CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ++ ++ ++ ++ << พิษรัก แรงหวง >>++ ++ ++ ++

    ผู้คนที่ทะยอยกันเข้ามาในงานต่างสวมชุดดำแลราวกับความมืดที่ค่อยๆเข้าครอบคลุมศาลา                        
    เสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆเต็มไปด้วยความเศร้าสะเทือนเข้าไปในจิตใจ  เจ้าภาพยืนอยู่หน้างาน
    ด้วยใบหน้าหม่นหมอง แต่ละคนล้วนมีใบหน้าเผือดขาว ดวงตาแดงช้ำกับความสูญเสียที่
    ได้รับ


    แสงจันทร์ที่เพิ่งโผล่พ้นก้อนเมฆส่องสว่างเสริมแสงนีออนที่ปักอยู่ตามรายทาง  ฉันค่อยๆเดิน
    ไปตามทางปูนนั้นด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง...มันบีบคั้น...เจ็บปวด...กับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น น้ำตาที่
    แห้งเหือดไปจากหน่วยตาทั้งคู่คล้ายจะเอ่อท้นขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งฉันก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนเก็บมัน  
    เดินตามหลังชายกลางคนที่สวมสูทสีดำเข้างานไปเงียบๆ  มองหาที่ว่างพอจะนั่งฟังพระสวด
    ได้


    เบื้องหน้าพายัพ...น้องชายวัยรุ่นของ ‘เขา’ กำลังกุลีกุจอเชื้อเชิญญาติผู้ใหญ่นั่งเก้าอี้ที่จัดเรียง
    ไว้ ฉันไม่อยากจะเป็นภาระให้คนในครอบครัวนี้ต้องมาคอยดูแล จึงตัดสินใจเลี่ยงไปนั่งหลบ
    มุมอยู่ที่เต๊นท์ด้านนอก ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะยาวที่วางหม้อข้าวต้มใบโตกับน้ำดื่มที่เตรียมจะแจก
    แขกในงาน


    มุมที่ฉันเลือกค่อนข้างเงียบปลอดผู้คนจะมีก็เพียงหญิงสาวร่างผอมอีกคนในชุดสีดำที่ขับผิว
    เหลืองซีดของหล่อนให้เผือดขาวลงไปอีก ใบหน้าของหล่อนซ่อนอยู่ในเงามืด ดูเหมือน
    หล่อนจะจงใจหันหลังให้กับเสาไฟต้นใหญ่ที่ปักหลักอยู่ไม่ไกลนัก ฉันจะเขม้นมองก็กลัวเสีย
    มารยาท จึงได้แต่นั่งลงเก้าอี้ว่างถัดมาอีกสองตัว เสมองไปด้านอื่นแทน


    ลมหนาวหอบเอากลิ่นดอกลีลาวดีโชยเอื่อยเข้ามา ทำเอาฉันรู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมาอย่างไม่มี
    สาเหตุ พร้อมๆกับหญิงข้างกายเอ่ยปากทำลายความเงียบขึ้นมา


    “น่าสงสารนะคะ” เสียงนั้นแผ่ว คล้ายเสียงกระซิบที่ถ้าไม่ตั้งใจฟังจริงๆคงยากจะได้ยิน แต่
    ฉันกลับได้ยินมันถนัดเต็มสองหู จนต้องเหลือบตามองรอบตัว ซึ่งปราศจากผู้คน


    “ค่ะ” ฉันรับคำเบาๆ เข้าใจว่าหญิงสาวคนนี้ต้องพูดกับฉันแน่ๆ ในเมื่อตรงนี้ มีเพียงเราสอง
    คน แขกสูงวัยที่อยู่ใกล้ที่สุดก็นั่งถัดไปอีกสองแถว คงไกลเกินกว่าคนข้างๆจะพูดด้วย


    “ถ้าเขาไม่ขับรถออกไปคืนนั้น คงไม่เกิดอุบัติเหตุแบบนี้” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสะเทือน
    ใจพูดต่อ ราวกับต้องการระบายความอัดอั้นออกมา


    ฟังประโยคนั้นแล้ว ฉันรู้สึกสะท้อนวูบในอก..


    ใช่สิ! ถ้าวันนั้นเขาไม่หุนหันขับรถออกไป  เราสองคนก็คงจะมีความสุขอยู่ด้วยกัน...และ
    เรื่องราวมันคงไม่ลงเอยแบบนี้….


    ....

    ........

    ..............


    “ทำอะไรอยู่จ๊ะ” พร้อมกับคำทักนั้น อ้อมแขนแข็งแรงก็สวมกอดเข้าที่เอว ฉันเอี้ยวตัว เอียง
    หน้าให้อีกฝ่ายหอมแก้มแรงๆ ยิ้มรับเขาด้วยความสุข


    “ออยกำลังทำแกงป่า ของโปรดของคุณไงคะ” ตอบแล้วฉันก็หันกลับไปสนใจหม้อปรุง
    อาหารตรงหน้าที่ส่งกลิ่นหอมชวนยั่วน้ำลาย


    “น่ารักจริง ตามใจผมขนาดนี้ ผมจะไม่รักคุณได้ยังไง”


    เขาพูดพลางก้มลงสูดความหอมบนแก้มฉันอีกครั้ง ช่วยเขี่ยไรผมที่ระเรี่ยอยู่ข้างแก้ม ทัดหู
    อย่างเอาใจ  ก่อนแน่นๆอีกครั้ง แล้วคลายวงแขนออก เดินไปเปิดตู้เย็นด้านข้าง เทน้ำออกมา
    ดื่มอย่างกระหาย มือข้างหนึ่งคลายปมเนคไทที่คอแล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร


    “ทำไมวันนี้มาเร็วล่ะ ไหนบอกว่าต้องไปดู ‘บ้านโน้น’ ก่อนไม่ใช่หรือคะ”


    ฉันถามอย่างรู้หน้าที่...ในเมื่อตัวฉันเป็นผู้มาทีหลัง จะทำไงได้ นอกจากทำทุกสิ่งทุกอย่างให้
    เขา...ผู้เป็นที่รักมีความสุขกาย สุขใจ ยามอยู่ด้วยกัน


    “ไปมาแล้ว” น้ำเสียงเบื่อๆของเขาทำให้ฉันชะงัก หันไปสบสายตายุ่งยากใจที่เต็มไปด้วย
    ความเบื่อหน่าย แล้วถอนใจยาว


    “นั่นน่ะ...แค่ทำบ่นปวดหัว ปวดท้องเหมือนเดิมนั่นแหละ ผมดูแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไร หน้าตา
    ก็เซียวๆเหมือนทุกวัน ไม่ได้ย่ำแย่อะไรนักหนา ไม่รู้จะเรียกร้องความสนใจอะไรกัน  รู้ๆอยู่ว่า
    วันนี้ ผมต้องมาอยู่กับคุณที่นี่ ยังหาเรื่องชวนหงุดหงิดอีก”


    ฉันปิดแก๊ส ยกหม้อแกงลงจากเตา วางไว้ด้านข้าง แล้วเดินมาบีบ นวดไหล่กำยำใต้เสื้อเชิ้ตขาว
    อย่างเอาใจ


    “เมียคุณอาจจะปวดหัวจริงๆก็ได้ เห็นใจเธอหน่อยสิคะ” ฉันพูดอย่างเห็นใจสตรีที่ไม่เคยพบ
    หน้ากันมาก่อน เรียกรอยยิ้มชื่นชมจากสามี


    “คุณอย่าเอาเรื่องร้อนจากบ้านนั้นมาที่นี่เลยค่ะ ตอนนี้เราอยู่ด้วยกันแล้ว ทำใจเย็นๆ ทำใจให้
    สบายดีกว่าค่ะ” ฉันยิ้มหวานอย่างเอาใจ คิดถึงปานชีวี...ภรรยาของเขาแล้วได้แต่สงสาร


    ก็ใครใช้ให้สามีของหล่อนมาหลงรักฉันอย่างหัวปักหัวปำล่ะ เขารักฉันจนไม่ดูดำดูดีภรรยาขี้
    โรคนั่นเลย...


    ....

    .......

    ...............


    “แย่นะคะ น่าสงสารเด็กสองคนนั่น” หญิงสาวข้างกายยังรำพัน เรียกสติของฉันให้กลับมาอยู่
    กับเหตุการณ์แห่งความสูญเสียตรงหน้า


    ฉันมองไปยัง “เด็กสองคนนั่น” ที่กำลังเดินเสิร์ฟน้ำให้แขกอย่างรู้หน้าที่ ... เด็กหรือจะเรียก
    ให้ถูกว่าอยู่ในช่วงวัยรุ่นมากกว่า เป็นน้องชายกับน้องสาวของพีรยุทธ...น้องที่อาศัยใบบุญ
    พี่ชาย


    ยามนี้ ยามเมื่อพี่ชายที่รักจากไป ฉันเองก็ไม่รู้ว่า เด็กสองคนนั่นจะอยู่กันยังไง อาจจะไปอาศัย
    บ้านญาติห่างๆที่ยังเหลืออยู่กระมัง


    พายัพ...หนึ่งในสองคนนั่นเดินถือถาดมาทางนี้ ยื่นแก้วน้ำให้ชายสูงวัยที่นั่งอยู่เบื้องหน้าฉัน
    มองกวาดมายังมุมที่ฉันกับหญิงแปลกหน้านั่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินถือถาดเปล่าจากไป...คิดว่า
    คงไปเอาน้ำมาเพิ่มให้เราสองคนที่นั่งหลบมุมอยู่ตรงนี้


    ฉันถอนใจยาว รู้สึกว่าคนข้างกายรู้เรื่องราวของสามีฉันมากเหมือนกัน คิดว่าหล่อนคงเป็น
    เพื่อนสนิทกับเขา จึงยิ้มเพิ่มอีกนิด มองร่างที่ยังซ่อนอยู่ในเงามืดอย่างเป็นมิตรมากขึ้น


    “แต่คนทางบ้านนี้เขาคงจัดการกันได้มังคะ คุณอย่าเป็นห่วงเลย”


    “จะไม่ให้ห่วงได้ยังไงคะ คนเคยเห็นหน้ากันทุกวัน”


    คำพูดของหญิงสาวข้างกายสะดุดใจฉันขึ้นมาทันที เหมือนกับมีความเย็นวาบวิ่งจากปลายนิ้ว
    เข้าสู่หัวใจจนเสียววาบ มือสองข้างของฉันเย็นเฉียบ กับการความคิดบางอย่างที่ผุดขึ้นในใจ
    อย่างกะทันหัน


    เคยเห็นหน้ากันทุกวัน!


    เด็กสองคนนี่น่ะหรือ...จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อสองคนนี่อาศัยอยู่ที่บ้านใหญ่ อยู่กับปานชีวีนี่
    นา ขนาดฉันเองยังนานๆกันทีเลย...


    และเป็นการพบกันโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ให้ความเคารพฉันสักเท่าไร


    “คุณรู้จักนายพายัพกับยายพีรยาด้วยหรือคะ”


    ฉันถามอย่างไม่แน่ใจ หรือว่าเจ้าหล่อนอาจจะเป็นเพื่อนกับสองคนนั่นก็ได้ ในเมื่อร่างท่อนบน
    ของหล่อนซ่อนอยู่ในเงามืด ทำให้ฉันมองหน้าหล่อนได้ไม่ถนัดนัก


    หล่อนอาจจะเป็นเพียงเพื่อนของน้องชายเขาที่มาร่วมแสดงความเสียใจด้วยเท่านั้น....ฉัน
    พยายามปลอบใจตัวเอง คิดในแง่ดีไว้ก่อน


    “ค่ะ รู้จักดีทีเดียว ก็ฉันอยู่บ้านเดียวกับสองคนนั่นไงคะ”


    ลมหนาวพัดเข้ามาอีกวูบหนึ่ง เสียงร้องโหยหวนของสุนัขดังแว่วมาไกลๆ...ฉันก็ไม่เข้าใจ
    เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆพวกมันจึงพร้อมใจกันส่งเสียงร้องขึ้นมา รู้แต่เพียงว่าต้นไทรใหญ่ที่ปลูก
    อยู่ไม่ไกลแลคล้ายจะทะมึนมากขึ้น ใบของมันส่ายขยับไปมารับกับเสียงหอนของสุนัขนั่นจน
    ฉันเริ่มหนาว ความกลัวไม่รู้สาเหตุวิ่งเข้ามาจู่โจมหัวใจอย่างไม่ทันตั้งตัว จนฉันอยากลุกหนี
    จากที่นั่งตรงนั้น แล้วเข้าไปรวมกับกลุ่มคนที่นั่งอยู่ด้านหน้ามากกว่า


    ถ้าเพียงแต่ฉันจะก้าวขาออกจากตรงนี้ไปได้ !


    “คุณ...คุณอยู่บ้านเดียวกับเด็กสองคนนั้น...คุณ...คุณปานชีวีหรือคะ” เสียงฉันสั่นพริ้วอย่าง
    ห้ามไม่อยู่ มือสองข้างเย็นเฉียบ ใบหน้าคงขาวซีดแน่ๆ


    จะไม่ให้เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร...


    ในเมื่อ....


    ....

    .........

    ................














    ((ยังมีต่อค่ะ))

    จากคุณ : อรพิม - [ 1 ต.ค. 48 19:58:42 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป