ความคิดเห็นที่ 1 การเดินชอนไชไปในเนปาล  2  กระทู้ 1-4 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3776077/W3776077.html 5-7 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3785781/W3785781.html มาต่อกันเลย...       วันนี้พอนั่งลงปุ๊บ  อาชยุทธ์ก็มานั่งคุยด้วยทันที  พอบอกว่า จะไปยัง “ปศุปตินารถ”  (Pashupatinath)  ซึ่งวัดฮินดูส่วนใหญ่   จะห้ามคนต่างศาสนา  ซึ่งถึงแม้เป็นคนศาสนาเดียวกัน ก็จะมีข้อห้าม นำเอาเครื่องหนังเข้าไป  โดยหน้าวัดฮินดูต่างๆจะเห็นคนที่เข้าไป   ถอดเครื่องหนัง  เช่นเข็มขัด  รองเท้า  ทิ้งไว้ที่หน้าประตู        ด้วยมีความเชื่อว่า  วัวหรือโคนนทิเป็นพาหะของพระศิวะเจ้า   การนำหนังวัวเข้าถือเป็นการลบหลู่   และที่แย่ที่สุดคือ  ไม่เป็นฮินดูเข้าไม่ได้... เท่านั้นแหละ...       เจ้าอาชยุทธ์เถียงคอเป็นเอ็น  มันว่า “เจ๊ (didi) อยากเดิน  ก็เดินเข้าไปดิ(ไหวเรอะ)   จะมีใครมาถามเจ๊ละ   ว่าเป็นฮินดูหรือเปล่า (หน้าตูมันบอกยี่ห้อนี่)  ผมเป็นฮินดูก็ไม่ว่า เจ๊หรอก  ถ้าเจ๊อยากเข้า...เจ๊ลุยเลย....”       แหม...ไอ้บร้าใครจะรับผิดชอบความปลอดภัยชั้นล่ะยะ  อ่ะนะ อยากจะลองเดินเข้าไปเหมือนกัน  แต่กลัวโดนพี่บังไล่ หน้าบันประตูสวยหยด  ระหว่างเดินไป... จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 22:51:39 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ป้าเดินไปตามทางที่จะออกไปพุทธนารถ  (ทั้งสองที่นี่อยู่ห่างกันราวกิโลเศษ)   แล้วออกทางขวา  เดินไปถามไป  ไม่มีเบื่อ  หลงมั่งอะไรมั่ง   เกือบไปออกอีกวัด  แวะกินดู๊ดเฉียที่ข้างทาง  แล้วถามเจ้าของร้าน ซึ่งชี้ทางไปแต่โดยดี (แนะนำว่า  ถ้าใครไป  อย่าเดินอย่างป้า  นั่งแท็กซี่ไปเหอะ 150 -200 รูปีได้)       พอเข้าก็พบกับเด็กๆ  เล่นว่าวอยู่  ว่าวของเจ้านี้แปลก   เป็นรูปแมลงปอ  ก่อนกลับป้าพยายามเดินหาซื้อว่าวแมลงปอ ก็หาไม่เจอ  เด็กๆที่ไหนในโลกก็บริสุทธิ์  ไร้เดียงสามีแต่เสียง หัวเราะเอิ๊กอ๊าก จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 22:53:39 ]

ความคิดเห็นที่ 3 นี่ก็เล่น...         ที่นี่เรียกเจ้านี่ว่า  “บิงก้า”  เป็นชิงช้าเหมือนชาวเขาทางเหนือ บ้านเรา  แถมผูกแบบชาวเหนือ  คือผูกเป็นช่วงเวลา  หลังการเก็บเกี่ยว     อยากขึ้นอ่ะ  พอไปยินเมียงมอง  เด็กๆก็กวักมือเรียก  แต่ป้ากลัว ทำชิงช้าเด็กพัง แหะ แหะ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 22:55:45 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ปศุปฎินารท  ตั้งอยู่ห่างจากเมืองกาฐมัณฑุประมาณ 5 กิโลเมตร (ไกลกว่าปาทันอีก  และป้าก็เดินไป  อิอิ)  เป็นวัดสำคัญทาง ศาสนาฮินดู ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำภัคมาติ ชาวฮินดูถือว่าแม่น้ำแห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำคงคา       โดยรอบของวัดนี้  จะเห็นหลังคาทองๆ  ขวามือ  เป็นส่วนของ วัดฮินดู (ห้ามเข้า) จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 22:57:00 ]

ความคิดเห็นที่ 5 พอไปถึงก็ซื้อตั๋ว  250  รูปีซะ...  มาเข้าชมกันเลย ด้านหน้าเป็นลานกว้างพอประมาณ  แล้วจึงมีสะพานให้ข้ามไปอีกฝั่ง ข้างล่างมีแม่น้ำเป็นแม่น้ำบักวาตี  ฝั่งซ้ายนี้ถัดลานไป  เป็นตัววัด ซึ่งห้ามคนศาสนาอื่นเข้า  (ใครจะไปเชื่อไอ้บร้าอาชยุทธ์  กลัว พี่บังไล่เหยียบ)       วิหารซึ่งมี “ตรีมูรติ” อยู่ข้างใน  หมายถึงพระพรหม เป็นผู้สร้าง พระวิษณุ หรือพระนารายณ์ เป็นผู้รักษา และพระศิวะเป็นผู้ทำลาย (เพื่อให้เกิดใหม่) จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 22:59:17 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ซ้ายมือได้เห็นผู้หญิงพวกนี้  มานั่งรอ  เพื่อเข้าร่วมงานศพ อาเจ๊พวกนี้  ทำให้ป้ารอดจากไกด์ผี จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:00:12 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เราต้องข้ามสะพานนี้  ไปอีกด้าน  เพราะซ้ายมือเข้าไม่ได้  จะเห็น สะพานชายน้ำ  นั่นคือเมรุ... มาฟังประวัติกันหน่อยแล้วกัน...       ตัววัดสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าภูบาลสิงห์แห่งราชวงศ์มัลละ ในปี ค.ศ. 1964 เพื่อถวายแด่พระศิวะในภาคขององค์ปศุปฏิ   เป็นวัดทางศาสนาฮินดูสำคัญวัดหนึ่ง ซึ่งชาวฮินดูที่พำนักใน ประเทศต่าง ๆ ต้องถือโอกาสสักครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะมากราบ นมัสการ เพื่อขอพร ณ ที่แห่งนี้เพราะเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก   ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนไม่ได้รับอนุญาตให้ชมความงามภายในได้   เพราะต้อนรับแต่ชาวฮินดูเท่านั้น แง่ง จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:01:31 ]

ความคิดเห็นที่ 8 การเผาศพที่ปศุปฏินารถซึ่งเป็นวัดฮินดู  เมื่อนักท่องเที่ยวไม่ได้ รับอนุญาตให้เข้าไป   พวกตัวฤทธิ์ก็แห่กันไปยืนดู แบบเห็นกันจะจะ ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำบักวาตี   ซึ่งเป็นมุมสูง  ที่ว่าแม่น้ำแห่งนี้ มีความศักดิ์สิทธิ์เปรียบเสมือนแม่น้ำคงคาที่เมืองพาราณสี   ประเทศอินเดีย  เพราะสุดท้ายแล้วแม่น้ำบักวาตีก็จะไหลไปรวม กับแม่น้ำคงคานั่นเอง   แม่น้ำศักดิ์แห่งนี้เล็ก  และตื้นเขิน   แถมน้ำดำน่าเหวออีกต่างหาก         พอก้าวเข้าวัด  ป้าก็โดนไกด์แขกรุกรานทันที  บอกว่าอยากรู้ไหม   ว่านั่นคืออะไร  นี่คืออะไร  ป้าบอกสั้นๆ “ไอรู้แล้ว (โว้ย)”       พอแขกทำหน้าไม่เชื่อ  ป้าก็ฉอดๆ  เรื่องตรีมูรติ  ท่อโสมสูตร   โยนีฐาน  ฐานห้าเหลี่ยม ฯลฯ  ว่าหมายถึงอะไร  ...พี่ไกด์เห็นว่า ไม่ได้ตังแน่  ก็ถอยไปโดยดี  มีการหันมาชื่นชมก่อนจากด้วยว่า “เอ็งรู้ดีมาก”  หุหุ       นี่เป็นอีกฝั่ง  (แต่ยังอยู่ในฟากที่ห้ามคนมิใช่ฮินดูเข้า)   กล่าวกันว่า  ที่นี่เป็นฝั่ง...คนจน จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:03:46 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ชาวฮินดูที่เนปาลเมื่อตายแล้วจะมาเผาที่วัดนี้  ประเพณีมีอยู่ว่า   หากผู้เป็นบิดาตายลูกชายคนโตก็จะโกนหัวและมาเป็นผู้ทำพิธี   หากแม่ตายก็จะเป็นหน้าที่ของลูกชายคนรอง ซึ่งก่อนและหลังการ มาเป็นผู้ทำพิธีนั้นก็ต้องมีการเก็บเนื้อเก็บตัวเพื่อสงบจิตใจ         หากครอบครัวไหนไม่มีลูกชายก็จะมีกฎไว้ว่าต้องทำอย่างไร   เช่น หาญาติสนิท หรือครอบครัวหัวทันสมัยบางครอบครัวก็ให้ลูกสาว นั่นแหละเป็นคนจัดการ  อันนี้ตามข้อมูลที่ได้มา  แต่วันที่ป้าไป... มีสัปเหร่อ (ขอเรียกแบบไทย  มาจัดการให้แทน)       พอข้ามฟากไปยืนหาชัยภูมิเหมาะก็ได้เรื่อง  ไกด์ผีรายที่สอง โฉบเข้ามาทันที  แกล้งถามโน่น  ถามนี่  ว่านั่นรู้ไหม  นี่รู้ไหม   ซึ่งป้าก็ตอบฉอดๆ  เพราะแกเล่นถามว่ารู้ไหม  พระเจ้าองค์นี้องค์นั้น ชื่ออะไร  ป้าตอบได้หมด  เพราะว่าการแยกเทพในศาสนาฮินดูนั้น   ขอให้ดูเครื่องประดับ  และ ของคู่มือ  ก็จะรู้ได้ว่าเป็นใคร  เช่น... ศอของพระศิวะ  ก็จะมีงูพันอยู่  นอกจากนั้นยังฉอดๆไปอีกได้ว่า งูมาจากไหน ?  ใครส่งมา?  ส่งมาทำไม?  ใครถือจักร? ถือตรีศูล?  ตรีศูลชื่ออะไร? (ดันรู้ไปถึงโน่น  ว่าชื่อ “ปินาค”)           พี่แขกไม่ยอมแพ้  ถามไปถึงเจ๊ๆที่นั่งเป็นแถวจากภาพ...คคห. 6       อันนี้ป้าอึ้งๆ  เพราะไม่รู้ว่ามาทำไม  แต่เมื่อมางานศพ... และไม่ได้เกี่ยวพันกับผู้ตาย  พุทธิปัญญาก็พวยพุ่ง  เจ๊เหล่านั้น ต้องเป็น...นางร้องไห้...แหงๆ       ป้าเลยยิ้มหวานจ๋อย  ถ้าผิดให้เตะ  เอ๊ย  รับเอ็งเป็นไกด์ก็ได้... “Crying women”  ใช่มะ       หุหุ  ไม่พลาด  พี่แขกบอกว่า “ยูเก่งมาก”  ก่อนจะเดินจากไป   ปล่อยให้ป้าเที่ยวตามสบาย... มุมศพ “คนจน” จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:08:58 ]

ความคิดเห็นที่ 10 มุมศพ “คนรวย”  บนศพจะมีดอกดาวเรืองเหลืองอร่ามคลุม มีผ้าปูอย่างดี จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:10:32 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ภาพโดยละเอียด (ใหญ่สุด  เพื่อเห็นง่าย)       นี่เป็นตอนที่ผู้ตาย  ถูกนำขึ้นเมรุแล้ว (จะเป็นส่วนแท่นที่ยื่น ออกมาใกล้กับศพจากภาพเมื่อครู่)  จะมีการถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ ทุกชิ้นทิ้งลงในแม่น้ำ   เสร็จแล้วจุดไฟเผาร่างจนมอดไหม้   จึงกวาดเถ้าให้ลอยน้ำไป         คนที่ยืนทางหัวผู้ตาย  นุ่งผ้าหันหลังให้  คือพี่สัปเหร่อ       บนซ้าย  จะเห็นผู้ชายสามคน  ไม่สวมเสื้อ  นุ่งโดธี (ผ้านุ่ง แบบแขก)  สีขาว  เป็นลูกของผู้ตาย       ที่เหลือ  ไม่ใส่รองเท้า  เป็นแขกในงานทั้งหมด       ภรรยาผู้ตาย  นุ่งขาวเหมือนกัน  ไม่อยู่ในภาพ  มีญาติฝ่ายหญิง อีกหลายคน  นุ่งผ้าขาวหมด [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:14:21 ]

ความคิดเห็นที่ 12 พิธีเริ่มอย่างเรียบๆ  ให้ทุกคนเข้ามาอำลาผู้ตาย  ด้วยการเข้าแถว   เดินลงไปที่แม่น้ำหน้าเมรุสด  เอาเท้ากวาดน้ำเล็กน้อย (เหมือนไล่แมลง ผิวน้ำ)  แล้วใช้สองมือกอบน้ำขึ้นมา  นำมารดที่ศพ  (เหมือนรดน้ำ ศพบ้านเรานะ  แต่ตักจากแม่น้ำ)  มีการควักแบงค์ออกมาให้เงิน ปากผีด้วย  ซึ่งเมื่อจะเผา  พี่สัปเหร่อก็เก็บตามประเพณี       จากนั้นก็จะให้ภรรยาผู้ตายมาอำลา  ซึ่งเธอร้องไห้ดังลั่น   ตามด้วยลูกชายทั้งสาม (ที่นุ่งโจงสีขาวนั่นแหละ)  คร่ำครวญความดี ต่างๆนาๆ (เดาเอา  ใครจะมาด่ากันว่าชั่ว  คนตายไปแล้ว) ร้องกัน จริงจังมาก  ลั่นโลก  ตามด้วยคณะ  “Crying women”  ซึ่งโศกเศร้า กันสุดลิ่มทิ่มประตูน่าได้ตุ๊กตาทอง       ไกด์ผู้ไม่ละความพยายามอีกราย  แถเข้ามาถาม  ว่าเข้าใจไหม   ไอ้ที่เอาน้ำมาราดๆกันน่ะ  ป้าเลยตอบฉอดๆ  โดยมีฝรั่งข้างๆ ฟังหูผึ่ง  เพราะมันพยักหน้าว่าเข้าใจทุกประโยคของป้า (เอาค่า อธิบายตูมา) “เป็นการชำระล้าง (ตอนนั้นนึกคำว่าอโหสิไม่ออก  จริงๆเขาน่า เข้าใจบาลีนะ)  ขออภัยในสิ่งที่ได้ทำแก่ผู้ตาย  และให้อภัย ในสิ่งที่ผู้ตายได้กระทำต่อตน”       ป้าชี้ไปที่แก๊งคร่ำครวญ “นั่นก็เหมือนบ้านไอ  มาเพื่อร่วมแสดงความโศกเศร้าในการ จากไปของผู้ตาย  มีในสมัยก่อน  แต่ตอนนี้ที่บ้านไอไม่มีแล้วนะ   เราปลงได้กับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้ว  ส่วนศพนั่นเมื่อไฟราแล้ว   ก็กวาดเถ้าลงแม่น้ำ  ที่บ้านไอจะห่อ  แล้วนำไปโปรยที่แม่น้ำ หรือทะเล  เพราะเราไม่ได้เผากันริมแม่น้ำอย่างยู  แต่นั่นก็เพื่อ ให้เถ้าถ่านของผู้ตายคืนสู่พื้นดิน...กลับสู่ธรรมชาติ” “เหมือนบ้านไอ...”       ป้าสรุป  ไกด์รายสุดท้ายพยักหน้ารับ  แล้วล่าถอยไปโดยดี   วันนี้ปราบไกด์ผีกระเด็นไปสามคน...แน่ะ  ไม่รู้จักฤทธิ์ (งก)แม่ซะแล้ว หลังเผาเสร็จ  ก็กวาดเถ้าลงน้ำ... จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:17:03 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มุมนักท่องเที่ยวนั่งดู  แดดร้อนสุดๆ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:17:57 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เวทีริงค์ไซด์  ใกล้โคตรๆ  จ่อหน้ากะแม่น้ำเลย   (ป้าก็นั่งตรงนี้แหละ  แหะ แหะ)       ต้องขอชมอีกอย่างว่า  พี่บังมัดตราสังข์ได้ดีมาก  เพราะจ้อง จนตาปลิ้น  ก็ไม่ยักกะมีแขนขา  ดีดผึงขึ้นมาให้สัปเหร่อต้อง โดดตัดเอ็นเหมือนเผาในป่าเฮ่ว (ป่าช้าทางเหนือ) บ้านเรา จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:20:42 ]

ความคิดเห็นที่ 15 จากนั้นก็ไต่ขึ้นบนเขาด้านหลัง         บนยอดเขา  จะมีเหล่ารูปปั้นพระศิวะ  และศิวลึงค์เป็นจำนวนมาก สมกับสร้างเพื่อพระองค์   ตามกันขึ้นมาเลย   ภาพจากมุมบนเขา จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:22:12 ]

ความคิดเห็นที่ 16 บนเขานี้เหมือนเขาทั่วไปในเนปาล  คือมีลิง  ป้าเพลิดเพลินถ่ายลิง   ยิ่งกว่าพระเจ้า  แหะ แหะ  อยู่มาหลายวัน  พระเจ้าเริ่มชินตาแล้ว... น้องลิงหลับ (ชั้นยังไม่ได้คุยกับแกเลย) จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:24:02 ]

ความคิดเห็นที่ 17 น้องลิงปรือ...หน้าตาเหมือนอีบือมากๆ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:26:34 ]

ความคิดเห็นที่ 18 น้องลิงกตัญญู  ตั้งใจหาเหาให้แม่สุดๆ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:27:41 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าเป็นวัดลิง ไปต่อกันดีกว่า  อิอิ       ทางขึ้นสู่ยอดปศุปฏินารถ  ทำคันคอนกรีตกั้นดินถล่มอย่างดี จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:28:43 ]

ความคิดเห็นที่ 20 และดีมากกกกกกกกกกกกกกก~   สำหรับพวกมือบอน...         จึงเห็นข้อความประเภท  “เอกรักติ๋ม”  เต็มไปหมด  แหม...   สงสัยมาเลียนแบบพี่ไทย  แต่ไม่ว่าไปที่ไหนก็มีเหมือนกัน   ทุกที่ทั่วโลก จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:30:07 ]

ความคิดเห็นที่ 21 หินแกะรูปพระศิวะ...  ว่ากันว่าสลักในศตวรรษที่  12         งงละสิคะ  ไม่มีหน้า  ไม่มีงูพันคอ  จะรู้ได้ยังไง  ให้ดูตรีศูล ที่ชื่อปินาค  และโคนนทิข้างๆค่ะ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:31:26 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เหล่าอาคารบนยอดเขา  เป็นสไตล์ยุโรปผสม  แต่ไม่มีคำอธิบาย แม้แต่นิดเดียว  แถมล็อคด้วย  แง่ง...แค้นว๊อย  250 รูปีนะ  มา อธิบายให้ชั้นฟังซะดีๆ  อยากรู้อ่ะ  เพราะเนปาลเหมือนไทยค่ะ   ไม่เคยเป็นอาณานิคม  การมีศิลปกรรมแบบนี้ย่อมแปลว่า  มีฝรั่ง เข้ามาค้าขายหรืออื่นๆ  ซึ่งก็ไม่ค่อยปรากฏบทบาทจนเห็นชัด ในประวัติศาสตร์มากนัก จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:33:34 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มีหลายจุด  ยิ่งดูยิ่งคับข้อง  หรือจะลงไปตามไกด์ดีวะ        ป้าเลยหันมามองวิหารย่อยๆนี่ดีกว่า  ข้างในมีตัวแทนองค์ พระศิวะ  เป็นศิวลึงค์บนโยนีฐานตามเคย จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:35:19 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ทำไมจึงต้องเป็นโยนีฐาน...         เพราะโยนีคือเพศหญิงหมายถึง  พระนางปราวตี(หรือพระอุมา)   มเหสีของพระศิวะ  โปรดดูจากภาพ  เมื่อผู้สักการะ  สรงน้ำนมบริสุทธิ์ ลงบนยอดศิวลึงค์  น้ำนั้นก็จะไหลออกทางปลายแหลม  หยดลง สู่ท่องโสมสูตร (ร่องโดยรอบ)  แล้วไหลออกไปยังท่อภายนอก   เพื่อให้ประชาชนไปใช้ในการสักการะ         แสดงถึงการประปาย่อยๆ  ของคนโบราณ  เพื่อสะดวก ต่อการชำระทำความสะอาดด้วย จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:38:07 ]

ความคิดเห็นที่ 25 นั่นย่อมเท่ากับได้สักการะเทพถึงสององค์พร้อมกัน เป็นเทพคู่ด้วย... ปลายท่อโสมสูตร  มักทำช่องออกสวยงาม... จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:41:14 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ที่กล่าวมา  เป็นหลักสถาปัตย์เบื้องต้นของลัทธิไสวนิกาย         ในเมืองไทยจะพบเห็นได้  บริเวณปราสาทหินพิมาย  พนมรุ้ง   เมืองต่ำ  เป็นต้น  โดยเฉพาะที่ปราสาทตาเมือนโต๊ด  จะเห็นชัดที่สุด แต่ในเมืองไทย  จะเป็นรูปแบบของกษัตริย์  ระยะห่างจากองค์รูป เคารพมาสู่ปลายท่อโสมสูตรจะห่างกัน  และซับซ้อนยิ่งขึ้น   เพราะในบริเวณวิหาร  คนธรรมดามิมีสิทธิเข้าไปได้ ประตูสลักเป็น  หน้ากาล(ยังค้นชื่อไม่เจอ)  คชสีห์  และนาคเทวี   ที่ล้อมรอบวิหาร จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:44:54 ]

ความคิดเห็นที่ 27 บริเวณโดยรอบ  ยังมีวิหารทำนองนี้อีกร่วมร้อยหลัง  ตามถ่ายภาพ ไม่หมด  บ้างก็เป็นศิวลึงค์บนโยนีฐานตั้งอยู่กลางแจ้ง  บ้างมีตรีศูล ประดับ  บ้างมีนาคพันล้อมรอบ  งดงามเหลือบรรยาย  ป้าค่อยๆ ไต่ลงมาแล้วค่ะ  เดินเลาะรอบเขาไม่ไหว  คนน้อยด้วย  ชัก เหวอๆ  แหะ แหะ       ลงมาก็พบขอทานเป็นโรคเรื้อน  ยิ้มกริ่มเชียว  พอได้สิบรูปี จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:46:28 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ทางเดินลง  สวยสงบดี เป็นอีกมุม  ของภาพ คคห. ที่  15  ค่ะ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:47:44 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อากาศโดยรอบปศุปฏินารถนี้เศร้าสร้อย  ควันลอยอบอวลในอากาศ   เป็นควันจากการมอดไหม้ร่างกายของผู้เป็นที่รัก  หากทำให้ผู้คน ได้เรียนรู้สัจจธรรมแห่งการ เกิด แก่ เจ็บและตาย  ได้อย่างชัดแจ้ง   ชาวฮินดูส่วนใหญ่ในกาฎมัณฑุ  ไม่ว่าสูงส่งเพียงใด  สิ้นสุดที่นี่ ทุกคน...       ในปี 2544  เดือนมิถุนายน  เกิดโศกนาฏกรรมกับราชวงศ์เนปาล   ซึ่งเชื้อพระวงศ์ที่สิ้นพระชนม์ทั้งหมดตอนนั้น  ได้รับการฌาปนที่นี่   รวมไปถึงกษัตริย์ตรีภูวัน  และอีกหลายๆพระองค์ในราชวงศ์นี้ด้วย       ทุกผู้ทุกนาม  เมื่อเหลือเพียงเถ้า  จึงได้ก้าวลงสู่บักวาตี ไม่มีเว้น... จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:50:28 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ป้าเดินออกจากปศุปฏินารถด้วยความอิ่ม  เพราะรู้จักปลง และยอมรับ   จึงชื่นชมกับสถาปัตยกรรม (และเหล่าลิงๆ) อย่างมีความสุข   เดินโต๋เต๋ชมรอบๆ         ยอดวิหารรอบปศุปฏินารถ  ดูดีๆ  จะเป็นงูพัน  และมีตรีศูล ประดับ  เห็นได้ชัดว่าบูชาผู้ใด จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:52:09 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ดูอันนี้ดีกว่า  ชัดแจ๋ว  อย่าไปสนไอ้ตูดลิงใกล้ๆ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:53:52 ]

ความคิดเห็นที่ 32 รอบๆกำลังมีงานเหมือนงานวัดบ้านเรา  แต่แปลกไม่มีใครเชื้อเชิญ ให้เข้า  ป้ากะลังดูอย่างสนใจ  กะว่าถ้าพี่หรั่งคณะที่ยืนอยู่นั่น เข้าละก็  ชั้นจะมั่วนิ่มกะแกทันที  พี่หรั่งแกก็ดันถอย  เพราะ ฝนเริ่มลง วันนี้เลยผิดปณิธานยาจกจอมอึด  ไม่ได้เดินกลับ... ไม่มีภาพขากลับมาให้ชมกัน  แหะ แหะ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:55:37 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขอจบวันเยือนปศุปฏินารถด้วยแม่ลูกจากยอดประตูวัดข้างในคู่นี้ค่ะ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 8 ต.ค. 48 23:56:49 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คนฮินดูในกาฎมัณฑุนี่เยอะมากไหมครับ ปกติงานเผางานนึงกินเวลานานมากไหมครับ แล้วถ้าตายพร้อมกันเยอะ ๆ ไม่ต้องแย่งกันเผาเหรอครับ เห็นป้าบอกว่านิยมมาเผาวัดนี้กัน วันนี้ป้าพาไปเที่ยวงานศพซะปลงเลย จากคุณ : Alvo (Alvo) - [ 9 ต.ค. 48 00:19:32 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ส่วนใหญ่เป็นฮินดูค่ะ  มีมุสลิมอยู่บ้าง งานเผานึง  จนมอด  ราวๆ 3 ชั่วโมง  เพราะเค้าเข้าคิวรดน้ำ แล้วสุมเลย  ที่คร่ำครวญก็ว่ากันต่อไป ดูจากภาพที่  29  นะคะ  จะเห็นแท่นเผา  เรียงรายสองฝั่งแม่น้ำ นับดูคร่าวๆ  ราวๆ  30  แท่นค่ะ (ฝั่งคนจน) ฝั่งคนรวยก็มีไม่น้อย   ศพที่ยังไม่ได้เผา  ก็มีผ้าเหลืองห่อ  นอนรอไปก่อน  ดูคนที่นี่ (ลักษณะคนฮินดูโดยรวม)  จะไม่ค่อยแก่งแย่งเท่าไหร่  และคาดว่าคงมีเมรุที่อื่นด้วย  แต่เราไม่ทราบเท่านั้น อาจจะเผาแล้วห่อเถ้ามาโปรยแบบบ้านเราก็ได้  ที่นี่นิยมเพราะ อยู่ริมน้ำบักวาตี  ที่ไหลไปสู่คงคานั่นละค่ะ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 00:36:51 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เปิดมาเจอรูปแรก ท้องร้องเลยอ่ะค่ะ กะลังหิวมากกกกก อ่านต่อไป เจอรูปพิธีศพ เอ่อ...ไม่หิวแล้วดีกว่า จากคุณ : W i n t e r b e r r y - [ 9 ต.ค. 48 09:03:18 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ตามมาเม้นต์จากกระทู้ที่แล้วด้วย มีเรื่องสงสัยจากกระทู้ที่แล้วดังนี้ค่า สายที่ห้อยระโยงระยางตรงยอดเจดีย์คืออะไรคะ ในพิพิธภัณฑ์ (กระทู้ที่สอง ปาทัน) ถ่ายรูปข้างในได้ด้วยเหรอคะ แบบว่าปกติที่เมืองไทยเขาห้ามถ่ายรูปอ่ะ ที่ญี่ปุ่นก็ห้ามนะ กระทู้นี้ลิงน่ารักสุดๆ เลยป้า แบบว่าหลับได้อารมณ์สุขสงบมากๆ ฮาลิงกตัญญูของป้าด้วยล่ะ ป้าตอนเผาศพน่ะค่ะ มีภาพไฟลุกท่วมมั้ยคะ อยากเห็น เรื่องฝากรอยนี่ ขนาดญี่ปุ่นยังมีเลยน้า เรื่องธรรมดาที่ไม่น่าเอาเยี่ยงอย่างจริงๆ ถามอีกข้อ (ถามมาหลายข้อแล้ว ^^'') ถ้าเกินอยากไปเองคนเดียว (แบบป้า) ปลอดภัยมั้ยคะ ถ้าทำตัวดีๆ ไม่ไปในที่เขาห้ามไปอ่ะคะ แบบว่าถนัดเที่ยวคนเดียวเหมือนกัน อยู่นี่ก็เที่ยวคนเดียว แต่กลัวว่าที่บ้านจะห้ามนี่อ่ะสิ ^^'' มารออ่านทัวร์วันต่อไป เด็กทะเล ^^ แก้ไขเมื่อ 09 ต.ค. 48 14:52:32 จากคุณ : ลิปิการ์ - [ 9 ต.ค. 48 14:51:07 ]

ความคิดเห็นที่ 38 กระดื้บๆ ตามมาอ่านเช่นเดิมค้า ชอบตอนที่ป้าไปรบกะไกด์ผีอ่ะค่ะ มันส์ ดีเท่าไรลิงไม่ลงมาแย้งกล้องป้าไป ลูกหลานแถวนี้จะอดดูรูปจากนปาล จากคุณ : i_tua_yung - [ 9 ต.ค. 48 16:28:39 ]

ความคิดเห็นที่ 39 * * * W i n t e r b e r r y เอ...เหมือนจะมีภาพชวนอ้วกกว่านี้อีกค่ะ  เช่นอึม้า  อึตัวยัค  อิอิ * * * ลิปิการ์ -  สายที่ห้อยระโยงระยางคือ ธงบูชาธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ   ในผืนผ้าจะมีการลงอักขระไว้ ซึ่งเชื่อกันว่าเมื่อลมพัด 1 ครั้ง เท่ากับเราได้สวดมนต์ 1 จบ (ดุจหมุน 1 รอบ กงล้อ) และมนต์ที่สวดนั้นสุดยอดของ 84,000 พระธรรมขรรค์   ถ้าไปดูใกล้ๆจะพบอักขระเต็มไปหมดค่ะ (ไม่น่าครบ  แปดหมื่น กว่าๆนะ  ฮี่ฮี่  มีจับผิด) ถ้าเราจะทำบุญด้วยการซื้อธงมาประดับ  ก็ได้บุญเช่นกัน -  บางที่เก็บค่ากล้องค่ะ  เดี๋ยวนี้พิพิธภัณฑ์หลายที่  ให้นำ กล้องเข้า  แต่เก็บต่างหากครึ่งนึง  หรือเท่ากับค่าเข้าเลย แต่ที่ปักตาปูร์  กับหนุมานโดกามิวเซียม  ซึ่งมีของใช้ ของกษัตริย์ไม่ให้ค่ะ มีพิพิธฯอีกสองที่  ที่โภคารา  อันนึงเก็บตัง  อีกอันให้เอา เข้าได้ค่ะ อยากไปญี่ปุ่นมากๆ  ก็เพราะพิพิธภัณฑ์นี่แหละ  มีทุกที่ โอย  อยากกรี๊ดดดดด  กำลังจัดแปลนไว้ -  ถ้าดูตาน้องลิง  จะพบว่า  น้องลิงตั้งใจม๊ากกกกก~ค่ะ -  ตอนเค้าลงไฟกันแล้ว  ป้าไม่ได้ถ่ายอ่ะค่ะ  เพราะตอนเริ่ม ควันเยอะมาก  เหม็นด้วย (พี่แกเล่นเอาเบนซินราดนำอ่ะ) -  เนปาลนี่  ถ้าไปคนเดียว...แฮ่  ปลอดภัยค่ะ  แต่จะเจอ แขกสมัครเป็นไกด์ตลอดทาง  ไปตามไสตล์ป้าอ่ะ  สบายค่ะ ป้าไปคนเดียวนี่ไง  ยังไหว  อิอิ ที่บ้านไม่กล้าห้ามค่ะ โฮ่ โฮ่... * * * i_tua_yung ไกด์นี่  รบกันตลอดทาง  มีไล่ด่าไปคนนึงที่ปักตาปูร์ กล้องมันอยู่คาคอป้าอ่ะ  แต่ฝาดิ  ป้าปลดแล้ววาง หลังจากเจอน้องลิงฉกกล่องน้ำส้มแล้วแล้ว  ใส่เป๋าตลอด  แหะ แหะ วันนี้จะไปกาฎมัณฑุมิวเซียมค่า.....ไม่เปิด  ป้าจะกินหมูย่าง ให้ท้องแตกตายประชดหน้าพิพิธภัณฑ์  อิอิ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 17:05:41 ]

ความคิดเห็นที่ 40 วันที่เก้า  26  ตุลาคม  (วันอังคาร)       กาฑมัณฑุมิวเซียม...ซะที       ก่อนอื่นต้องเล่าสภาพห้องน้ำรวมในตึกเก่าเสียหน่อย   เพราะเมื่อวานกลับมา  ป้าได้ย้ายไปนอนตึกเก่าของ EC H   ราคา  8  ดอลลาร์ต่อคืน  (มีคนต่อได้ที่ 6 ดอลลาร์)         สภาพห้องปกติค่ะ  แคบนิด  แต่สะอาด  ไม่มีเก้าอี้ให้วางของ   ก็ไม่ว่า  กลิ่นอับไปนิด (เพราะหน้าต่างติดถนนด้านหน้า  เลย ไม่ค่อยเปิด)  ก็โอเค  ที่นอนสะอาดเป็นพอ  เตียงว่างอีกเตียงป้า ใช้วางของอยู่แล้ว      ที่แทบตายคือ...ห้องน้ำ....      ใส่รองเท้าแตะเข้าไปอาบตามประเพณี  สกปรกพอใช้   ท่อน้ำเต็มไปด้วยผม  ต้องเอารองเท้าเขี่ยๆให้น้ำไหลได้  ที่เลวร้าย มากคือ “ส้วม “ เพราะมันเป็นแบบ...คอห่าน       เพราะเหล่าฝรั่งแบ็คแพ็คคงไม่รู้วิธีใช้ส้วมคอห่าน  คือต้องราด ให้เปียกก่อนลงทำธุระ  ไม่ใช่ราดแต่แค่ทีหลังก็พอ  เพราะถึงแม้ หลักๆจะลงไป  แต่กากๆจะยังค้างคา  และแห้งกรังอย่างรวดเร็ว   ในอากาศแห้งๆของเนปาล  แถมด้วยกลิ่นอันฟุ้งน่าสยอง...       พระเจ้าช่วยกล้วยเนปาล  ทำไมมันสกปรกงี้วะ        อยากจะอ้วก  ถ้าเป็นชักโครกคงพอเอาฝาลงปิดได้  แต่นี่ เป็นคอห่าน  กลั้นใจเอาน้ำราดไปสี่ห้าหนก็ไม่เป็นผล  คราบจาก ผู้มาก่อนแห้งกรังเป็นรอยน่าเกลียดน่า...  โอววววววว~   ไม่อาวววววววว~        ป้ามีข้อเสียตรงไม่อาจทนความสกปรกได้  ไปทุรกันดาร ปานใด  ลำบากเท่าใดไม่หวั่น  ห้องน้ำแบบขุดเองในป่าท่ามกลาง ฝูงทาก  ยังนั่งสบายใจกว่าส้วมแบบนี้  ดังนั้นไม่ต้องพรรณนา   ว่าการอาบน้ำวันนั้นมันทรมานขนาดไหน...ฮือ      ถ้าทนไม่ได้แบบป้า...  อย่าเอาห้องน้ำรวม จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 21:47:28 ]

ความคิดเห็นที่ 41 พอลงมาปุ๊บเจออานิพอดี “จะไปปักตาปูร์พรุ่งนี้  ค้างสองคืน  แล้วไปนาคราก๊อตละ  แต่ถ้า มิวเซียมเปิด  ไอก็ค้างอีกคืนแล้วค่อยไปวันรุ่งขึ้น  จะต้องย้าย ห้องไหม”      อานิส่ายหัวมองแบบเป็นห่วง  ตอนเช้าๆ  คนเดินทางอื่นๆ มักสนใจนักท่องเที่ยวที่มาเดี่ยวๆ  บ้างก็แถมาคุยเพราะเห็นใครไป ใครมาก็แวะโต๊ะนี้  เจ้านี่ก็จะมานั่งกันๆให้  บางวันก็ชวนกินขนมปัง ด้วยกัน  (วันหลังป้าขี้เกียจทำแซนวิชแล้ว)   “เดี๋ยวเจ๊ย้ายห้องได้เลย  เตรียมไว้แล้ว”   (เย๊  ชั้นจะไปเข้าส้วม)    วันนี้ป้าเลยสายไปนิด  ย้ายห้องไปย้ายห้องมา  ยาจกจอมอึด เลยนั่งแท็กซี่ไปพิพิธภัณฑ์  ร้องไชโยฮิ๊ววววววว  ในรถเสียงลั่น เพราะ...ประตูเปิดดดดดดด   (ไม่งั้นแม่จะประท้วงมันข้างหน้าเลย)       บุกกาฎมัณฑุมิวเซียมกันเลยค่า...       พิพิธภัณฑ์จ๋าป้ามาแว้ววววววว~       เข้าไปก็จ่าย  100  รูปีเป็นค่าตั๋ว  และ 50 รูปีเป็นค่าเอากล้องเข้า   ไปไหนๆก็มีการเก็บค่ากล้อง  แต่ที่ปาทันเหมือนไม่มี  หรือมีก็ไม่รู้   เพราะป้าดันเอากล้องไว้ในกระเป๋าคาดเอว...       ลุยเลย  อาคารแรก  ศิลปะประติมากรรมยุคต่างๆ  ของกาฑมัณฑุ   ทางขวามือ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 21:52:10 ]

ความคิดเห็นที่ 42 แต่ม่ายช่ายยยย~         เป้าวันนี้ของป้าคือนี่จ้า  อาคารหลังกลาง  โปรดสังเกต ที่มุมขวา  จะเป็นป้ายเขียนว่า   “BUDDHIST  ART  GALLERY -  NATIONAL  MUSEUM”       ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์พุทธศิลปะ  โดยความร่วมมือของรัฐบาลญี่ปุ่น และเนปาล  เจ้าชายอากิชิโนเสด็จเปิดที่นี่  เมื่อปี ค.ศ. 1997 จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 21:53:29 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เข้าห้องแรกก็เป็นรูปพระธิเบต  ตั้งมุมห้อง สวยแปลก   ถ่ายก่อน   น้ำจิ้มค่ะ  น้ำจิ้ม... จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 21:54:46 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ตามด้วยเครื่องประกอบตามศาสนาสถาน  พวกเชิงเทียน  ตะครัน   ถาด  บาตร  ถ้วยโถโอชาม  คนโทน้ำ  ตะเกียง  ทองเหลืองบ้าง   สัมฤทธิ์บ้าง  ตามยุค  อันนี้พื้นๆ  เหมือนของสไตล์แขกที่เห็น ตามหนังอินเดียบ้านเรา  คือนิยมทรงหัวหอม  จับกลีบ       ถัดมาเป็นกลุ่มโบราณสถาน  ที่ประสูติพระพุทธองค์  อันนี้ ดูแค่เป็นน้ำจิ้ม  เพราะป้าจะบุกลุมพินีหลังจากเทรคกิ้งแล้ว   ของจริงย่อมดีกว่าเป็นไหน  แต่อ่านเป็นไกด์ไลน์ไปด้วยพลางๆ ของในตู้ถัดไป  เริ่มเป็นพุทธศิล...สวยค่ะ   ปางสมาธิ  (ในป้ายที่นี่เรียก ศากยมุนี)   (หมายถึงพระพุทธเจ้า  เป็นนามเพื่อยกย่องเผ่าพันธุ์ของ พระองค์) จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 21:59:44 ]

ความคิดเห็นที่ 45 บางองค์เริ่มมีเครื่องประดับ  ที่นี่เรียก   "Dipankara  budda" (ใครรู้ช่วยมาชี้แนะด้วย) จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 22:02:30 ]

ความคิดเห็นที่ 46 แล้วก็มาถึง  ตู้ที่ทำให้ป้าต้องดั้นด้นมาที่นี่   "Buddhas in late  tantrigism"         ที่มาถึงนี่  ก็เพราะเคยมีข่าวว่า  พบพระพุทธรูปประเภทนี้   ตั้งแสดงที่  “เอเชีย อีรอส มิวเซียม”  ที่เกาหลี  (เป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงผลงานด้านกามาวิจิตรกว่า 200 ชิ้น)  และที่บุดดามิวเซียม   เนปาล   ชิ้นที่เป็นปัญหาคือ พระพุทธรูปปางสมาธิ มีสตรีเปลือยกาย นั่งคร่อมอยู่ที่ส่วนเอวของพระพุทธเจ้า ชาวพุทธเลยกรี๊ดกันมาก         จริงหรือที่โลกนี้จะมี พระปางเสพสม หรือ ปางร่วมประเวณี !!! จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 22:04:14 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ได้พบจริงค่ะ...  T_T         ขอทำภาพใหญ่นะคะ  เพราะป้าดูแล้วไม่อยากรับว่าเป็นพุทธนิกายเล๊ย   ใครอยากดูชัด  ขยายเอาละกัน [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 22:09:38 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ขอเท้าความนิดหน่อย  ว่าพุทธศิลปะที่คุณได้พบในตู้นี้  มิใช่ พุทธนิกายมหายาน  หรือหินยานที่เรานับถือกัน  หากเป็น   “วัชระยาน” ค่ะ  จำได้ไหมคะ  ที่ป้าได้พูดถึง  ในวันที่ไปสวยัมภูวนารถ ว่าพบพุทธศิลปะวัชรยานนิกาย  จะมีองค์พระโพธิสัตว์มีชายา หรือคู่ครองเช่นกัน เรียกกันว่า ตารา หรือ ทาระ นั่งข้าง  เป็นการ ปนพุทธกันในแบบฮินดู  คือเน้นในการให้ความสำคัญกับเทพ ฝ่ายสตรีด้วย...   ที่นี่ก็เช่นกัน       หากวันนี้นั่งไม่น่าดูเอาเสียเลย...       จุดควรสังเกตคือ  สิ่งที่ถืออยู่ในมือขวาของสตรี คือ  “วัชระ”   สัญลักษณ์ของศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน สายวัชรยานตันตระ ซึ่งแพร่หลายในทิเบต แล้วส่งอิทธิพลมาถึงเนปาลตั้งแต่เมื่อราว พันปีก่อน แนวคิดแบบ ตันตระ กำเนิดขึ้นในศาสนาฮินดูก่อน โดยเน้นให้ความสำคัญกับเทพเจ้าฝ่ายหญิง หรือ เทพสตรี ซึ่งเป็น ชายาของเทพเจ้าฝ่ายชาย เช่น พระอุมาเทวีเป็นชายาของพระศิวะ นั่นเอง       ดูที่ข้างพระกรรณซ้ายของพระโพธิสัตว์  จะเห็นวชิระในมือตาราค่ะ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 22:12:03 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ครั้นเมื่อฝ่ายพุทธรับเอาลัทธิตันตระมาด้วย ก็อธิบายว่าพระพุทธเจ้า เป็นเสมือน (ซึ่งของเรา  องค์พระสัมมาสัมพุธเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว) พระโพธิสัตว์ (ผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า) ก็มีชายาหรือ คู่ครองเช่นกัน เรียกกันว่า ตารา หรือ ทาระ เช่น นางปรัชญาปรมิตา เป็น ตารา ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร  (องค์ที่ผุดขึ้นเหนือ เกษียรสมุทร  เห็นครึ่งองค์  เป็นศิลปะแบบลังกาในไทย)       โดย ตารา (หญิง) เป็นสัญลักษณ์ของ ปัญญา ส่วนพระโพธิสัตว์ (ชาย) เป็นสัญลักษณ์ของ กรุณา บุคคลใดมีสองสิ่งนี้รวมกันก็ จะนำไปสู่การตรัสรู้ ดังนั้น พระพุทธรูปที่มีหญิงกระทำเช่นภาพ จึงถือเป็นปฏิมาประธานของพระสงฆ์ฝ่ายวัชรยานตันตระ แสดง การสนธิกันระหว่างปัญญาและกรุณา       โอพระเจ้า...อย่างนี้นี่เอง  แต่รับไม่ได้อ่ะ  ไม่ใช้ชื่อเดียวกัน ได้ไหม    T_T   หรือทำเป็นตาราเดี่ยวๆแบบทิเตที่ดูมีน้ำมีนวล  จะดีเสียกว่า จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 22:15:22 ]

ความคิดเห็นที่ 50 อย่างไรก็ตาม...         พุทธแบบวัชรยานตันตระก็ถูกโจมตีจากพุทธฝ่ายอื่นๆ ว่า เป็นต้นเหตุแห่งความเสื่อมของศาสนาพุทธ เพราะเมื่อแนวคิดตันตระ แพร่หลายไป การตีความก็เลยเถิดไปถึงขั้นว่าพระสามารถมี เพศสัมพันธ์กับสตรีได้ ด้วยถือว่าการเสพประเวณีเป็น อุบาย ทำให้เกิด ปัญญา(ตรงไหน)  และจะยิ่งดี หากมีความสัมพันธ์ไปทั่ว เพราะ ความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียว ถือเป็นการ ยึดติด (ไปกันใหญ่แล้ว)       กิจกรรมทางศาสนาของพระสายวัชรยานตันตระ  เรียกกันว่า "มะการห้า"  หรือ ปัญจมการ คือ ม.มัทยะ (ดื่มเหล้า), ม.มังสะ (กินเนื้อสัตว์), ม.มัตสยะ (กินเนื้อปลา), ม.มุทรา (เคล้านารี) และ ม.เมถุน (เสพประเวณี)       อยากจะกรี๊ดดดด~  ประพฤติตนเยี่ยงนี้  เหมือนถือบวช ตรงไหน...  –“--         แถมอีกภาพ  เทพยุคนั้นในอีกรูป  เหยียบมนุษย์จึงเป็นการสอนว่า เหนือสังขาร...       ซึ่งพุทธแท้  แก่นมิได้สอนว่าอยู่เหนือสังขาร  เพราะพุทธองค์ ยังเสด็จปรินิพพานเลย... จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 22:18:07 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช   จึงพิเคราะห์ไว้ในหนังสือ "ลัทธิและนิกาย"  ว่า “ลัทธิวัชรยานตันตระ คือ การไปสู่อวกาศโดยไม่สวมชุดอวกาศ ซึ่งในที่สุดลัทธินี้ก็ดับสูญไป โดยฉุดรั้งให้พุทธศาสนาเสื่อมโทรม จนแทบสูญสิ้นในอินเดีย ”       เสื่อมสูญไปเมื่อปลายศตวรรษ 19 นั่นเอง  และประชาชน ชาวชมพูทวีปส่วนใหญ่  ไหลไปนับถือฮินดูกันกว่าร้อยละ 80 !!! ดูนี่ดีกว่า   “Saliputra”   เดาออกไหมคะ  อัครสาวก “พระสาลีบุตร” ไงคะ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 22:22:20 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ในความเป็นจริงวัชรยานตันตระ (ที่นับถือ มะการ ๕) นั้นเสื่อมไป นานแล้ว เหลือแต่วัชรยานแท้ๆ ที่ยังดำรงอยู่  และถือเป็นศาสนา ที่สองของชาวเนปาล  อันประสมกลมกลืนกับศาสนาหลักคือฮินดู อย่างแยกกันไม่ออก  ชาวฮินดูก็ถือว่าพระพุทธเจ้าและโพธิสัตว์ คือ อวตาร (การแบ่งภาคมาเกิด) ของเทพเจ้า ในขณะที่ชาวพุทธวัชรยาน ก็ถือว่าเทพเจ้าฮินดูทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น พระศิวะ พระนารายณ์ ฯลฯ ก็คือ พระโพธิสัตว์ ดังนั้น ชาวพุทธเนปาลก็สักการบูชาเทพเจ้าฮินดู   ขณะที่ชาวฮินดูเนปาลก็กราบไหว้ปูชนียสถานของชาวพุทธ       สถิติของทางการเนปาลที่ว่า 90% ของพลเมืองเนปาล นับถือฮินดู และมีเพียง 8% ที่นับถือพุทธ จึงเป็นเพียงตัวเลข เพราะการจำแนกพุทธออกจากฮินดู ไม่ง่ายเหมือนจำแนกพุทธ คริสต์ อิสลาม  เพราะถ้าจะดูจากรูปเคารพแล้ว เราแทบแยกกัน ไม่ออก   คนไทยเราในเมืองไทยหลายราย  ก็ไม่รังเกียจที่จะไหว้ พระเจ้าในศาสนาฮินดู  ด้วยเป็นเทพแห่งศาสตร์ต่างๆ       เอาวัชระยานมาให้ดูอีกภาพ...อันนี้ถ่ายแล้วสะท้อน สะท้อนทั้งภาพ  สะท้อนทั้งใจ... จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 22:24:58 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ความกลมกลืนระหว่างฮินดูกับพุทธวัชระยานในเนปาล แนบแน่น ถึงขั้นปรากฏเป็นประติมากรรมศิวลึงค์ที่มีพระพุทธรูปประดับ อยู่ทั้ง 4 ด้าน เรียกว่า จตุรพุทธลึงค์ อันชวนให้ตื่นตะลึง  และรับ ไม่ได้ในหมู่ชาวพุทธ (เพราะเรานับถือพระพุทธเจ้าเป็นองค์สูงสุด) /\ /\ อันนี้ไม่ทราบว่าอยู่ไหน  ไม่งั้นจะแถกไปดูให้ได้       แต่หากจะจำแนกพุทธสถานกับฮินดูสถานในเนปาล ก็มีจุด สังเกตอย่างหนึ่ง คือพุทธสถานสายวัชรยาน มักจะมี “วัชระ” ประดิษฐานไว้ด้านหน้า ซึ่งมีรูปร่างคล้ายคทา ตรงปลายแตกออก เป็นห้าแขนงโค้งเข้าชนกัน (ตรีศูลมีสามแฉก+ แบนนะ  อย่าปนกัน)   และมักอยู่คู่กับ ระฆัง โดยถือว่า วัชระ เป็นเพศชาย หรือกรุณา ส่วน ระฆัง เป็นเพศหญิง หรือ ปัญญา สองสิ่งนี้ได้กลายมาเป็น เครื่องมือประกอบพิธีกรรมของพระสายวัชรยาน ที่มักจะสั่นกระดิ่ง ที่มีปลายอีกด้านหนึ่งเป็นวัชระ หรือหากจะถือว่ากระดิ่งนั้นคืออุบาย ที่ทำให้เกิดวัชระคือปัญญา ก็คงไม่ผิดนัก  (ซึ่งคือลักษณะของ วชิระคทา  สัญลักษณ์ของโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยนั่นเอง) บทความบางส่วน  คัดลอกมาจาก เวบ http://www.thaiday.com ค่ะ กินรีเนปาล ผอมผ่าย...เชียว จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 22:30:31 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ในโลกนี้ไม่ได้มีเพียงเนปาล  และเกาหลีเท่านั้นนะคะ  พระพุทธรูป เหล่านี้ซึ่งถือเป็นหลักฐานการเผยแผ่ทางประวัติศาสตร์ของพุทธ แบบวัชรยานตันตระ  ยังมีอีกที่ซุ้มประตูพระธาตุอิงฮังในลาว (ป้าจึงไปลาวไงล่ะ  ปีนี้  อิอิ)  และอีกหลายแห่งในไทย (ตรงไหนละเนี่ย  T_T)   ซึ่งสะท้อนว่าลัทธิตันตระยามรุ่งเรืองนั้น เคยแพร่มาไกลถึง  บ้านเมืองเรา       มิใช่แค่บรรดาพิพิธภัณฑ์ทั้งหลายในเนปาล  จะมีพระปางนี้ เป็นตู้ๆ  หากแต่รอบๆ องค์เจดีย์พุทธนาถ ซึ่งในโบราณถือว่าเป็น ศูนย์กลางการเรียนรู้พุทธศาสนาสายวัชรยานในเนปาล  ก็ยังมีภาพ พระโพธิสัตว์ที่มีตาราประทับเคียงคู่อยู่เต็มไปหมด (รอบฐานเจดีย์   ที่ป้าถ่ายมานั่นแล)         จบการศึกษาเรื่องวัชระยานตันตระแต่เพียงเท่านี้...แฮ่กๆๆๆ       ปล่อยภาพตบท้าย  “Mahisasamvara”  ปลายของปลาย สุดวัชรยาน  ศตวรรษที่ 18-19  ซึ่งอันนี้รับได้  เพราะเศียรของเทพ ฝ่ายชาย  มิใช่มนุษย์แล้ว  อันที่จริงหากสังเกต  เศียรของพระ โพธิสัตว์อวโลกิเตศวร  แต่ละภาพ  ก็มีถึง 3 หน้าอย่างต่ำ (ไม่เห็นด้านหลัง)   เทพีในวงแขนก็เป็นตาราดังเดิม  เหนือสังขารด้วยการเหยียบมนุษย์ อีก...(เอาเข้าไป)       ปลงๆซะ  ว่าจริงแท้แล้วหาใช่พระพุทธองค์ของเราไม่ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 22:32:50 ]

ความคิดเห็นที่ 55 มาชมที่เป็นพุทธองค์กันดีกว่า...  วัชรยานปล่อยวางซะ...       พระพุทธเจ้าในตู้ที่นี่  ถ้าคนพุทธไทยมาเยือน  จะรู้สึก ว่าปนๆกันค่ะ  เพราะพระพุทธเจ้าของเขา  มิได้มีหนึ่งเดียว   เทพทั้งหลายก็รวมเรียกเป็นพระพุทธเจ้าหมด  ทำให้ป้าเถียงกะ คนดูพิพิธภัณฑ์คอเป็นเอ็น  (เพราะแกสงสัยมากว่า  อีบ้านี่ทำอะไร นานเป็นชั่วโมง  แถมดูไปบ่นไป)  จนต้องเข้ามาดูใกล้ๆ  ชวนคุย   (กลัวโขมยของแหง  หน้าป้าเริ่มส่อแวว...อิอิ)   “เพราะยูจัดของปนกันน่ะสิ” “ปนกันยังไง”   “ยูเอาพระพุทธเจ้า  รูปปั้นแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  มาปน กับพระพุทธเจ้าในศตวรรษที่ 17  โดยการเรียกรวมกัน  แต่แยก ยุคเท่านั้น” แขกยิ้ม  คงนึกในใจประมาณ...หนอย  นังนี่... “แล้วแตกต่างกันตรงไหน” “ไม่ใช่พระพุทธเจ้าของไอ  เพราะพระพุทธองค์มิสะสม  ดูสิ   ของยูถือนู่นนี่  เต็มไปหมด  สตรีก็มี” แขกพยักหน้าหงึกๆ   “พระพุทธเจ้าที่แท้จริง  แม้ถาดทองของนางสุชาดา  มาถวายข้าว มธุปายาสยังลอยทิ้งเลย...นี่อะไร  มีทั้งเครื่องประดับ  (ลืมพระ ทรงเครื่องยุคอู่ทองไปสนิท  แหะ แหะ)  บลาๆๆๆๆๆๆ”   แต่จริงๆจะว่าเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้  คือจัดรวมยุคค่ะ  แต่พุทธศิลป ต่างกันสุดเหวี่ยง       ดูบางปาง  ที่แน่ใจว่าเป็นพระพุทธเจ้า (ของเรา)  เพราะมี พระอัครสาวก  มิมีเครื่องประดับ  ไม่มีอาวุธ  เป็นมนุษย์ธรรมดา  เบื้องหลังเป็นพฤกษา  เบื้องหน้าไม่ย่ำใคร  ไม่เหนือใคร... (แน่...มีกิเลศไล่กัดลัทธิอื่น  อิอิ) จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 22:41:00 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ยายแก่บ้าเลือด  ยังกัดต่อ (ออกแนวล้างแค้นเจ้าหน้าที่  ให้ตูมาเก้อ 2 หน  ฮี่ ฮี่) “แล้วยูยังอธิบายผิดอีก  ดูองค์นี้ซิ  เขียนมาได้ไงว่าบรอนซ์   เป็นเจด (Jade = หยก) ชัดๆ  ปิดทองไว้หน่อยนึง  ไม่ถึง 20%   ก็เป็นบรอนซ์แล้วเหรอ...หา”     พี่เจ้าหน้าที่พยักหน้าหงึกๆ  ในใจอาจแอบด่าประมาณ “ตาดีชิปเป๋งเลย  ยายแก่นี่” จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 22:44:28 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ในตู้ถัดๆไป  มีพระพุทธเจ้า  (ซึ่งปราศจากสิ่งสะสม  แลเครื่องประดับทั้งปวง)   ในนามต่างๆ  เช่น.. Aksobhya  Budda จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 22:50:56 ]

ความคิดเห็นที่ 58 Maitreya  Budda จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 22:53:16 ]

ความคิดเห็นที่ 59 Ratnasambhava  Budda... ป้ายข้างหลังเป็น Padmasambhava....Budda   ดูแล้วปวดกบ๊าลลลลลลล~         รู้สึกตัวว่า  ต้องศึกษาพุทธศาสนาให้มากกว่านี้  (ค่อยกลับมา รังแกเจ้าหน้าที่อีกที  ฮี่ ฮี่) จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 22:56:56 ]

ความคิดเห็นที่ 60 <<ห้องน้ำแบบขุดเองในป่าท่ามกลางฝูงทาก>> เปรียบเทียบซ้า ... แต่ก็ไม่ไหวนะคะ  กลางฝูงทากนี่ ปางร่วมประเวณี!!! O_o รีบกดดูเพื่อพิสูจน์หลักฐานทันทีเลยค้า เออ ... แต่ว่าญี่ปุ่นเค้าก็มีพระแบบแต่งงานได้เหมือนกันนะคะ แต่ว่า ... คนอ่านไม่ชื่นชมรูปปั้นหรืออะไรแบบนี้เลยค่ะ  แฮะๆๆ กรำ ... มีไปเถียงกะเจ้าหน้าที่อีก เจ้าหน้าที่แกมิเถียงกลับมาเหรอคะ น่าจะส่งป้าไปทำงานพิเศษเป็นเจ้าหน้าที่ประจำพิพิธพัฒน์นะคะเนี้น (กระดื้บไปพร้อมๆกันนะคะวันนี้) จากคุณ : i_tua_yung - [ 9 ต.ค. 48 22:58:32 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เดินดูจนอิ่ม...         ตู้ไหนเป็นวัชระยานก็ดูแบบพินิจ  ส่งเสียงค้านในหัว  อืออา ในคอไปคนเดียว  ว่าความเชื่อที่มีไม่เห็นจะจริงเลย  หลุดพ้นตรงไหน เนี่ย...งือ       จากนั้นก็ไปอีกพิพิธภัณฑ์ค่ะ  ที่นี่จะมีจัดแสดงสามอาคาร   อันหน้าที่เห็นที่แรกนั้นไว้หลังสุด  มาอันนี้ก่อน  เพราะที่นี่มีอาวุธ   จะถ่ายไปฝากยศจังเสียหน่อย       พอเข้าไปก็ธรรมดาค่ะ  ชั้นล่างมีฟอสซิลอยู่  2-3  ชิ้น   ไม่สมกับเป็นเมืองฟอสซิลเลย  ห้องถัดไปเป็นห้องตุ๊กตา  และ สัตว์สตัฟฟ์  ป้าถึงกะบ่น (ในใจ) อะไรวะ พื้นๆมากๆ  ห้องวิทยาศาสตร์โรงเรียนมัธยมชั้นยัง เจ๋งกว่านี้เลย..  (แน่ะ  มีทับถม)       ก็แหงละ  ตุ๊กตุ่นตุ๊กตาในห้องโชว์ระดับชาติของเขาเชียวนา   ยังสู้พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตากรุงเทพของเราหาได้ไม่  แถมเจ้าสัตว์สตัฟฟ์ ก็แพ้เขาดินเราหลุดลุ่ย  เผลอๆจะน้อยกว่าห้องวิทยาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยบางที่ด้วยซ้ำ  โรงเรียนเก่าของป้าก็มีแน่นตา กว่านี้ (เพียงแต่ที่โรงเรียนไม่มีแรดสตัฟฟ์  เพราะเดินกันเต็มโรงเรียน  อิอิ)       ห้องอื่นๆไม่สวยสุดใจจนยวนยั่วให้ยกกล้อง  เช่นห้องเหรียญกษาปณ์   มีเหรียญบาทไทยอายุอ่อนกว่าป้าเยอะวางอายๆในตู้  แอบยิ้ม ทักทายกำแพงวัดพระแก้วบนเหรียญ  จะยกมือไหว้ก็เกรงจะ เอิกเกริก   แต่ห้องอาวุธเยอะดีค่ะ  มีปืนกลโบราณ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 23:03:17 ]

ความคิดเห็นที่ 62 และตู้อาวุธของกษัตริย์  ถ่ายเอามาให้ดูพอสังเขป  เพราะไม่เน้น  อิอิ   (จริงๆอยากเน้น  แต่แสงมันทำให้ถ่ายยาก) จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 23:05:00 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ไปเน้นมีดกุรุข่า (สระอู)  เพราะยศจังชอบ... แต่ไม่ได้เอาภาพลง  เพราะจะเอาอันนี้ลงให้ดู... ตู้ไปรษณีย์ยุคแรก  ของเนปาลค่ะ  ^_^ ป้าชอบตู้ไปรษณีย์มากๆ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 23:09:57 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ป้าเจอน้องคนไทยที่นี่ด้วยคนนึง   มากับคณะนักศึกษาศรีลังกา ที่มาเที่ยวนี่แหละ  พอหมอนี่รู้ว่า “มาคนเดียว” ก็โวยวายเสียงหลง “พี่เจ๋งมาก  มาคนเดียวได้ไง  มาหาอะไรๆเอาแถวนี้หรือเปล่า”       ต๊ายยยยยย  คุณน้องขา  พูดแบบนี้อยากฝังที่นี่เหรอคะ   พี่น่ะมีสามีสุดหล่อ  แสนดี  มีมานะ  ปิติ  ชูใจ โคตรๆ  จะมา หลงแขก  ตัวเล็กๆ  ดำๆ  กลิ่นแปลกจมูกเช่นนี้ไม่มีวันเสียละค่ะ   (ถ้าเป็นญี่ปุ่นหล่อๆขนาดโยจังก็ว่าไปอย่าง  อิอิ)   แต่ตอนหลัง  ป้าชักเข้าใจค่ะ  แหะ แหะ  ไว้จะอธิบายให้ฟัง ถ้าเป็นการสมควร     ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร  นอกจากหัวเราะน้องเค้า  ไล่ด้วย ไป๊  ชิ่วๆ  เสียเวลาชมพิพิธภัณฑ์ชั้น หึ หึ       แยกกะน้องคนไทย  ป้าพรวดเข้าพิพิธภัณฑ์แรกทันที   ของในตึกนี้งามดีแท้ๆ  ห้องแรกชั้นล่างเป็นหินแกะ  ศตวรรษ ที่ 5 –14  ล้วนๆ  แต่งดงาม  อ่อนช้อย  เรื่องการดูอายุของหินนี่   ป้าไม่ค่อยเชื่อมั่นเท่าไหร่เพราะ “หิน” ย่อมมีอายุไล่เลี่ยกัน   เชื่อในศิลปกรรมของยุคเสียมากกว่า         แต่ละชิ้นทำให้ป้าโหยหวนในใจ “โจร  โจ๊รรรรรรร~  ตูจะเป็นโจร...ฮือ  จะเป็นโจร...” จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 23:13:53 ]

ความคิดเห็นที่ 65 จะเป็นโจร  โอ้...โจรรรรรรรรรรรรรรร~ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 23:16:18 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ชิ้นนี้เป็นพรหมลึงค์ (ตามป้ายนะ) (ไม่รู้ว่านี่หรือเปล่า  ที่ตีความเป็นจตุรพุทธฯ  ตามที่หา ไม่เจอข้างบน)       การอธิบายที่นี่มั่วใช่ย่อย  เมื่อวันก่อนเห็นงี้แหละ  ที่ปาทัน   พี่แกว่าเป็นศิวะหน้าตาเฉย  ทั้งๆที่เป็นพระพรหมชัดๆ (ป้าก็ไปยืนถกกะเจ้าหน้าที่มาแล้วด้วย) ดังนั้น  ถ้าเขามองเป็นเศียรเทพ...อาจจะมองเป็นพระพุทธฯ ก็ย่อมได้  ของมันมั่วกันได้นิ... จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 23:21:00 ]

ความคิดเห็นที่ 67 จะให้อธิบายให้ฟังอย่างด่วนเลยค่ะ   ต่อมอยากรู้อยากเห็นมันกำลังทำงานนน แก้ไขเมื่อ 09 ต.ค. 48 23:23:42 จากคุณ : i_tua_yung - [ 9 ต.ค. 48 23:21:19 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ห้องหลังต่างหากที่ชวนกรี๊ดดดดด~  >_<         รูปหล่อสัมฤทธิ์ของศาสนาพุทธวัชระยานนิกายในตู้สวยหยด   จนลืมว่าเป็นจุดจบของศาสนาพุทธในชมพูทวีปไปเสียสิ้น  ศิลปะ ยังคงอยู่  แต่ความเชื่อสิ ไม่ยืนยงแล้ว       ด้วยเนื้อสัมฤทธิ์อันงดงาม  ให้ความขลัง  บวกกับการเก็บรักษา   ตลอดจนเทคโนโลยีในการหล่อสมัยปลายศตวรรษที่ 19  ของ เนปาลรุ่งเรืองยิ่งนัก  ทำให้งานในห้องนี้ยังคงสภาพราวกับออกจาก เตาใหม่ๆ  อกเป็นอก  มันละเลื่อม ได้รูปราวกับเป็นกล้ามเนื้อแท้   ภูษาผ้ากรองที่ตกแต่งก็อ่อนช้อยราวมิใช่โลหะ       สวยๆๆๆ  กรี๊ดๆๆๆๆๆ   ป้าวนถ่ายรูปตู้โน้นตู้นี้เหมือนคนบ้า   เวร เมมโมรี่หมด  ต้องรีภาพมาลบอันที่ไม่สำคัญออกบ้าง   จะลบอันไหนล่ะ  อันโน้นก็ดี  อันนี้ก็ยอด โว้ย  อยากถ่ายๆ   เสียดายๆๆๆ  แง ศิวะนาฎราช...งามหยด จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 23:24:08 ]

ความคิดเห็นที่ 69 * * * i_tua_yung งั้นป้าต้องไปญี่ปุ่นซะแว้ววววว คนเนปาลน่ารักค่ะ  เราถกกันอย่างสนุกนะคะ  ถ้าเราถูก เค้าก็พยักหน้า  บางทีเรียกมารุมป้าด้วย  แต่ยายแก่จาก เมืองไทย  สู้ตายค่ะ มาต่อกันที่ภาพนี้...สุดงดงามมมมมมม~ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 23:33:08 ]

ความคิดเห็นที่ 70 งามมมมมม~ ไม่ต้องบอกนะคะว่าเป็นเทพองค์ใด (ที่ป้าไปจับที่ปาทัน  ก็ร่ายท่านี้  แต่เป็นงาแกะ  แหะ แหะ) จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 23:36:21 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ไม่รู้ว่าหน้าตาป้าแก่ๆอ้วนๆมันดูใจดีนักเหรอ  ครอบครัวที่เห็นป้า กำลังเล็งกล้องอยู่บนดาดฟ้า  ปรี่เข้ามาหาทันที  เด็กผู้ชายตัวเล็ก อายุราวจวนสิบขวบดูจะใจกล้ากว่าเพื่อน  เข้ามาพูดด้วยอย่างสุภาพ   “ช่วยถ่ายภาพครอบครัวผมให้หน่อยได้ไหม”       ท่าทางเจ้าตัวเล็กสุภาพ  ภาษาอังกฤษขอร้องอย่างอ่อนโยน   แม้เมมโมรี่จะเต็ม  แต่ป้าก็ลบภาพไปอีกสองภาพ  เพื่อจะได้ ถ่ายครอบครัวเขาได้   เอาก็เอาวะ  เผื่อมามันอีกรอบ  ชอบนี่หว่า (พิพิธภัณฑ์นี่ป้าเดินซ้ำๆได้ไม่เบื่อ)  จัดแจงถ่ายแล้วถามทันที “มีอีเมล์หรือเปล่า  ขอด้วย  เดี๋ยวจะส่งไปให้”       เจ้าหนูส่ายหัว  ตอบหน้าตาเฉย “ผมไม่มีอีเมล์  ช่วยอัดเป็นภาพแล้วส่งไปให้ทีนะ”       ตาเจ้าเด็กนี่แป๋วเชียวตอนมันขอ  มีแววหวังเต็มเปี่ยมอยู่ในนั้น   เวร เอาก็เอาวะ  ไหนๆก็ไหนๆ  ป้ายื่นกระดาษให้จดที่อยู่   แต่บอกว่า   “ไอจะกลับบ้านไอราวๆเดือนหน้านะ  จะส่งให้ตอนเดือนธันวาคม   เพราะอัดที่นี่แพงมาก” (ห้าสิบรูปีเชียวนะเอ็ง)       เจ้าตัวเล็กพยักหน้าหงึกๆ  ทั้งครอบครัวพากันยิ้มแย้มขอบคุณ   ก่อนจะพากันจากไป  มันอะไรกันวะ  นักท่องเที่ยวจะโดน แบบนี้ทุกคนไหม  หรือป้าเจอแจ็คพ็อต เอาก็เอา  ค่าอัดไม่กี่ตัง   ค่าส่งก็คิดเสียว่าส่งโปสการ์ดให้เพื่อนที่ต่างประเทศแล้วกัน (ตอนหลังฝากคุณแก้ว  แห่งเวบ TKT  ส่ง  ต้องขอขอบคุณไว้ ณ  ที่นี้ด้วยนะคะ) คนขอคือเจ้าตัวเล็ก  เสื้อดำตรงกลางค่ะ  ใจกล้ามาก  ไม่ยักกะ คิดมั่งว่าป้าอาจเป็นยายแก่ชอบกินตับเด็กก็ได้... จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 23:39:22 ]

ความคิดเห็นที่ 72 เจ้าหนูจากไป  ป้ากลั้นใจลบภาพอีกหน่อย  แล้วเหลือ ถ่ายนี่มาได้  "งาช้างแกะ" สวยจนอยากทุบตู้  อิอิ (อารมณ์โจรสิง) จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 23:40:57 ]

ความคิดเห็นที่ 73 จบวันอย่างกะปลกกะเปลี้ย  บ้าพุทธศิลปะมากไป  ขอไปนอนละค่ะ จบด้วยภาพคุณยายที่น่ารัก  เมื่อถ่ายรูป  จงจ่ายกะตัง ซะดีๆ  อิอิ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 9 ต.ค. 48 23:45:31 ]

ความคิดเห็นที่ 74 คุ้มกับที่รอได้ไปดูพิพิธภัณฑ์สมใจเนาะ (เด็กยืนตัวแข็งเลย .. ท่าทางกล้องดิจิตัลจะเป็นของใหม่ของทางโน้นนะคะ) จากคุณ : scottie - [ 10 ต.ค. 48 00:15:06 ]

ความคิดเห็นที่ 75 โอ้วว ป้าทำการบ้านดีมากๆเลย ตอนหนูไปตะลอนเที่ยวจะเอ๋อๆ เบลอๆ ว้าวววว  ยังงี้ต้องเกาะป้าไปต่อ ตกลงเรื่งในคห64 คืออะไรคะ อิ อิ อยากรู้ จากคุณ : travelovers - [ 10 ต.ค. 48 00:39:01 ]

ความคิดเห็นที่ 76 * * * scottie คุ้มมากกกกกก~  สมกะที่ไปสามครั้ง  จริงๆวันที่ไปอีกที่ ที่เป็นเครื่องใช้กษัตริย์  สู้มาที่นี่ยังไม่ได้เลยค่ะ ให้ดูทีไร  ฮาตึงค่ะ  ครอบครัวนี้ยังมีภาพคู่อีกนะ T_T ถ้าเมมป้าไม่เต็มละ  เต็มใจมากเลย * * * travelovers เฉพาะดูศิลปะ  กับเทรคกิ้ง  ที่หาข้อมูลไปมาก  เพราะชอบ คือถ้ามาเมืองนี้  ต้องมีข้อมูล  แล้วจะสนุกมากทีเดียว จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 00:59:22 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ความจริงพระสายวัชรยานตันตระ (ใจผมไม่อยากเรียกว่าพระเลย) ยังหาได้ในเมืองไทยนะครับ เห็นมีขึ้นหน้าหนึ่งบ่อย ๆ ตามป้ามาติด ๆ ครับ จากคุณ : Alvo (Alvo) - [ 10 ต.ค. 48 01:54:05 ]

ความคิดเห็นที่ 78 * * * มีตามร้านขายโบราณวัตถุซะเยอะค่ะ และยังไม่เจอที่น่าจะเป็นของยุคที่ไหลมาตามวัฒนธรรมนะคะ ส่วนใหญ่เป็นเมคใหม่ พรุ่งนี้ตะลุยปักตาปูร์ค่ะ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 06:22:59 ]

ความคิดเห็นที่ 79 สงสัยบ้านเขากล้องถ่ายรูปคงแพง แล้วค่าล้างค่าอัดก็คง แพงอีก เจอคนโหงวเฮ้งใจดีอย่างป้า เลยเสี่ยงตาย มาขอให้ถ่ายรูปครอบครัวให้ น่ารักจังค่ะ ^_^ เห็นพระพุทธรูปปางร่วมประเวณี และการปฏิบัติแบบ พระสายวัชรยานตันตระแล้ว ทำให้คิดว่านี่อาจเป็นสาเหตุ หนึ่งที่พุทธศาสนาจึงไม่อาจสืบทอดต่อมาในดินแดนแห่งนี้อีก แล้วลัทธิปฎิบัติ ๕ ม. นี่ พระปลอมบ้านเราถือปฏิบัติ กันเยอะแล้วนิ มันน่าเตะโด่งไปปฏิบัติที่เนปาลแล้ว เผาลงแม่น้ำซะเลย ฮ่าๆๆ ตามแอ่วต่อค่ะ จากคุณ : ซอมพอแดง - [ 10 ต.ค. 48 09:45:39 A:unknown X:202.129.0.33 TicketID:062433 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ขอบคุณป้าที่มาตอบไว้ข้างบนนะคะ สงสัยอีก ธงบูชาฯ ที่ป้าอธิบายนั่นน่ะค่ะ เขาติดประดับไว้ตลอดเวลาหรือว่าแค่งานช่วงเทศกาลคะ (เพราะป้าไปช่วงเทศกาลใช่มั้ยคะ) แบบว่าอยากรู้ ^^'' ตอนเผาศพ...ยังสงสัยอยู่ว่าเขาจะเผาให้มันหมดแบบเหลือแค่เถ้าถ่านได้ยังไง เพราะว่าตามที่เคยรู้ๆ มา (แล้วความรู้มันติดอยู่นิดๆ ตรงปลายสมอง ฮา) มันต้องเป็นไฟที่อุณหภูมิสูงมากใช่มั้ยคะ (หรือเปล่าหว่า ^^'') แต่ถ้าเอาน้ำมันก๊าดราดก็ไม่น่าจะติดแล้วดับระหว่างทางมั้งเนอะป้า ^^ พิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่น...แนะนำว่าถ้าป้ามาเที่ยวพวกปราสาทต่างๆ เขาจะจัดแสดงพิพิธภัณฑ์พวกชุดเกราะอาวุธ หรืออะไรพวกนี้ในปราสาทน่ะค่ะ (ต้องเสียค่าเข้าทุกปราสาทเลย) ชอบเข้าไปดูเหมือนกันนะ ดูแล้วคิดถึงสมัยก่อนที่เขาสู้ๆ กัน (อิทธิพลจากการ์ตูนนั่นล่ะค่ะ ^^'') ชักอยากเขียนนิยายย้อนยุค (ญี่ปุ่น) ซะงั้น ^^'' (ตอนนี้ก็ติดละครย้อนยุคเรื่อง โยชิสึเนะ ตามดูทุกตอนมาเกือบปีแล้วค่ะ ฮา จริงๆ ติดโยชิสึเนะ..ทักกี้เล่นอ่ะค่ะ ไม่ดูไม่ได้แล้ว ฮา) อ้อ แต่พิพิธภัณฑ์ที่นี่บางที่ (โดยส่วนมาก) จะไม่ยอมให้ถ่ายรูปนะคะ น่าเสียดายเนอะ อยากไปเที่ยว...อยากไปคนเดียว แต่สงสัยที่บ้าน (แม่และป๊า ฮา) จะห้ามอ่ะดิ เดี๋ยวต้องวางแผนดีๆ ^^ มาต่อด้วยความสงสัยวันนี้ ที่ป้าเลคเช่อร์ตรงนี้ --> พระสายวัชรยานตันตระ  ปัญจมการ คือ ม.มัทยะ (ดื่มเหล้า), ม.มังสะ (กินเนื้อสัตว์), ม.มัตสยะ (กินเนื้อปลา), ม.มุทรา (เคล้านารี) และ ม.เมถุน (เสพประเวณี) ดูแล้วให้อารมณ์พระญี่ปุ่นมากเลย ไม่รู้ว่าพระญี่ปุ่นอยู่นิกายอะไร (เรียนแล้วลืมแล้ว ห่างไกลวัด T-T) เพราะพระญี่ปุ่นมีภรรยาได้ ดื่มเหล้าได้ แถมมีสาวๆ เยอะอีกต่างหาก เคยได้คุยกับคุณตำรวจ (พอดีไปเป็นล่ามจำเป็นให้ผู้ต้องหาคนไทย ^^'') คุณตำรวจก็บอกว่าพระญี่ปุ่นนี่ทั้งเรื่องเงินทั้งเรื่องผู้หญิงเรื่องเหล้ายาสุดยอดเลย ไม่เหมือนพระไทยเนอะ (คุยเรื่องพระ เพราะคนไทยที่ไปเป็นล่ามให้เขาทำงานเป็น "พระ" ที่ญี่ปุ่นน่ะค่ะ ^^'') โดยส่วนตัวก็เห็นว่า "พระ" ของญี่ปุ่นนี่เป็นสิ่งที่เรียกว่า "อาชีพ" มากกว่า "ศาสนา" นะคะ จึงไม่ค่อยแปลกใจว่าเด็กสมัยใหม่ของญี่ปุ่นจะไม่นับถือศาสนาซะเป็นส่วนมาก (แม้ในทะเบียนประวัติจะบอกว่าเป็นศาสนาอะไร แต่ว่าโดยจิตใจไม่มีความเคารพในศาสนาใดอยู่เลยน่ะค่ะ ^^) ชวนคุยยาว...จะบอกว่าภาพของเกาะสลักต่างๆ สวยงามมากจริงๆ อยากไปดู อ้อ ชอบภาพอาวุธนั่นด้วย มีดสวยมากๆ เห็นแล้วนึกถึงดั่งดวงหฤทัยของคุณลักษณาวดีซะอย่างงั้น (เกี่ยวกันมั้ยนั่น ^^'') (อิจฉาป้าจะได้ไปลาว...อันนี้ก็เป็นที่ที่อยากไปอีกเหมือนกัน ลาว เขมร อยากไปปปปป) จากคุณ : เด็กทะเล (ลิปิการ์) - [ 10 ต.ค. 48 10:50:35 ]

ความคิดเห็นที่ 81 แปลกดีจังนะคะ มีคนมาขอให้ถ่ายรูปให้ (โดยใช้กล้องเรา) เยอะจัง ทีแรกนึกว่ามีแปลกๆนิดเดียว ดูเหมือนเค้าทำกันเป็นเรื่องปกตินะคะ ถ่ายแล้วส่งมาให้หน่อย เหอๆๆ รูปหล่อสัมฤทธิ์สวยจังค่ะ จากคุณ : TSURUGI - [ 10 ต.ค. 48 11:49:23 ]

ความคิดเห็นที่ 82 * * * ซอมพอแดง ป้าว่าป้าดูใจโหดมากนะ  -"- เป็นเหตุให้เสื่อมไปทั่วโลกเลยก็ว่าได้อ่ะ อย่างบ้านเราเมืองเราเห็นแค่นี้ยังเป็นเรื่องได้ทุกครั้งเลย * * * เด็กทะเล ผูกไว้จนเปื่อยไปเอง (มีอันเปื่อยๆแทรก  ตามวัดเก่า) แต่พอถึงเทศกาลต่างๆของเค้า  ก็จะมีการปลดลง  แล้ว ติดใหม่เข้าไปด้วย  (เพราะบางวัดมีร่องรอยการฉลอง แล้วธงเอี่ยมเชียว) การเผาศพจะเหลือกระดูกแข็ง  พวกแข้ง  ศอก  และบาง ส่วนของหัว  พี่สัปเหร่อ  ก็จะจัดการเอาไม้แยงแรงๆ ให้แตก (อันนี้ป้าพินิจจากการเผาสด  ที่ทางเหนือนะ) อยากไปเหมือนกันนะ  อยากดูเกราะ + ดาบญี่ปุ่นทั้งหลาย พอดีกะลังศึกษา  แถมตอนนี้มีคนมาบอกว่าโตเกียววันนึง อยู่ได้ที่  ๒๐๐๐  สุดกรี๊ดดดดดด เพราะป้าต้องเซฟกว่านั้น  ฮี่ ฮี่ อยากดู...แต่อยากดูโยจังเล่นเป็นฮิคารุ  เกนจิ  ชายงาม สมัยเฮอัน  คริ คริ (เลิฟซีนเพียบบบบ  *_*) พระญี่ปุ่นมีหลายนิกายนี่  ชินโต  เซน (ถูกป่าวหว่า) แถมยังแยกเป็นลัทธิย่อย  เช่นโชโดชู  และอะไรๆ อีกหลายนิกาย  แต่งภรรยาได้  ครองสมบัติสืบทอดได้ ดูเป็นมการ ๕ จริงๆนะ เอานะ  ป้าเองก็อยากไปคานากาวะ  ยังไม่ได้ไปเลย (เกี่ยวกันไหม) จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 12:13:10 ]

ความคิดเห็นที่ 83 TSURUGI ป้าเองก็ไม่คิดนะ  ขอบอกว่า  ไม่ได้มีแต่แขก  ฝรั่งก็ทำ แต่ให้ส่งทางอีแมว  ซึ่งปกติธรรมดามากเลย  แต่อัดให้นี่ ป้าโดนไป  ๕๐  รูปี (ผู้หญิงคนแรก)  เพราะป้าพริ้นท์เอา ตอนกลับจากนาคราก็อตแล้ว ส่วนพวกอยากให้ถ่าย  เยอะมาก  เด็กละเยอะ เอ...หรือหน้าตาจะดูใจดีจริงๆ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 12:19:27 ]

ความคิดเห็นที่ 84 วันที่สิบ  27  ตุลาคม  (วันพุธ)       วันนี้ตื่นมาพร้อมเก็บกระเป๋า  มุ่งหน้าไปเมืองมรดกโลก อีกเมืองหนึ่งนั่น  คือ  “ปักตาปูร์” ค่ะ (Bhaktapur)  ปักตาปูร์ อยู่ไกลออกไปทางทิศตะวันออกของกาฎมัณฑุ 14 กิโลเมตร         ตำนานกล่าวว่า  ในสมัยโบราณมีผู้ครองนครกาฐมัณฑุองค์หนึ่ง   มีบุตร  4 คน   แต่คนที่เป็นรัชทายาทเกิดเป็นไข้ทรพิษเสียชีวิต ไปก่อน  เหลือเพียงน้องชายอีก 3 คน   ต่อมาเจ้าครองนคร สิ้นชีวิตลง  ลูกทั้งสาม   ไม่อยากให้เกิดศึกขึ้นชิงเมืองจึงแยกย้าย กันออกไปสร้างอาณาจักรของตนเอง   คนแรกออกไปสร้างเมือง งดงามซึ่งต่อมาก็คือเมืองปาทัน   ส่วนคนที่เหลือก็พยายามสร้างเมือง อีกเมืองใกล้ๆ  นั่นคือปักตาปูร์นั่นเอง       ปักตาปูร์เป็นเมืองเก่ามาก  จะมีผู้สูงอายุซึ่งพูดภาษาอินเดีย โบราณกัน... อยากไปหรือยัง...มาเลยค่า...          พอก้าวออกมาก็มีเด็กมาขวาง  พูดอะไรด้วยไม่รู้  ป้ากะ อารมณ์ประมาณ “ไปหนายยยยยยย~  พี่สาว” (ออกแนวแซวหญิง)       ป้าเลยยิงซะ (ด้วยกล้อง)  โอว...  เจ้าหนูนี่มีวิญญาณนายแบบ   พอควักกล้อง  มันก็แอ็คซะ...  ยังไม่ทันเอารูปให้ดู  ดันวิ่งไป หาแม่ซะด๊ายยยยยยยยย~  ไม่แน่จริงนี่หว่า จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 19:39:23 ]

ความคิดเห็นที่ 85 การเดินทางไปที่นี่         มีรถเมล์โดยสารวิ่งตรงมาที่นี่   โดยต้องไปขึ้นที่คิวรถ ตรงถนo   Bagbazar   ที่แยกจากถนน  Burbar Margไปประมาณ 100 เมตร ค่ารถราว  Rs.10  รถวิ่งราว 1 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว         ...แต่...ป้าไม่อาจเดินทางด้วยขนส่งมวลชนเนปาลได้   เพราะป้าแพ้กลิ่นแขกอย่างแรง  ยศจังชอบขู่ว่า  ถ้าดื้อนัก   จะจับไปนั่งใกล้แขก (อีตาบ้านี่  เพื่อนเป็นแขกเยอะมาก)       รถเมล์เล็กเนปาลค่ะ  สนใจป่ะคะ  กระเป๋าโหนริมประตู เหมือนเมืองไทย       เมืองเนปาลมีรถตู้ด้วยนะคะ  คิวอยู่ตรงใต้ต้นโพธิ์ปากซอย โรงแรมนี่เอง จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 19:41:52 ]

ความคิดเห็นที่ 86 แต่ป้ามิได้ไปรถเมล์(ใหญ่)  อีกแบบ  จึงถึงปักตาปูร์โดยสวัสดิภาพ (ไม่อ้วกตาย)  แท็กซี่มักจอดที่นี่ค่ะ  หน้าเมือง  ค่ารถ 350  รูปี(+ถีบ)   โปรดมองที่มุมซ้ายของภาพ  นั่งคืออาคารซื้อตั๋ว  นักท่องเที่ยว ทุกคน  มีสิทธิ์อยู่ได้  7  วัน  ในอัตรา 10 ดอลลาร์          ถึงอยู่  3  ชั่วโมงก็โดนสิบเหรียญเท่าเดิม  มาถึงสิ่งแรกที่ ต้องทำคือ  ซื้อตั๋ว... จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 19:44:37 ]

ความคิดเห็นที่ 87 พอลงรถ  ซื้อตั๋ว  แบกเป้  เปิด LP  ดูทิศ  ไกด์ผีรายที่สามก็โฉบ เข้ามาทันที  ชื่อ มเหศร (มะเหด)  ที่รู้ชื่อเพราะเขาเดินตามมา   หลังป้ารบชนะไกด์ผีที่ไม่ถูกชะตาไปสองรายแล้ว  เจ้านี่ก็เข้ามา คุยด้วย  ไม่ได้เสนอตัวเป็นไกด์  แต่จะแนะนำห้องให้  ป้าก็...อือ   บอกไปว่า  ขอสะอาดไม่แพงมาก       เขาพาป้าไปที่นี่ค่ะ  SUNNY  อยู่ข้างวิหารนยา ตะโปละพอดี  เพิ่งเปิดด้วย ห้องที่มเหศรหาให้ไม่เลวเลย  สวย  น่านอน  แม้จะเล็กแต่ของก็ครบ   ห้องน้ำสิยอดเยี่ยม  มี “สายชำระ” เหมือนห้องน้ำเมืองไทย   อย่าหาว่าป้าเรื่องมาก  ห้องน้ำบ้านไหนเมืองไหน  (ยกเว้นญี่ปุ่น)   ไม่มีที่ไหน  เข้าแล้ว “ปล่อย” สบายใจเท่าห้องน้ำบ้านเราเป็นไม่มี     เมื่อพบห้องน้ำที่มีสายชำระประดุจเมืองไทยเช่นนี้เข้า            ว๊าว แจ๋วๆ  ยายแก่ศรีสะอาดจึงตกลงทันที  (เลือกห้อง เพราะส้วมโดยแท้)   สายชามร๊าาาาา...  มุมซ้ายเหนือโถค่ะ (ซ้ายอีกแล้ว) จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 19:47:11 ]

ความคิดเห็นที่ 88 โห... อ่านไม่ทันเลยครับป้า.... ตามมาเซฟเก็บไว้ก่อนทั้งสามกระทู้... จากคุณ : ณ มิตร (namit) - [ 10 ต.ค. 48 19:53:42 ]

ความคิดเห็นที่ 89 โห...ก่อนไปทำสีผิด  ไม่ใส่ภาพอีกตะหาก เซฟเลย คุณ ณ มิตร จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:05:16 ]

ความคิดเห็นที่ 90 พอลงมาก็เอาตังให้มเหศรร้อยรูปี  เจ้าหนูทำหน้างงๆ  บอกว่า ทำไปไม่ต้องการได้กะตังนะ  แล้วก็ยังไม่ได้ทำอะไรให้เลย         แต่ป้าแก่โลกแล้ว  สภาวะแวดล้อมและเศรษฐกิจแบบนี้   ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าการให้เงิน  แต่ตอบไปอย่างมีมารยาทว่า “เป็นการขอบคุณที่หาห้องให้  รู้มั้ย...มันน่าอยู่ที่สุดตั้งแต่ไอมาเนปาล” (มีสายชำระด้วย อิอิ)        มเหศรมีสีหน้าดีขึ้น  เสนอตัวเป็นไกด์  แต่ตามเคยที่ป้า ปฏิเสธ  บอกว่าป้าชอบเดินคนเดียว  อย่ามายุ่งกะไอเลย  ไอเป็นคนบ้า   ชอบคิดอะไรเงียบๆในหัว  (มุกอาจารย์ยังไม่มา)  โชคดีนะเจ้าหนู   เจ้าหนูก็ดีค่ะ  ไม่ตื้อ        อันดับแรก ป้าวิ่งเข้าดาร์บาร์สแควร์ก่อนเลย  เมืองปักตาปูร์ มีชื่อนักหนา  ว่าเป็นเมืองเก่าแก่  งดงาม  แม้จะเจอแผ่นดินไหว ครั้งใหญ่  แต่ก็สามารถประคองตัวและประกอบโบราณสถาน บางส่วนกลับมาได้  ตามเคยที่เสียงอุทาน  ตะโกน  แผด  วุ่นวายในหัว   “สวยโว้ย...สวย...สวย”       จัดแจงหามุมเหมาะใจ  แล้วกางขาตั้งกล้องทันที  เห็นขาป้า หรือเปล่าคะ  ข้างหลังเป็นลานดาร์บาร์ปักตาปูร์  ข้างล่างเป็น ฝรั่งที่ขี่จักรยานมาจากกาฎมัณฑุ (ทำไมไม่ชวนตูฟระ) ที่เห็นไกลๆ  ยอดแหลมคือ Vatsala  Durga  Temple จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:09:00 ]

ความคิดเห็นที่ 91 วันนี้ฝนฟ้าไม่เป็นใจสักนิด  เพราะดันมืดสลัวมัวฝน  มีหยดๆ หน่อยๆด้วย  ป้าเลยถนอมกล้อง  วิ่งหนีเข้าไปหาอะไรกินบนที่พัก   ซึ่งชั้นบนดาดฟ้าเป็นร้านอาหาร   (ที่นี่นิยมเอาดาดฟ้ามาทำร้านอาหารมากค่ะ)       วันนี้ภูมิใจเสนอ  อาหารหลักของป้าที่เมืองเนปาลค่ะ  นี่เป็น อาหารพื้นเมืองที่เรียกว่า “MOMO”  มีนักเที่ยวเนปาลหลายคน เรียกมันว่า  “เกี๊ยวซ่าเนปาล”  หน้าตาเหมือนเนอะ...         ป้าไปไหนก็จะกินเจ้านี่เป็นหลักเพราะชอบ  เบาท้อง  จานนึง อิ่มกำลังดี       โมโม่มีแป้งเหนียวเหมือนเกี๊ยวซ่า  ไส้ข้างในมักเป็นไก่กับ หอมใหญ่สับ  ผัดผงกะหรี่นิดๆ  จึงห่อด้วยแป้งเกี๊ยว  แล้วจึง ทอดอีกที  แค่เขียนนี่ก็น้ำลายไหล  เพราะมันเข้ากันกับน้ำจิ้ม ซึ่งเป็นมะเขือเทศสับผัดเนยมีหอมใหญ่นิด (บ้างเจ้ามีขิงสับปน   เช่นที่โพคารา)  น้ำจิ้มสดด้วยธรรมชาติ (ไม่ปรุงแน่ๆเพราะเปรี้ยว เบากลมกล่อม ไม่แทรกหวานเลย)  เนียนลิ้นด้วยเนยหอมมัน...       แง๊...คิดถึงโมโม่ที่สุด  คิดถึงกว่าใครๆ  กว่าอานิ         กว่าเจ้าอ้วนวิษณุ... Y_Y       ไม่ต้องเอาจานเจินสวยละนะ  อยากให้เห็นน้องโม่ชัดๆ   จะได้ร่วมกันหิว   อิอิ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:11:58 ]

ความคิดเห็นที่ 92 กินไป  ถ่ายภาพตัวเองกับนยาตะโปละไป (อยู่แทบติดกันเลย)   จนเจ้าเด็กเสิร์ฟออกมาถามว่า  ยูเป็นช่างภาพเรอะ  ป้าได้แต่หัวเราะ   พออิ่มก็แดดออก  วิษณุนารายณ์ปราณีข้าน้อยแล้ว  ป้าจ่ายตัง แล้ววิ่งจู๊ดลงไปทันที       ภาพแรก  จะขาดได้ไง  “วิหารนยาตะโปละ”       วิหารหรือมณฑปนยาตาโปละนี้  (Nyatapola)  (บ้างว่าปญา ฎะโปละ)  เป็นมณฑปที่สูงใหญ่ที่สุดในเนปาล หลังคามี 5 ชั้น สามารถมองเห็นได้แต่ไกล และถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้   มีความสูงถึง 98 ฟุต หรือประมาณ 30 เมตร ถือได้ว่าเป็นวิหาร ที่สูงที่สุดในประเทศเนปาล แต่ละชั้นของขั้นบันไดจะมีรูปปั้น ของเทพต่างๆ อาทิ พญาครุฑ, ยักษ์, คนทัณฑ์ (บ้างว่าเป็น นักมวยปล้ำ  ที่มีแรงมหาศาล) ช้าง เป็นต้น  บางตำนานว่านักมวยปล้ำ (หน้าสุด) ว่ามีแรงมากแล้ว  ถัดๆไป  จะมีแรงขึ้นอีก 10 เท่า (แหงละแก...ช้างนะ  จะน้อยกว่าคนได้ไง)       เดิมเป็นที่ประดิษฐานของพระแม่อุมาเทวี  แต่ปัจจุบันว่าไม่มี แล้ว  เพียงแห่แหนจากที่ตั้งแล้วนำมาบูชาที่นี่ในเทศกาลเท่านั้น   จึงเป็นที่สถิตย์ของนยาตโปลาเทพแต่ผู้เดียว มุมโปสการ์ดมากๆ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:14:25 ]

ความคิดเห็นที่ 93 วิหารซ้ายมือของนยาตะโปละ   งามโคตร  ดูแข็งแรง  มีคนบอกป้าว่าเป็นกุมารีวิหาร  แต่ไม่แน่ใจ   เพราะ LP  บอกว่ามีอีกที่ในตัววัดฮินดูข้างใน จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:15:31 ]

ความคิดเห็นที่ 94 แดดดีมากค่ะ...       ยายแก่จอมจุ้นเริ่มออกชมเมือง  ด้วยเท้า...  ไปตามอารมณ์...   ซื้อโปสการ์ดก่อนเพื่อน  ที่นี่มีไฟแช็คขายด้วย  ป้าบ้าสะสม ไฟแช็ค  มีเป็นร้อยๆอัน  จึงยินดียิ่งนักที่จะได้ของเนปาลไปเข้า คอเลคชั่น  ร้านขายโปสการ์ดที่นี่  มีตู้ให้ส่งด้วยค่ะ  และโปสการ์ด ที่นี่  “ถึงที่หมาย” ทุกใบ       ชมเมืองกันดีกว่า  ตอนแรกป้าว่าจะไปชมลานปั้นหม้อเค้า   ที่เป็นฉากหนังเรื่องดัง  แต่วาสนาน้อยนัก  ดันมาฤดูเก็บเกี่ยว   งั้น...เก็บเกี่ยวภาพกสิกร...(แข็งขันเป็นกระดูกสันหลัง ของชาติ) กันดีกว่า       สองตายาย...ฟาดข้าวค่ะ  ที่นี่จะตีกันแหลก  นั่งตีๆๆๆ   จนเมล็ดข้าวร่วง  แล้วค่อยสงเก็บเอาฟางชิ้นใหญ่ๆ ออก  ป้าผ่าน การไปฟาดกะเค้ามาแล้ว (เจือกทุกเรื่อง  ขอให้บอก)  แต่เป็น ฟาดถั่วบนภูเขา จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:17:11 ]

ความคิดเห็นที่ 95 บาร์เบอร์ในเนปาล  เป็นห้องเล็กๆ  เท่าป้อมยาม   ไม่รู้มีแคะหูด้วยป่าว... จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:18:04 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ถัดร้านผมมาก็เจอกสิกรรมอีก  วันนี้ลานทั่วเมืองเป็นกสิกรรมหมด       พอฟาดเสร็จก็  “ฝัด”  (ไม่ใช่เช้าฟาดผัดฟัก  เย็นฟาด ฟักผัด” นะ)  คือร่อน  แล้วพัดให้ผงเล็กๆออกจากข้าว  สอง หนุ่มสาวนี่  ท่าทางเป็นสามีภรรยากัน  เพราะจับจังหวะฝัดได้เนียนมาก   ไม่มีชนกันเลย (ชนอาจมีหูยาน  อิอิ) จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:19:39 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ตาชั่งข้าวสาธารณะค่ะ  เห็นตุ้มเหล็กที่พื้นไหม   คนที่นี่ถ้อยทีถ้อยใช้ค่ะ  ไม่แก่งแย่ง จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:20:34 ]

ความคิดเห็นที่ 98 หญิงร่อนข้าวค่ะ         ขอไม่ลดขนาด  จะได้เห็นเมล็ดข้าวร่วงลงพื้น  และผง ลอยตามลม  เป็นสองสายเห็นชัด  ตัวเมล็ดจะตกลงตรงปลายเท้า   ส่วนผงจะปลิวมาด้านหลัง [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:21:37 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ถนนสายไปสู่ลานปั้นหม้อ...        ขายหัตถกรรมพื้นบ้าน  ลักษณะการจักสานกระบุงบุ้งกี๋   ใช้การสานขัดแตะเหมือนเราค่ะ  ลายก็ใกล้เคียงกัน  แต่หยาบ หนากว่า  เพื่อความทนทานโดยเฉพาะ  ภาชนะดินเผาจะ “วิจิตร” กว่าเราเล็กน้อย  หากประสายายแก่ผู้มีความรักชาติ เป็นชีวิต (แต่แสลนไปเที่ยวเมืองคนอื่น)  ขอบอกว่า         ภาชนะของเขาดูจะ “ล้างยาก” กว่าเรา...อิอิ  (หาข้อติจนได้   ก๊ากๆ) จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:23:35 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ทางเดินในเมือง...       เมืองปักตาปูร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิต (Live Museum)   เรียกได้ว่าเมืองทั้งเมือง รวมไปถึงผู้คนคงชีวิตในรูปแบบดั้งเดิม   บ้านเรือนที่เก่าๆเหล่านี้ไม่ได้ไร้ผู้คนอาศัยแม้ถูกกันไว้เป็นเขต พิพิธภัณฑ์  หากที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง   ภายใต้บ้านก่ออิฐเผามือแบบโบราณ  และหน้าต่างสลักเสลา งามวิจิตร  พวกเขาดำเนินชีวิตดุจร้อยปีก่อน         หากบางอย่าง...เปลี๊ยนไป๋  มีอินเตอร์เน็ตแว้ววว~ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:25:04 ]

ความคิดเห็นที่ 101 เด็กก็...ทะลึ่งขึ้นด้วย         แต่น่ารัก  เจ้าตัวเล็กนี่  มาแหกปากล้อป้าที่ปากซอย   เพราะเห็นถือกล้อง  ว่า “Photoๆๆๆ”  (ถ่ายดิๆๆๆ)       แน๊...ท้าใครไม่ท้า...บังอาจ  ป้าเปิดกล้อง (ทำเสียงแบบ เป้าปุ้นจิ้น ตอน “เปิดดดดด~มีด” ในใจ) พอ ยกขึ้น  เจ้าหนู หัวเราะแล้ววิ่งหนี  หากยายแก่นี่เป็นผีปอบจอมตามล่า..วิ่งตาม   ถ่ายเลย...ท้าดีนัก       วิ่งกันขาขวิดหนีเข้าบ้าน  เพราะป้าวิ่งตามไปถึงท้ายซอย   สองซ่าไปหลบในบ้านเงียบ (ไม่แน่จริงนี่หว่า) จนแม่กะยาย ที่นั่งท้ายซอยหัวเราะกันใหญ่  ไม่มีต่อว่าที่แหย่ลูกเขา  บอกแล้ว ว่าคนเนปาลน่ารัก... จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:26:37 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ลานตากข้าวเป็นดิน  ข้างๆเป็นลอมฟาง  ดึงฟางออกเป็นบ้านฟาง   น่ารักมาก... จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 103 หมาแก่ตาฟางของปักตาปูร์  โดนใจอย่างแรง   เพราะเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้  ก็เห่าเพื่อเตือนเจ้าของ “นายค๊าบบบบ~  ตัวประหลาดมา...” จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:29:44 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ลานรอบเมือง  วัด  ที่ว่างที่ไหนมี  ตากข้าวกันแหลก  ไม่ได้ แวะชมอะไรเลย  กลัวย่ำข้าวเขา  ยังไงป้าก็นับถือแม่โพสพ   ข้ามยังไม่ค่อยกล้าข้าม จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:30:55 ]

ความคิดเห็นที่ 105 แต่นแต๊น...  จะพลาดได้ไง         พิพิธภัณฑ์แห่งปักตาปูร์ค่ะ...  ค่าเข้าที่นี่  20 รูปี  ป้าตอนแรก นึกว่าใหญ่และแพง  เลยถามว่า  เข้ามาอีกได้ไหม (เพราะมัน จวนปิดแล้ว  แต่ป้าขอให้ได้เข้าไปแหวกว่ายซักกะติ๊ด ก็เอาดี)         พอทราบราคาก็ไม่เป็นไรนิ...อีก 20  จ่ายได้ๆ       แต่พอเข้าไป  ของไม่มากค่ะ  เป็นภาพผ้าทังก้าซะเยอะ   ที่ไม่ประทับใจในเหล่าผ้าทังก้า  ก็เพราะ...เป็นวัชรยานค่ะ  แหะ แหะ   แต่เป็นตอนยุคใหม่  ไม่มีปางพิเศษแล้ว...(บางทีก็มี  แต่น้อย)       ของในนั้นห้ามนำกล้องเข้าไปค่ะ  ของก็ไม่มาก  จริงๆ มือถือป้ามีกล้อง  จะถ่ายก็ได้  แต่ไม่ประทับใจอะไรเลย  นอกจาก ตะเกียงสุริยันจันทรา  ซึ่งทำเป็นวัฏจักรการเต็มดวงของพระจันทร์   และการขึ้นตกของพระอาทิตย์  งดงามมาก  มีแจ๋วอยู่ต๊อยนึง...   เดินพักใหญ่ก็ออกค่ะ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:32:44 ]

ความคิดเห็นที่ 106 ถ่ายรูปไปเรื่อยๆดีกว่า       นกกระจอกซ่า  บังอาจ “จิก” พระเจ้า  (ไม่รู้เทพอะไร   แต่กลางถนนเมืองปักตาปูร์  จะมีเทพสถิตที่พื้นเพียบ  จะเดิน กรุณาระวังเท้า) ป้าลงโทษมัน  ด้วยการถ่ายรูป  อิอิ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:33:57 ]

ความคิดเห็นที่ 107 ที่นี่มีปลาทอดขายด้วย...         เป็นปลาตัวไม่โตนักทำนองปลากระบอก  เหลืองขมิ้นหอม ผงกะหรี่อ่อนๆ  กับซามูซ่าอีกสองสามตัว  30  รูปีเอง  เขาห่อกระดาษ ให้ป้าเดินแทะไปเรื่อยๆ  อย่าได้คิดกินโดยใส่จานเด็ดขาด   เพราะป้าเห็นจานเสิร์ฟแล้ว  ที่วางอยู่บนพื้น  เอาน้ำราด  สะบัดๆ แล้ว...ใช้ใหม่  แหะ แหะ (ตาไว๊ไวจริงๆ  อิอิ) ไม่ลดขนาด  โปรดสังเกตจาน...ซ้ายมือล่าง [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:35:30 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ไม่ได้ถ่ายปลาทอดค่ะ  กินแป๊บเดียวหมด  อิอิ         จะหยุดนั่งที่ไหนก็ไม่ได้  คนมองจัง  จะเอาไปกินบนที่พัก ก็...ไม่ทัน  พอหมดก็เช็ดมือถ่ายนี่เข้าให้  หน้าบันประตูสวยวิจิตร... ที่เห็นอยู่นี่  ถือว่า...”พื้นๆ”  นะคะ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:36:47 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ได้ถ่ายเจ้าหนูผู้มีความสุขอย่างเรียบง่าย...  อดยิ้มแทนไม่ได้ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:37:43 ]

ความคิดเห็นที่ 110 เดินโต๋เต๋ต่อจะว่าอิ่มก็อิ่ม  อิ่มแบบหลวมๆ  พอย้อนกลับไปร้านที่ หมายตาจะนั่งทอดหุ่ยมื้อเย็น (Caf’e nyatapola อยู่หน้านยาตะโปละ)   ปิดเสียแล้ว...  งั้นขอเก็บภาพแสงสุดท้ายที่ทอทาบบนวิหาร สูงสุดของเนปาลแล้วกัน... งามซะ ไม่ลดขนาดนะคะ  จะเห็นไม้แกะสะท้อนแดดสวยมากค่ะ แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 48 22:40:25 แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 48 22:40:11 จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:39:23 ]

ความคิดเห็นที่ 111 แปะภาพผิด... T_T [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:41:35 ]

ความคิดเห็นที่ 112 พอตกเย็น  บริเวณนี้จะมีตลาดนัดย่อยๆค่ะ  พวกเสื้อผ้าสมัยใหม่   เสื้อเด็ก 20 รูปีเองแต่คนเป็นพ่อก็ยังไม่มีเงินซื้อ  ป้าแทบโดดลงไป จ่ายให้  เพราะลูกงอแงน่าสงสาร         แต่กลัวเป็นผู้ทำลายเมืองนี้ด้วยความสงสารชั่ววูบ  มาที่นี่   จะมีเด็กเข้ามาขอขนม  ปากกา  เงิน  กับนักท่องเที่ยว  บางครั้ง... มันไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะจะประทับสิ่งนั้นไว้ในใจ  จำต้องเบือนหน้า   แล้วหนีไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกเหนือดาร์บาร์สแควร์ปักตาปูร์... จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:43:24 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ขอขึ้นห้องก่อน  อาบน้ำ  แล้วค่อยคิดว่าจะกินอะไรที่บนดาดฟ้า ของที่นี่ดีมั้ยคะ... ดูเตียงป้าสิคะ  เรียบร้อย  สวยงาม... สมเป็นห้องราคา  10  ดอลลาร์ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:44:38 ]

ความคิดเห็นที่ 114 อีกฟาก...ออกแนวสลัมมาก  ตากหมด  เสื้อ  ลองจอห์น ถุงเท้าด้วย  อิอิ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:46:02 ]

ความคิดเห็นที่ 115 พออาบน้ำเสร็จก็ต้องต๊กกะใจ  เมืองนี้นอนเร็วมาก  ป้ากะว่า ให้คนหมด  จะออกไปถ่ายภาพนยาตะโปละก็อดซะแล้ว  เพราะ แค่สามทุ่มนิดๆเขาก็ปิดไฟหมด  มืดจัด  ไม่มีใครเลย  ดาดฟ้า ก็ขึ้นไม่ได้...ร้านปิดแล้ว         มาม่าช่างเป็นที่พึ่งยามยากดีจริงๆ  (อย่าลืม  มาม่า...เวลา หิว  อิอิ)       ขอจบวันด้วยภาพลานหน้านยาตะโปละค่ะ  เห็นทิวเขา ซึ่งล้อมเมืองอยู่ไกลๆ  ขวามือคือร้านอาหารที่อยากไปนั่ง ...แต่อด (ฝั่งขวานี่นะ) พรุ่งนี้ขึ้นกระทู้ใหม่  ชมเมืองปักตาปูร์ค่ะ จากคุณ : ป้าหนอน - [ 10 ต.ค. 48 22:47:53 ]

ความคิดเห็นที่ 116 มารอตั้งกะความเห็นที่ 88 ป้าแปะแล้วหายไปเลยยยยย ^^ ที่นั่นหนาวกี่องศาอ่ะคะ ใส่ลองจอห์นด้วยเหรอคะ แบบว่าศึกษาไว้ก่อนไป ^^ อย่าลืมมาคานากาว่านะป้า ป้าน่าจะชอบคามาคุระอ่ะน้า ยืนยันว่าทักกี้เล่นเป็นโยชิสึเนะน่ารักขาดใจ ว่าแต่ป้าจะยอมให้โยจังไปเป็นฮิการุ เกนจิ จริงๆ อ่ะคะ ต้องไปคลุกเคล้า เอ๊ย คลุกคลีกับสาวมากหน้าหลายตาน้า ยอมเหรอป้า ^^ ว่าแต่โตเกียววันละ 2 พัน นี่สองพันเยนหรือสองพันบาทคะ ตีคร่าวๆ ประสาคนงก (เหมือนกัน...หรือเปล่า ฮา) ค่าที่พักตกประมาณ 3500 เยน อาจจะไม่ได้ในในกลางเมือง อาจจะไปแถวๆ ชิบะ หรือโยโกฮาม่า แต่ไปมาสะดวก ห้องน้ำในตัว แบบ business hotel น่ะค่ะ หรือถ้าป้าไม่อะไรมากมายกับห้องน้ำห้องอาบน้ำ (แบบอาบน้ำรวมได้) พักพวกแคปซูลโฮเตลก็ตกที่ราคาประมาณ 2300-2500 เยนนะคะ (แต่คนแถวนี้บอกว่าไม่แนะนำ เพราะว่าพวกลุงเมาๆ จะไปนอนพัก เป็นผู้หญิงไปพักคงไม่สะดวกเท่าไหร่) ค่ากิน...ถ้าไม่กินหรูมาก กินแม็กฯ ทุกมื้อ (ฮา) คิดมื้อละ 500 เยน (ไม่แม็กฯ ก็พวกคัพนู้ดเดิ้ลต่างๆ) ตกวันละ 1500 เยน ตามด้วยค่ารถถ้าไปไม่ไกลมาก มีจุดหมายดูแน่นอนตีไปวันละ 1000 เยน (แต่ถ้าป้ามาแบบ JR RAIL PASS นั่งฟรีตลอด ยกเว้นพวก subway ของบริษัทเอกชน ก็ไม่ต้องเสียอีก เพราะเสียไปแล้ว ^^'') ต่อด้วยค่าเข้าชม ถ้าไม่ใช่พวก disney ค่าเข้าชมไม่แพงค่ะ อย่างปราสาทต่างๆ ก็ไม่น่าจะเกิน 500 เยนน้า ตอนที่ไปคามาคุระ บางวัดก็ฟรี แต่ daibutsu (พระนั่งองค์ใหญ่ๆ) รู้สึกจะเสียค่าเข้า 210 เยน อ่ะค่ะ ถ้าจำไม่ผิด ตีไปคร่าวๆ ค่าเข้าชมที่วันละ 1000 เยน สรุปรวม โดยประมาณ 7000 เยน หรือ คิดเป็นเงินไทยด้วยราคาประมาณ 2590 ยาท (100 เยน = 37 บาท) อืม แพงเหมือนกันนะเนี่ย ^^'' ป้าลองไปลดรายจ่ายดูนะคะ อย่างเช่นค่ากิน กินมาม่า (เอาไปเอง) ทุกมื้อ (เพราะในโรงแรมจะมีน้ำร้อนให้อยู่แล้ว) ลดค่าที่พัก (youth hostel ที่นี่ไม่ถูกอ่ะค่ะ บางที่แพงกว่า business hotel อีกต่างหาก) หาที่ถูกๆ กัดฟันสัก 2500 น่าจะอยู่ (ต้องหาดีๆ แต่ถ้าราคานี้มักจะเป็นห้องอาบน้ำกับห้องน้ำรวมน่ะค่ะ) ลดค่ารถไปอีก (ตีว่าป้าซื้อ JR RAIL PASS มา) ก็เสียค่าเข้าชมสัก 1000 เยน สรุป ป้าต้องจ่ายที่ 3500 เยน หรือ 1295 บาท ถูกดีมั้ยป้า (ตอบซะยาวเลย ^^'') จากคุณ : เด็กทะเล (ลิปิการ์) - [ 10 ต.ค. 48 23:41:23 ]

ความคิดเห็นที่ 117 * * * แหะ แหะ  เพื่อนมารับไปกินข้าว  แล้วมันมาสาย ป้าเลยแปะทู้ไปพลางๆอ่ะ   อุณหภูมิ  พื้นล่างปกติ บนยอดเขาราวๆ 6-  -2  มีแม่คะนิ้ง แต่ป้าขี้หนาวอ่ะ  ใส่นอนทุกคืน คานากาว่าก็อยากไปมากๆ  อิอิ  อยากไปนารา  เกียวโต แหม...ถ้าโยจังเล่นบทนั้น  ป้าก็ได้ลวนลามทางสายตาไง  อิอิ (ก็เอาดีวะ) โตเกียว 2000  อาจเกินนิดหน่อยนะ มีคนทำสถิติที่ 12000  ต่ออาทิตย์ด้วย (ไม่ได้นอนกล่องนะ) ป้ากะลังศึกษาอยู่  อิอิ  ต้องศึกษาการใช้  JR RAIL PASS เพราะหลายตังอยู่นะ   มาม่ากะไปซื้อที่โน่น  อ่าวลืม...ว่าแพง  T_T จากคุณ : ป้าหนอน - [ 11 ต.ค. 48 01:29:38 ]

ความคิดเห็นที่ 118 ผมชอบบรยากาศเมืองปักตาปูร์จังเลยครับ ดูสวยแบบสงบดี แหะ ๆ เปิดมาดู MOMO ป้าตอนตื่นนอน น้ำลายหกเลย น่ากินที่สุดเท่าที่เคยเห็นป้าเอามาให้ดูแล้ว จากคุณ : Alvo (Alvo) - [ 11 ต.ค. 48 06:44:09 ]

ความคิดเห็นที่ 119 โอ้ 118 คคห. ไม่น่าเชื่อว่าจะเข้าได้ แหะๆ แวะมาดูรูปสวย ๆ ชอบรูปพระสารีบุตร ใน คคห.ที่ 51 อ่ะ จากคุณ : บุษบามินตรา - [ 11 ต.ค. 48 14:27:20 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ตามอ่านทันแล้วค่ะ เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย จากคุณ : รสา รสา - [ 11 ต.ค. 48 23:09:47 ]