตอนนั้นผมไม่คิดว่าผมทำอะไรผิด ผมเพียงแต่รู้สึกโกรธคุณ ในท่าทีการวางตัวของคุณกับเพื่อนผู้ชายที่มีทั้งเพื่อนเฉยๆกับคนที่เข้ามาจีบ ผมคิดเอาเองว่า คุณเริ่มมีใจออกห่างจากผม มีหลายครั้งที่เราไม่ได้เจอกัน แล้วคุณไปสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนของคุณ ซึ่งนั่นรวมถึงผู้ชายที่สนใจในตัวคุณก็อยู่ด้วย
ผมเริ่มไม่พอใจตัวคุณมากขึ้นทุกวัน สะสมเก็บอาการเหล่านั้นไว้ แต่ไม่ได้แสดงออกให้คุณได้รับรู้ เพียงแต่เลียบเคียงหยั่งเชิงดูเท่านั้น(และภายหลังอารมณ์เหล่านั้นของผมก็ระเบิดออกมาด้วยฤทธิ์แอกอฮอล์ในทุกคราที่เราได้พบกัน อา...ผมมันบ้าแท้ๆ)
ความห่างเหินของเรามันเกิดจากอะไรกัน เพราะระยะทางไกลกันหรือว่าความระแวงในใจผม หรือว่าจิตใจของคุณ ผมนึกถึงเรื่องเก่าๆนั่นแล้วคิดว่า ถ้าผมไว้ใจคุณ เชื่อใจในตัวคุณ ความรักของเรายังดำเนินต่อไปไหม แต่ยิ่งคิดไปคิดมา ผมก็ยิ่งสับสน ว่าความไว้เนื้อเชื่อใจคืออะไรกันแน่ จนเดี๋ยวนี้ผมก็ไม่ได้เข้าใจอะไรดีขึ้นเลย เพียงแต่ผมรู้อยู่อย่างหนึ่ง คือไม่ว่า ในขณะนั้นหรือขณะนี้ ผมก็รักใครไม่เป้นอยู่ดี คุณว่าจริงไหม?
และเป็นผมเองอีกใช่ไหมที่ทำให้คุณแน่ใจว่า ความเข้าใจกันระหว่างเราคงไม่ยืนยาวต่อไปแน่ คุณคงรอให้ใจเย็น สงบสติไตร่ตรอง แต่ผมก็ทำไม่ได้ เรื่องของเราจึงจบ
ช่วงแรกที่เราเลิกกันใหม่ๆ คุณคงเข้าใจ จึงยังคงติดต่อกับผมอยู่เรื่อยๆ คุยโทรศัพท์ครั้งละนานๆแบบเก่า นั่นทำให้ผมคิดว่าผมยังมีความหวังอยู่ คิดว่าความรู้สึกระหว่างเราคงตกค้างอยู่บ้างในใจคุณ ผมนี่ช่างหวังอะไรลมๆแล้งๆเสียจริงๆ เพราะวันที่เขาคนนั้นเดินเข้ามาคุณคงรู้สึกอะไรบางอย่าง น่าจะเป็นความรู้สึกเดียวกับที่ผมได้พบคุณในครั้งแรก และแล้วเวลาในการคุยโทรศัพท์ระหว่างเราก็เริ่มลดลง หลายครั้งคุณก็ไม่ได้รับโทรศัพท์ผม จนเมื่อผมแน่ใจว่าคุณคบกันจริงๆ (ให้ตายเถอะ ผมเกลียดเสียงใหญ่ๆยานๆของเขาจริงๆที่เผอิญดังลอดออกมาระหว่างที่ผมกำลังคุยโทรศัพท์กับคุณอยู่ ว่า คุยกับใครน่ะ) ผมจึงเลิกติดต่อกับคุณ
ผมหวังว่าจะสามารถเป็นเพื่อนที่ดีกับคุณได้แม้เลิกร้างกันไป แต่ผมอ่อนแอเกินไปยังทำใจไม่ได้ ผมจึงเลือกที่จะหลีกห่างคุณแทน ผมอยากจะบอกแบบน้อยใจนิดๆว่า คุณไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนแบบผมหรอก เพราะเขาคนนั้นเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณอยู่แล้ว
เมื่อผมถอยฉากจากคุณ ผมก็ส่งตัวเองเข้าสู่นิคมคนเศร้าในทันที(ฮา) ผมกลายเป็นคนเหม่อลอยไม่กระตือรือร้น เฉื่อยชาต่อทุกสิ่ง ทั้งที่ทำตัวเบลอๆ แต่อารมณ์หงุดหงิดกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน
ผมหมดความมั่นใจโดยสิ้นเชิง งงๆ เบลอๆ ไปวันๆ(ดูได้จากข้อความในจดหมายนี้ที่วกไปวนมา) แรกๆผมยังฝันอยู่บ้างว่าในบางวันคุณอาจกลับมา เข้ามาสะกิดปลุกผมในยามเช้า แต่วันต่อวันอันล่วงไปทำให้ผมเลิกคิดแบบนั้น วันอันชินชาเคล้าด้วยความเหม่อลอย ลอยผ่านไป ผ่านไป ผ่านไป จนความรู้สึกที่ผมเคยมีต่อคุณ ไม่มีอีกแล้ว ผมเพียงนึกถึงเรื่องเก่า แต่ไม่ได้นึกถึงคุณ อย่างมีความหวัง ไม่ได้คิดแบบนั้นอีกแล้ว
เวลาที่สาดซัดผ่านไปนั้น กัดกร่อนตัวตนของผมลงทุกทีๆ ผมไม่อยากเผชิญกับโลกภายนอก ผมเพียงอยากนั่งอยู่ในถ้ำ เฝ้ามองอารยธรรมเปลี่ยนผ่าน ใครกันเคยพูดไว้ว่า ปัญหาหนักหน่วงเพียงไหนไม่สำคัญเลย แรงใจต่างหากที่สำคัญ
ถ้าคุณมาพบผมตอนนี้คงต้องส่ายหน้าแน่ๆ เพราะคุณเองก็เคยเป็นแบบผม ผิดหวังจากใครบางคน แต่คุณเก่งกว่าผมมาก ที่คุณยังมีเรี่ยวแรงในการทำสิ่งต่างๆ เผชิญโลกในแต่ละวัน ผมเห็นคุณทำโน่นทำนี่เพื่อจะลืม ความรักที่ผิดหวัง ต่างกับผมมากที่ไม่มีกะจิตกะใจอยากทำอะไรเพื่อให้พ้นผ่าน ช่วงเวลาของความผิดหวัง นอกจากรอคอยใครสักคน เอาไฟฟ้ามาจี้ตรงเซลล์สมอง ส่วนที่เป็นความทรงจำเรื่องคุณเพื่อจะได้ลืม ผมสนใจทุกสิ่งน้อยลง รวมถึงตัวผมเองด้วย ผมอยากจะกลับมาสนใจตัวเองมากกว่านี้
ไกลแสนไกลครั้งนั้น ผมได้พบกับคุณ
ไกลแสนไกลเช่นกัน ในครั้งนี้ ที่คุณเดินจากผมไป
ผมมึนงงเกินกว่าจะตั้งคำถามอีกต่อไป ไกลแสนไกลนับจากนี้ ผมอาจตั้งคำถามใหม่ๆขึ้น เมื่อไรก็เมื่อนั้น ยังอีกไกลแสนไกล
คำถามในตอนนี้ของผมมีเพียงข้อเดียวคือ มีความเจ็บช้ำใด เกินกว่าจะเยียวยาเชียวหรือ?
คุณคงส่ายหน้าอีกครั้งแน่ๆ หากได้อ่านคำถามข้อนี้ ผมเดาเอาว่าทั้งคุณและผมคงมีคำตอบตรงกันเป็นแน่
ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้น แต่ไม่ได้คิดจะส่งให้คุณอ่าน แต่ความคิดเสี้ยวหนึ่งในหัวผมหวังว่าถ้าคุณได้อ่านก็คงจะดีเหมือนกัน แต่ที่สุดแล้วผมไม่คิดว่าคุณจะได้อ่านมัน
จาก ผม
จดหมายฉบับนี้พับใส่ซองสีน้ำตาล ปิดผนึกเรียบร้อย วางนิ่งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือของผม ความหมายของมันไม่ได้อยู่ที่ผู้รับจะได้อ่านหรือไม่ แต่อยู่ที่ผู้เขียนอย่างผมได้เขียนมันขึ้นมาต่างหาก
บ่ายวันอาทิตย์ ฝนเส้นบางๆ ปรอยลงเบาๆ ผมปั่นจักรยานพร้อมกางร่ม ออกไปหน้าปากซอย หยุดตรงตู้ไปรษณีย์สีแดง หยดน้ำหลายหยดเกาะอยู่โดยรอบ
ผมเสียบซองจดหมายตรงช่องรับ มือจับคาอยู่ ยืนนิ่งตรงนั้น จากนั้นผมค่อยๆปล่อยมือ ซองยังคาอยู่กับช่องเสียบ ผมมองดู แล้วเริ่มก้าวเท้า เดินวนอยู่รอบตู้ไปรษณีย์
ถ้าเกิดผมหย่อนซองลงไป แล้วปรากฏว่าจดหมายฉบับนี้ดันส่งไปถึงเข้าจริงๆล่ะ จะเป็นอย่างไร ? ผมกลัวว่าเธอจะได้รับแล้วอ่านมันจริงๆ หากเธออ่านมันแล้วไม่มีความรู้สึกใดๆเกิดขึ้นล่ะ เหมือนกับอ่านใบปลิวสักแผ่นที่แจกฟรี นั่นแหละที่ผมกลัว
กลัวว่าเธอจะลืมเลือน ลืมแบบสนิท ถ้าเป็นแบบนั้น ตัวตนผมที่มีอยู่คืออะไรกันเล่า หากสิ่งที่ผมให้ค่าใส่ใจ เจ็บปวดไปกับมันอยู่ทุกวี่วันนี้ เป็นแค่ความเหลวไหลไร้ค่า ค่าแม้เพียงนิดเดียวก็เปล่ามี ผมมิย่ำแย่กว่านี้หรือ ?(หรือหากเป็นแบบนั้น ผมอาจจะดีขึ้นกว่านี้กันแน่นะ)
ผมกลัวอยู่ทุกวันว่าหากพบกับเธออีก แล้วเธอลืมตัวตนของผมไปแล้วล่ะ สายตาที่เธอมองอย่างฉงนจนเพื่อนต้องสะกิดบอกชื่อผมออกไป เธอนิ่งนึกนานจนผมอึดอัด แล้วเธอก็โพล่งกับผมเบาๆว่า เราเคยคบกันด้วยหรือ? หากเหตุการณ์เป็นแบบนั้น คงเหมือนกับส่วนต่างๆในร่างกายผมแหว่งหาย ไร้สมดุลเป็นแน่
ผมหยุดการก้าวเดิน ใช้มือตบซองจดหมายให้หลุดหล่นลงช่อง จดหมายของผมซุกอยู่กับความมืดของตู้ไปรษณีย์แล้วในบัดนี้
ผมกางร่ม ปั่นจักรยานเข้าซอยตรงกลับบ้าน ในใจนึกมาตลอดทางว่า ผมคงไม่เผลอจ่าหน้าซองหรอกนะ
จากคุณ :
อุปกรณ์ประกอบฉาก
- [
1 ต.ค. 48 07:00:56
A:203.113.81.37 X:
]