๑
แสงแดดเปรียวอุ่นอ่อนใต้ผืนฟ้าตอนเช้าที่แสนเงียบสงบในวันหนึ่ง...แสงทองดั่งธารทางที่สะท้อนใอละอองบางๆจากน้ำค้างหนาวแห่งคืนก่อนส่งให้เห็นเป็นเกล็ดรุ้งเรียงทอดทาฟ้าเป็นทางยาวในฟากวันต่อมา....สายลมที่พัดโรยเอื่อย....โมงยามแห่งการเริ่มชีวิตภายใต้สีสรรที่ธรรมชาติสร้างสรรอย่างบรรเจิดได้ทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขันอีกวาระหนึ่ง....
ภายใต้โลกแห่งสีสรรที่สดใสสวยงามนั้น...อารมณ์..ความรู้สึกของผู้คนในโมงยามแห่งอารมณ์อันลุ่มลึกเมื่อเปรียบความรู้สึกสัมผัสแกับตัวสีต่างๆแล้วนั้น......ห้วงอณูแห่งความอบอุ่นสามารถถูกแทนและระบายความรู้สึกด้วยสีโทนอ่อน...เร่งเพี่มระดับความเข้มด้วยสีแดงสดรุกร้อนแรงตามนิยมยามแห่งอาทิตย์ส่องสี...ความรู้สึกสดชื่นเย็นสบาย...ปลดเปลื้อง...ปล่อยใจให้ละลาย...หากถูกระบายในโทนสีเทียบท้องทะเล...ที่ถึงแม้บางครั้งดูหม่นหมองจากสีหม่นน้ำเงินเข้มยามค่ำคืนที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความเศร้าสร้อยในการจากลาอาดูร..นำอารมณ์ด้วยเสียงโอดคลื่นที่รวดร้าวและแทนความรักที่ดูดดื่มได้ในขณะเดียวกัน...
ความรู้สึกที่เป็นอิสระไร้พันธนาการและสนิทสนมชิดแนบกับความโหยหาของผู้คนในโทนสีเขียวแห่งป่าเขา.....สีขาวระบายบ่งสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์..ตรงข้ามกับสีดำที่มืดทุกข์เศร้าหมองเดียวดายไม่ย้อนคืน...และรวมอีกทั้งสีอื่น ๆ ที่ระบายอารมณ์และความรู้สึกของผู้คน....สีงาม...ยังแต่งแต้มจรรโลงโลกนี้ให้สวยงามและรับรู้เห็นได้ด้วยการสัมผัสโยงจากนัยน์ตา..ส่งสัญญานไปยังสมองและตอบสนองควบกลั่นออกมาเป็นความรู้สึกอันหลากหลายในที่สุด...
ทั้งหมดนี้เอง...ยามเมื่อความมืดมิดเคลื่อนเข้ามากลบกลืนสีอื่นๆให้เลือนไป..แล้วปลดปล่อยเพียงสีดำมืดสงัดเงียบอันเป็นคำแทนแห่งความโหดร้ายแลสกปรกเปื้อนเลอะติดปากผู้คนทั่วไปและละเลยกินกลืนไปในทุกซอกหลีบแห่งสรรพสิ่ง......
ณ ภายใต้ดวงดาวแห่งนี้...ปฐมเหตุแห่งความมืดกระนั้นหรือคือความหมายเพียงแค่ราตรีกาลยามอาทิตย์ได้หลบเร้นโลกใบนี้ไปทำหน้าที่ในอีกฝั่งฟาก...หรือภายใต้ดวงตาที่ปิดมืด ? และเมื่อปราศจากแสงทำให้ไม่สามารถรับรู้สิ่งใดๆภายใต้ดวงตา...กระนั้นหรือ ?
มันไม่อาจเป็นคำถามที่สร้างสรรค์ได้เลย.....ด้วยภายนอกรอบสรรพสิ่งอันเวิ้งว้างนั้นยังมีแสงนวลจากดาวดวงบริวารแห่งโลกใบนี้ส่องสว่างเป็นเพื่อน....ถึงแม้จะมีหมู่เมฆหม่นมาบดบังบางครั้งคราก็ตามที .... อีกภายในใต้กรอบวัตถุนั้นก็ยังมีแสงสว่างจากวัตถุต้นกำเนิดต่างๆที่ผ่านการเรียนรู้...ค้นคิด...จากมนุษย์ที่อาศัยและบ่มเพาะมานานจนมิอาจนับรากแขนงแห่งราตรีกาลที่แตกแยกพ้นผ่านไป.....
แก่นกระพี้แห่งความมืดที่แฝงลึกอยู่ในความหลับไหลแห่งราตรีนั่นหรือ...มันจะออกมาล้อเล่นหัวภายใต้ความฝันโดยมิจำเป็นต้องบอกกล่าวต่อผู้ใด...และไม่เคยมีใครที่ปฎิเสธเรื่องราวแห่งราตรีกาลนั้นได้เลย.....มันจะเป็นไปแบบนี้...เป็นไปภายใต้วงวัฏแห่งราตรีกาล....จวบจนกระทั่งถนนในความมืดมิดนั้นได้สิ้นสุดลง ณ ที่ใดที่หนึ่ง..ที่ๆเป็นปลายทาง....ที่ๆกายเนื้อใดๆมิอาจหลีกเลี่ยง....มิอาจย้อนคืนได้อีก....
แล้วที่ใดล่ะ ? ..ที่ถูกความมืดเข้าครอบงำอย่างเดียวดาย...ที่ๆไร้ความแตกต่างจากแสงแห่งดวงดาวใด...ห้วงความมืดที่มิอาจเยียวยาด้วยแสงสว่างใดๆ....ถนนแห่งความมืดที่ทอดซ้อนยาวในความมืดยิ่งกว่าไปทั่วทุกหนทุกแห่งอย่างไม่มีจุดหมายในหลุมดำลึกที่เยือกเย็นและหนาวเหน็บวังเวงเกินพรรณา...มีสิ่งเดียวที่คงคล้าย...นั่นคือปลายทางแห่งผู้คน...แต่ทว่า ! ...............
...............................................
จากคุณ :
ดวงสมร
- [
8 ต.ค. 48 15:12:29
]