CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ********##### เรื่องเรื่อยเปื่อย ของนายกริช [4] เรามาประหยัดพลังงานกันเถอะ######********

    เรื่องเรื่อยเปื่อย ของนายกริช [4] เรามาประหยัดพลังงานกันเถอะ

    เรื่องพลังงานในปัจจุบัน เป็นเรื่องที่กระทบกับตัวเรา และก็เงินในกระเป๋าเรามากที่สุดเรื่องหนึ่ง ไม่เพียงเท่านั้น ยังกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั้งประเทศเลยทีเดียว ซึ่งก็น่าแปลก ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว มันเป็นเรื่องที่เราต้องทำกัน ต้องกระทำกันเป็นนิจ ให้เป็นนิสัย เพราะการประหยัด มัธยัตถ์ อดออม เป็นเรื่องที่ได้รับการปลูกผังมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ ไม่มีใครสนใจ เพราะบ้านเรา ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ซึ่งปัจจุบัน ในน้ำมีมลพิษ ในนามีต้นข้าวแห้งๆ แล้วพวกเราก็ยากจนกันลงไปทุกวัน ก็เลย ต้องลดรายจ่ายกันหน่อย รายจ่ายที่ลดได้ แล้วไม่กระทบกับการดำเนินชีวิตประจำวันมากนัก ก็คือการประหยัดพลังงานนั่นเองครับ

    ก่อนอื่น การประหยัดพลังงาน ต้องแยกให้ออก ระหว่างการประหยัดไฟฟ้า กับการประหยัดน้ำมัน การประหยัดน้ำ เป็นต้น เพราะแต่ละอย่าง ก็มีวิธีที่ไม่เหมือนกันเลย ถ้าใครมาบอกพวกเราว่าให้ประหยัดน้ำมัน โดยการปิดไฟละก็ ด่ามันไปได้เลยนะครับ ฐานที่ไม่รู้ว่า บ้านเรา ส่วนใหญ่ ไม่ได้ผลิตไฟฟ้ามาจากน้ำมัน ทางกฟผ ใช้น้ำมันผลิตไฟฟ้าน้อยมาก ไว้ใช้สำหรับในกรณีไฟตกเท่านั้น ซึ่งปัจจุบัน กำลังการผลิตของกฟผ มีมากเกินพอสำหรับการใช้ไฟฟ้าในประเทศ ไฟฟ้าส่วนใหญ่ของบ้านเรามาจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะประมาณ 30%ของทั้งหมด นอกนั้นจะมาจากน้ำและก็พลังงานความร้อนร่วมโดยใช้ก๊าซธรรมชาติครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การใช้สอยอย่างประหยัด ก็เป็นสิ่งดี ที่ควรทำนะครับ

    การประหยัดไฟฟ้า ความจริงจะพูด เด็กๆ ก็บอกได้ ว่าประหยัดกันนะ ปิดไฟดวงที่ไม่ใช้นะ ปิดไฟตอนพักเที่ยง เปิดแอร์ ที่ 25 องศา ซึ่งเป็นมาตรการที่ควรทำ แต่ไม่มีใครทำ เพราะไม่รู้ ว่าทำแล้ว ดีอย่างไร หรือไม่ดีอย่างไร

    ลองมาดูกันซิครับ ว่าเราจะประหยัดพลังงานกันได้อย่างไร บ้าง เรื่องใกล้ๆ ตัวที่แหล่ะ ความจริงไม่ยากเลยครับ เป็นเรื่องที่เรามองข้ามมาตลอด

    เริ่มต้นด้วย แสงสว่าง หลอดไฟตามบ้านเรือน จะมีด้วยกัน 2 ขนาด คือ 40 วัตต์ และ 20 วัตต์ ซึ่งเป็นหลอดอ้วน ได้มีการรณรงค์ให้ใช้หลอดผอม ขนาด 36 วัตต์ และ 18 วัตต์ กันมานานแล้ว ปัจจุบัน คงไม่ค่อยมีแล้ว แต่ทุกคนทราบหรือเปล่าครับ หลอดขนาด 36 วัตต์น่ะ แท้จริงแล้ว มันกินไฟเกือบๆ 50 วัตต์เลยที่เดียว ขนาด 18 วัตต์ ก็กินไฟมากกว่า 30 วัตต์ ยิ่งเป็นหลอดไฟอ่านหนังสือ แบบยาวขนาด 10 วัตต์ กินไฟรวมแล้ว มากกว่า 20 วัตต์ เลยที่เดียว ส่วนเกินมาจากไหน มันมาจากบาลาสต์ครับ บาลาสต์ เป็นอุปกรณ์ที่กินไฟเยอะมาก ตกประมาณ 15 – 20 วัตต์เลยทีเดียว ปัจจุบัน ได้มีการใช้บาลาสต์อีเล็กทรอนิคส์ ซึ่งกินไฟนิดเดียว และบาลาสต์ก็มีเบอร์ 5 นะครับ เป็นสติ๊กเกอร์ติดอยู่ที่ตัวบาลาสต์เลย เวลาซื้อ ก็สังเกตดูดีๆ ละกันครับ เบอร์ 5 นะครับ แบบเดียวกับแอร์เบอร์ 5 ครับ แต่ตราสัญลักษณ์เล็กกว่ากันเยอะเลย

    นอกจากหลอดแบบยาวแล้ว ยังมีหลอดแบบเกลียว แบบเขี้ยว ซึ่งเป็นหลอดแบบมีไส้ และหลอดประสิทธิภาพสูง หลอดแบบมีไส้ กำลังไฟส่วนใหญ่ จะเปลี่ยนเป็นความร้อน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ

    หลักการเลือกหลอดไฟ ที่กล่อง จะมี lu/w ครับ lu มาจากคำว่า lumen ซึ่งเป็นหน่วยของความสว่าง และ W คือหน่วยของกำลังไฟ ที่หลอดไฟจะต้องใช้เพื่อสร้างความสว่าง ลูเมนต่อวัตต์คือความส่งสว่างต่อกำลังไฟ ตัวเลขนี้ ยิ่งมากยิ่งดีนะครับ เวลาหาซื้อหลอดไฟ ก็ลองดูที่ข้างกล่องถ้าเปรียบเทียบแล้ว ถ้าในราคาพอๆกัน ก็เลือกตัวที่มีลูเมนต่อวัตต์สูงๆ จะได้ความสว่างมากๆ จะได้ไม่ต้องใช้จำนวนหลอดไฟเยอะเกินความจำเป็น

    แต่การประหยัดไฟ ด้วยการปิดไฟแสงสว่าง เอาเข้าจริง มันเป็นการประหยัดไฟที่เล็กน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมจะบอกต่อไปนี้

    เครื่องปรับอากาศ หรือแอร์ ที่เราเรียกกัน มันเป็นอุปกรณ์ที่กินไฟมาก ตามอาคารสำนักงาน ค่าไฟฟ้าของทั้งตึก จะเป็นของระบบปรับอากาศถึง 60 – 80% เลยทีเดียว การใช้แอร์อย่างประหยัด ก็มีวิธีครับ

    ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า แอร์ ก็คือเครื่องมือ ในการดูดความร้อนออกจากห้องนั่นเอง การดูดความร้อนออกจากต้อง จะต้องใช้พลังงานในการดึงความร้อนออก ซึ่งใช้น้ำยาแอร์เป็นตัวกลาง ในการถ่ายเทความร้อน การที่ห้องปรับอากาศ ปรับอุณหภูมิไว้ที่ 24 หรือ 25 องศาเซลเซียส นั่นหมายความว่า แอร์ พยายามจะรักษาอุณหภูมิไว้ที่ระดับนั้น ตราบใดก็ตาม ที่อุณหภูมิยังอยู่ในค่าที่กำหนด ซึ่งก็คือ 24 หรือ 25 ที่เราตั้งไว้ แอร์ จะไม่ทำงาน (แน่นอนว่าไม่เสียค่าไฟฟ้า) แต่เมื่อใดก็ตาม ที่อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง สูงขึ้น แอร์จะพยายามลดอุณหภูมิให้ได้ ตามที่เราตั้งไว้ ซึ่งถ้าเราตั้งเราตั้งไว้ 25 องศา พออุณหภูมิห้องลดลงถึง 25 องศาปุ๊บ แอร์ก็จะหยุดการทำงาน พออุณหภูมิห้องสูงขึ้นถึงประมาณ 26 หรือ 27 องศา แอร์ก็จะทำงานอีกครั้ง ซึ่งถ้าตั้งอุณหภูมิแอร์ไว้ที่ 15 องศา แอร์ก็จะทำงานไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอุณหภูมิห้องลดลงถึง 15 องศา ซึ่งสำหรับห้องนอนหรือห้องทำงานทั่วๆ ไปในประเทศไทย เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้อุณหภูมิจะลดลงถึง 15 องศา เพราะอุณหภูมิภายนอกสูงกว่ามากครับ ดังนั้น เมื่อเราเข้ามาในห้องร้อนๆ เปิดแอร์แรง ๆ ลดอุณหภูมิลงเยอะๆ เพราะว่ามันจะได้เย็นเร็วๆ นั้น เป็นความเชื่อที่ผิดนะครับ ตั้งอุณหภูมิต่ำหรือสูง แอร์เย็นเร็วเท่ากันนะครับ แต่ถ้าอยากเย็นเร็วๆ  ของแนะนำให้เปิดพัดลมซักพัก ความเย็นที่ออกมาจากเครื่องจะได้กระจายไปทั่วห้องได้เร็วขึ้นน่ะครับ smile

    อุณหภูมิที่ตั้งไว้ เครื่องแอร์จะตรวจอุณหภูมิที่ตัวรีโมทคอนโทรลน่ะครับ และการหมั่นทำความสะอาดแผงกรองอากาศ จะทำให้ห้องสะอาด ไม่มีฝุ่น ลดอาการภูมิแพ้ได้อีก และที่สำคัญ แอร์ทำงานเต็มประสิทธิภาพได้ด้วยครับ

    การเลือกขนาดของแอร์สำหรับห้อง ก็สำคัญครับ ถ้าแอร์มีขนาดใหญ่เกินไป ห้องก็จะเย็นเร็ว แอร์ก็จะตัดการทำงานบ่อย ซึ่งทำให้พังเร็ว หรือถ้าแอร์มีขนาดน้อยเกินไป แอร์ก็จะทำงานตลอด เพราะว่าไม่เย็นซะที ก็ทำให้เปลืองไฟอีก ถ้าทราบพื้นที่ห้อง โดยคร่าว ๆ ก็จะใช้ 750 – 850 บีทียูต่อชั่วโมง ต่อตารางเมตรนะครับ เช่นห้องขนาด 9 ตารางเมตร ก็ควรใช้แอร์ขนาด 9 x 850 = 7,650 บีทียูต่อชั่วโมง ซึ่งแอร์ต่ำสุดที่มีขายกันคือประมาณ 9,000 บีทียูต่อชั่วโมง ครับ ก็ควรเลือกแอร์ขนาดนี้

    หน่อยบีทียูต่อชั่วโมง คือหน่วยพลังงานหรือความร้อนที่แอร์ดูดออกจากห้อง โดยที่ 12,000 บีทียูต่อชั่วโมง ถือเป็น 1 ตันครับ เวลาคุยกับช่างแอร์ เค้าจะบอกว่าติดแอร์ ตันนึงหรือสองตัน ไม่ได้หมายถึงน้ำหนักนะครับ หมายถึงหน่วยทำความเย็นต่างหาก และแน่อนว่ายิ่งบีทียูเยอะๆ แอร์ก็จะยิ่งแพงครับ

    แอร์เบอร์ 5 คืออะไร หลายๆ คนคงสงสัย เบอร์ห5 หมายถึงแอร์ที่มีอัตราการกินไฟ 1 วัตต์ ต่อการทำความเย็น 10 บีทียูต่อชั่วโมง ตัวเลขนี้ ยิ่งเยอะยิ่งดีนะครับ ดูได้ที่ฉลากสีเหลือง ค่า EER นั่นเองครับ

    สุดท้ายสำหรับแอร์ ควรเรียกช่างแอร์มาล้างเครื่องประมาณ 2 – 3 ครั้งต่อปีนะครับ เพื่อให้แอร์อยู่กับเรานานๆ และก็ไม่กินไฟนั่นเองครับ

    สำหรับอื่นๆ ทำก็ดี ไม่ทำ ก็ไม่ค่อยจะมีผลอะไรมากนักนะครับ เช่น ทีวี ถ้าอยู่ในโหมด stand by จะกินไฟ 1 ใน 3 ของทีวีเมื่อเปิดใช้งาน คอมพิวเตอร์ ถ้าไม่ใช้งานนานๆ ก็ควรถอดปลั๊ก ถ้าควรใช้วิธีพักหน้าจอ เพราะว่าส่วนที่กินไฟมากที่สุด ก็คือจอภาพ เป็นการยืดอายุจอภาพไปด้วย กาต้มน้ำ ไม่ควรเสียบทิ้งไว้ทั้งวัน จะเสียบเมื่อจะใช้น้ำร้อนดีกว่า พวกนี้เป็นมาตรการเล็กๆ น้อยๆ ครับ ทำก็ดี ไม่ทำก็จ่ายค่าไฟมากขึ้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ก็ควรทำนะครับ

    wink

    แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 48 19:34:58

    จากคุณ : กริชครับผม - [ 2 ต.ค. 48 19:34:19 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป