คนเรา...ถ้าลองได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ หรือสิ่งที่มีชีวิต เห็นมันทุกวัน อยู่ด้วยทุกวัน พอนานเข้า...นานเข้า เราก็จะรู้สึกผูกพันกับสิ่งนั้นมากขึ้น มากขึ้นจนอาจจะกลายเป็นรัก... และสุดท้าย เราก็จะขาดมันไม่ได้
ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ฉันก็ชะงักนิดหน่อยตอนที่เอาผ้าห่มผืนเล็กของลูกไปซัก มันสกปรกมากแล้วจริงๆ ฉันพยายามให้เหตุผลกับตัวเอง ก็มันทั้งดำ ทั้งเหม็นนี่นา ฉันนั่งมองเครื่องซักผ้าที่กำลังเริ่มทำงาน ผ้าผืนโปรดของลูกวนเป็นวงกลมอยู่ในเครื่อง
ผ้าผืนนั้นมีเชื้อโรคเยอะแยะ แล้วสาก็เอาไปนอนกอดทุกวัน เดี๋ยวก็ป่วยหรือเป็นอะไรไปหรอก พักนี้ยิ่งชอบเป็นหวัดอยู่ เห็นสูดน้ำมูกฟืดฟาดๆ
ฟองสีขาวเริ่มปกคลุมผ้าที่เคยมีสีชมพู ไม่รู้ติดอะไรนักหนาสิน่า ฉันยักไหล่ตามความเคยชินก่อนจะสะดุ้งเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาอีก
แต่ผ้าก็เปื่อยมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะขาดมั้ย ฉันตกใจนิดหน่อยกับความคิดนั้น แล้วถ้าสารู้ ก็คงจะโกรธอีก ฉันมองเครื่องซักผ้าที่ยังคงทำงานต่อไปด้วยความลังเล แล้วก็ยักไหล่อีกครั้ง
ก็คงแค่บ่นอีกแหละ แค่บ่น...
แม่ เสียงยัยสา ลูกสาวตัวน้อยของฉันดังก้องจนเรียกได้ว่าแทบจะดังคับบ้าน ฉันสะดุ้งนิดหน่อยตอนได้ยินเสียงลูก ท่าทางแกคงจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
แม่ เสียงเรียกใกล้ตัวเข้ามาเรื่อยๆ ฉันนั่งจ้องประตูเงียบๆ ...รอคอย
ประตูถูกเปิดออกด้วยอาการเกือบเป็นกระแทก แล้วดวงหน้าที่เคยเล็กกระจิริดก็เยี่ยมเข้ามามอง เมื่อพบตัวฉันก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
รำคาญ?
ฉันไม่รู้หรอก เธอจะรู้สึกอย่างไร ฉันก็ไม่รู้ ฉันไม่เคยเข้าใจในตัวเธอมานานเต็มทีแล้ว น้ำเสียงที่เธอใช้นั้น จะแสดงว่าเธอเหนื่อยหน่าย หรือเบื่อ...ฉันก็ไม่รู้
เธอเอ่ยขึ้นมาเมื่อฉันยังคงเงียบ แม่อยู่นี่เอง ทำไมไม่ขานล่ะ
ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองเธอแต่ไม่พูดอะไร แล้วยักไหล่เล็กน้อยแทนการตอบ ลูกถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเริ่มเรื่อง เธอชูผ้าในมือขึ้นมา แม่เอามันไปซักหรือ
ผ้าในมือลูกขาวขึ้นนิดหน่อย มันสะอาดและหอมกลิ่นแดดอย่างที่ฉันต้องการเลยเชียว
ฉันพยักหน้าน้อยๆ ตอบรับคำถาม จากนั้นก็รอคอย และแล้วเสียงถอนหายใจก็ดังตามมา มันดังเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ขี้เกียจจะนับ ฉันเคยบอกลูกแล้วว่า หากถอนหายใจมากๆ เนื้อคู่จะยิ่งห่างออกไป ถอนหายใจหนึ่งครั้ง ก็ห่างออกไปหนึ่งวัน นี่คงห่างไปหลายปีแล้วล่ะ ก็ลูกสาวตัวน้อยของฉันตอนนี้อายุจะสามสิบแล้ว
แม่...แม่ สาโบกมือไปมาตรงหน้าฉัน ฉันเคยบอกหลายทีแล้วว่าไม่ชอบ แม่เหม่ออีกแล้ว เฮ่อ... อาการส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดนั้น ไม่ทำให้ฉันรู้สึกอะไร
ฉันไม่ได้รู้สึกอะไร...สักหน่อย
หนูบอกแม่แล้วว่าอย่าเอาไปซัก ทำไมไม่เชื่อกันบ้าง นี่มักจะเป็นประโยคเริ่มต้นของการบ่นอันยาวเหยียดที่จะตามมา ฉันอยากจะถอนหายใจออกมาเหลือเกิน แต่ก็ไม่อยากเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้เธอ ลูกถอนหายใจมากเกินไป พอๆ กับที่บ่นมากเกินไป แต่ฉันจะพูดอะไรได้ล่ะ ในเมื่อมีคนพูดคนเดียวก็พอแล้วนี่ หากฉันไม่เงียบไว้ แล้วใครจะเป็นคนฟังกันเล่า
ลูกเริ่มพูดพร่ำด้วยคำบ่นเก่าๆ โดยเริ่มจากอาการปวดเมื่อยตามตัวของฉัน (ก็ฉันอยากไปเดินเล่นดูอะไรที่ตลาดบ้าง) โรคหัวใจของฉัน ความดันเลือดที่สูง ไขมันในเส้นเลือด การออกแรงยกของหนักๆ หรือแม้กระทั่งงานบ้านที่เธอไม่อยากให้ฉันทำ
จากนั้นก็จะตามด้วยของกินที่ฉันชอบ...ถ้าหากอัดเทปเอาไว้ แล้วเปิดตอนที่แกอยากจะบ่นก็คงดี มันคงประหยัดแรงลูกไปได้เยอะเชียว
ฉันปรับให้การรับรู้ของประสาทหูจากการรับฟังเป็นเพียงการได้ยิน (ก็เรื่องที่บ่นมันก็ไอ้เรื่องเดิมๆ) ฉันจ้องมองปากที่ขยับขึ้นลงของลูก มองใบหน้าที่ตกแต่งไว้เป็นอย่างดี มองร่างกายที่เติบโตขึ้น
แล้วคุณจะลืมไปเลย ว่าพวกเขาเคยตัวเล็กกันขนาดไหน ประโยคนี้ผุดขึ้นมาทุกครั้งที่มองเธอ ฉันค้านนิดหน่อยนะกับคำพูดนั้น ฉันไม่เคยลืมมัน ฉันยังจำความรู้สึกครั้งแรกตอนที่ได้อุ้มเจ้าตัวเล็กนี่ได้ ร่างกระจ้อยร่อยในห่อผ้าสีขาว ริมฝีปากสีชมพูรูปหัวใจที่ดูดจุ๊บๆ ตลอดเวลา
ยังไม่ทันไรก็จะกินเสียแล้ว หมอที่ทำคลอดพูดยิ้มๆ พยาบาลหัวเราะกันใหญ่ แต่เจ้าตัวน้อยก็ยังอ้าปากร่อนท้าทายคำพูดนั้น ก่อนจะร้องไห้เสียงดังลั่น ฉันมองลูกสาวตัวแดงแสนสวยของฉันและเริ่มน้ำตาซึม
ปกติฉันไม่เคยเชื่อเรื่องรักแรกพบนะ แต่เด็กเล็กๆ คนนี้ทำให้ความหมายของคำว่า รักแรกพบ นั้นเป็นจริง เพราะเธอขโมยหัวใจฉันไปตั้งแต่แรกเจอ ลูกสาวตัวน้อยของฉัน
ตาแป๋วๆ ที่จ้องตอบ รอยยิ้มที่ส่งให้ เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเมื่อยามถูกใจ ฉันเฝ้ามองเธอเติบโตขึ้นด้วยความภูมิใจ ชันคอได้เองครั้งแรก ตอนที่เริ่มหัดคลาน จากนั้นก็พัฒนามาสู่การค่อยๆ เกาะตู้แล้วก็หัดที่จะยืน ตอนที่หัดเดินเตาะแตะ เริ่มพูด...และเมื่อพูดออกมาได้คำแรก ฉันก็แทบจะหัวเราะออกมาด้วยความดีใจ
แม่...แม่ฟังที่หนูพูดอยู่หรือเปล่า ฉันพยักหน้าโดยอัตโนมัติ แล้วลูกสาวก็เริ่มการบ่นยกที่สองต่อ ฉันเดินเข้าไปหาเธอโดยไม่รู้ตัว ฉันจับมือของลูกทั้งสองข้างขึ้นมา เธอชะงักไปหน่อย แต่ก็เริ่มร่ายต่อ
ฉันมองมือที่เคยเล็กแถมยังมอมแมมนั้น ซึ่งตอนนี้กลายเป็นมือขาวนวล นิ้วเล็กที่เคยประทับอยู่บนแก้มฉันยามที่พูดคุยตอนนี้ยาวเรียว ฉันยังจำครั้งแรกที่เห็นมันได้ ตอนที่หมอเอาแกมาให้ดูครั้งแรก เนื้อตัวแดงแจ๋ ลูกกำมือเอาไว้แน่น ฉันรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายก่อนที่จะสลบไปเพื่อนับนิ้วมือของเธอ
หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า...หก เจ็ด แปด เก้า สิบ
ครบ...
สมบูรณ์และแข็งแรงดี หมอพูดขึ้น และเสียงร้องของสุดที่รักของฉันก็ดังขึ้นเพื่อยืนยัน ฉันหลับไปด้วยความโล่งใจ สมบูรณ์และแข็งแรงดี
ฉันเอื้อมแขนขึ้นไปรั้งตัวลูกลงมากอด ตลกดีที่ฉันต้องเป็นฝ่ายเอื้อมเสียแล้ว ก็ฉันสูงแค่ไหล่เธอเองนี่นะ แต่ครั้งหนึ่ง ร่างกายนี้เคยโอบกอดฉันไว้ด้วยวงแขนเล็กๆ ร่างบางๆ นุ่มนิ่ม หอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นแป้ง ปากรูปหัวใจกระจุ๋มกระจิ๋มที่เคยฉอเลาะตอนจะอ้อนเอาของเล่น ใบหน้ากลมๆ แก้มป่องๆ ที่ฉันต้องหอมก่อนนอนทุกคืน
ลูกสาวที่เคยตัวเล็กกว่าฉัน เติบโตมากแล้ว
เสียงพูดหยุดไปเมื่อไหร่ไม่รู้ วงแขนของลูกที่กระหวัดเพื่อกอดตอบรัดแน่นขึ้น เรากอดกันเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง และฉันก็เริ่มพูด โกรธแม่เหรอ ที่เอาผ้าไปซัก
เปล่า เธอส่ายหน้าประกอบจนคางที่วางอยู่บนไหล่ฉันส่ายไปมา แม่ทำถูกแล้วที่เอาไปซัก หนูไม่ได้โกรธเรื่องนั้น และเนื่องจากฉันไม่ได้เห็นหน้าแก ฉันไม่แน่ใจนักว่าลูกไม่ได้โกหกเพื่อให้ฉันสบายใจ
กลิ่นหายหมดเลยใช่มั้ย ฉันพูดอีก ไม่โกรธจริงๆ นะ
จากคุณ :
surudee
- [
6 ต.ค. 48 17:04:42
]