CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


                         ความลับในห้องสมุด                     

    ในโลกของเรามีนักวิทยาศาสตร์สองประเภท

    พวกหนึ่งเชื่อเหตุการณ์ต่างๆ นั้นเกิดขึ้นมาด้วยความสุ่มเสี่ยงทั้งนั้น
    อีกพวกหนึ่งเชื่อว่า มีสมการที่ควบคุมเหตุการณ์ทั้งหมดเอาไว้ เพียงแต่ตอนนี้เรายังค้นหามันไม่พบเท่านั้น

    และก็มีคนอีกสองประเภทคือ

    พวกหนึ่งเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ คิดว่าทุกสิ่งในโลกนี้สามารถนำวิทยาศาสตร์มาอธิบายเหตุผลได้
    ส่วนอีกพวกหนึ่งแล้วไซร้ เชื่อว่ายังมีสิ่งที่เราไม่รู้ ควบคุมความเป็นไปของทุกอย่างในสากลโลกอยู่ สิ่งนั้นเรียกว่า “พระเจ้า”

    แต่ถ้าจะจัดกันจริงๆ ในโลกนี้นะ ก็จะมีคนอีกสองจำพวก ก็คือ

    พวกแรกชอบจัดแบ่งคนออกเป็นสองประเภท  
    กับอีกพวกหนึ่งที่เบื่อพวกจัดแบ่งคนออกเป็นประเภท ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ว่างนักหรืออย่างไร เที่ยวไปแบ่งคนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น

    +++++++++++++++++++++++++++++++

    ถ้าคุณถามผมว่า ผมเป็นคนจำพวกไหน ผมอาจจะเป็นประเภทที่เรียกว่าพวกไม่เอาไหน เพราะตั้งแต่เกิดมานี่ ผมก็ปล่อยชีวิตให้เรียบเรื่อยไปอย่างนี้ ไม่ได้คิดถึงอนาคตข้างหน้า คนอื่นเขาเรียนหนังสือผมก็เรียนกับเขาบ้าง จนบัดนี้เรียนมาถึงชั้นม. 4 ก็ยังไม่รู้ว่าอนาคตข้างจะทำอะไรดี


    วันนี้ก็เช่นกัน เป็นวันแรกของอาทิตย์ที่สองในการเรียนเทอมแรก อาจจะเป็นความสุ่มเสี่ยงตามที่นักวิทยาศาสตร์ว่าไว้ ถ้านำลิงมากดแป้นพิมพ์ไปเรื่อยๆ บางทีข้อความที่มันพิมพ์ออกมาอาจจะกลายเป็นถ้อยคำที่ไพเราะที่สุด ตั้งแต่มนุษย์คิดค้นขึ้น


    ห้องที่ผมนั่งเรียนอยู่นี้ เป็นห้องที่รวมกลุ่มคนไว้หลายประเภท บางคนก็บ้าแต่งรถ บางคนก็บ้าดารา บางคนก็บ้าเล่นดนตรี บ้าการ์ตูน บ้างก็บ้าทำโมเดล ในห้องนี้จึงแบ่งคนไว้เป็นกลุ่มๆ ตามความสนใจ(บ้า)ของแต่ละกลุ่ม ส่วนผมนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเข้าไปกลุ่มไหนดี ผมก็เลยคิดว่าเอางี้ดีกว่า คุยกับคนที่นั่งข้างๆ เขาบ้าอะไรเราก็บ้าตามเขาไปก็แล้วกัน แล้วผมก็ลองคุยกับคนที่นั่งข้างๆ ที่กำลังนั่งคุยกับเพื่อนอีกสองคนอย่างออกรส


    “นี่พวกนายกำลังคุยเรื่องอะไรกัน ขอเราเข้ากลุ่มคุยบ้างซิ” ผมถามด้วยความหวัง ทำให้คนที่นั่งข้างผมเหลียวมามอง เขาขยับแว่นนิดหนึ่งแล้วจึงพูดออกมา

    “อืม… กำลังคุยกันว่าจะเอาหนู หรือนกดี”

    ที่แท้ก็เป็นพวกสนใจสัตว์เลี้ยงนี่เอง ดีล่ะเข้ากลุ่มนี้ดีกว่า

    “เอาหนูซิ ดูแลง่ายดี” ผมเสนอความเห็น นายแว่นคนเดิมหยีตาเล็กน้อย แล้วผงกหัว หันไปพูดกับเพื่อนในกลุ่มนั้น

    “เอาหนูก็ดีนะ นกมันอาจจะบินหนีได้ ไอ้เอกแกเป็นคนเตรียมมีดมานะ” คนที่นั่งคุยถัดไปที่ชื่อเอกก็ตอบรับกลับมา

    “งั้นแกเอาเทียนมาด้วยก็แล้วกัน ห้าเล่มนะอย่าลืม”

    “ไม่มีปัญหา” พูดแล้วก็หันมาหาผม “ถ้าแกอยากจะเข้ากลุ่ม ต้องทำพิธีกรีดเลือดดื่มก่อนนะ แกเป็นโรคอะไรหรือเปล่า โรคที่ติดต่อทางเลือดนะ”

    กรรมแท้! ผมลืมนับไปอีกกลุ่มหนึ่ง กลุ่มผู้สนใจมนต์ดำ ขณะที่ผมจะตอบนั้น ก็มีเสียงแว่วจากเพื่อนที่อยู่หน้าชั้นดังขึ้นมา

    “ครูมาแล้ว” นับว่ารอดพ้นไปอย่างหวุดหวิด เดี๋ยวผมต้องหาทางย้ายที่นั่งก่อน

    ++++++++++++++++++++++
    เธอแต่งตัวเรียบๆ ผมยาวประบ่า ตัวเล็กตามมาตรฐานหญิงไทยทั่วไป แววตาที่สดใสนั้นมีแววตื่นเต้นเล็กน้อย เหงื่อสองเม็ดประดับที่หน้าผาก จะว่าไปแล้วเธอก็เป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง ที่ผู้ชายทุกคนต้องเหลียวมองซ้ำ ถ้าไม่นับว่าเธอเป็นครูที่ยืนอยู่หน้าชั้นนะ


    “สวัสดีนักเรียนทุกคน” นำเสียงเธอสั่นเล็กน้อย หลังจากนั้นรวบรวมความกล้าอีกสามวิ แล้วจึงพูดออกมาอีกครั้ง

    “ครูเป็นครูคนใหม่ มาสอนแทนครูวิมลที่ลาคลอดนะ”

    ทุกคนในห้องเงียบ เป็นภาพที่น่าอึดอัด ปากน้อยๆ นั้นก็ขยับอีกครั้งพูดคำว่า

    “จ๊ะ”

    จากนั้นทุกคนในห้องก็หัวเราะครืนออกมา ลบภาพที่น่าอึดอัดทิ้งไปหมด ในขณะที่ครูคนใหม่ของเราก็ทำตัวไม่ถูกยืนบิดไปบิดมาอยู่หน้าห้อง


    “คุณครูอายุเท่าไหร่ครับ” นักเรียนผมตั้งชี้เด่ที่นั่งแถวหน้าคนหนึ่งพูดขึ้นมา

    “21 ค่ะ”


    แล้วคำถามต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมาจากนักเรียนทุกคน ผมพอจะจับใจความจากคำถามต่างๆ ออกมา เธอเพิ่งเรียนจบมา มารับหน้าที่สอนแทนครูวิมลที่ลาคลอด นับถือศาสนาพุทธ น้ำหนัก 46 กิโล เสื้อที่ใส่ไปตัดมาจากร้านหน้าสถานีตำรวจ ไม่ชอบดูละคร เวลาว่างชอบอ่านหนังสือทุกประเภท และสุดท้ายยังไม่มีแฟน


    หลังจากใช้เวลาครึ่งชั่วโมง เธอก็ถูกสอบสวนจนเสร็จสิ้น นี่ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีใครถามอะไรหรอก แต่เป็นเพราะครูฝ่ายปกครองเดินผ่านมานั่นเอง จังหวะนี้เธอจึงฉวยโอกาสเปิดหนังสือเรียนขึ้นมา ทบทวนเรื่องที่เราเรียนกับอาจารย์วิมล


    “แรงโน้มถ่วง….(หยุดสองวิ) หรือ gravitational force เป็นแรงดึงดูดระหว่างมวล….(หยุดสามวิ) 2 ก้อน ขนาดของแรงโน้มถ่วงขึ้นอยู่กับมวลของวัตถุทั้งสอง… (หยุดสองวิ) นิวตันพบว่าแรงโน้ม..ถวน.. (นักเรียนทุกคนในชั้นหัวเราะ)”


    การสอนในคาบนี้จึงเป็นไปในลักษณะนี้ ทุกคนจ้องจังหวะหัวเราะ ขณะที่เธอยิ่งมายิ่งพูดผิดๆ ถูกๆ จนจบการสอนผมนับได้ว่าเธอเช็ดเหงื่อไปห้าครั้ง


    ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทุกครั้งที่ทุกคนในห้องหัวเราะ ผมจึงรู้สึกผิด บางทีอาจเป็นเพราะไม่เห็นว่าเป็นเรื่องตลก (ถึงแม้ว่าผมจะหัวเราะตามเพื่อนในห้องไปสองครั้งที่เธอพูดผิดตอนแรกๆ) ผมเห็นแววตาที่ท้อแท้ก่อนเธอออกจากห้อง ผมแทบจะลุกขึ้นยืนพูดขอโทษกับเรื่องที่ผมหัวเราะ แต่ผมไม่ทำ ผมนั่งคิดเรื่องนี้ตลอดทั้งบ่าย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนเผลอไปรับปากไอ้แว่นที่นั่งข้างๆ ว่าจะกรีดเลือดดื่มเข้ากลุ่มมัน

    จนในที่สุดด้วยแรงอะไรบางอย่าง (ที่ไม่ใช่แรงโน้มถ่วง) ชักนำให้ผมฉีกกระดาษแผ่นหนึ่งแล้วเขียนข้อความลงไป


    “ทุกคนต้องมีครั้งแรก สำหรับการทำบางสิ่ง แต่มีไม่กี่คนหรอกที่จะประสบความสำเร็จในครั้งแรกที่ทำ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า คุณจะทำเสร็จหรือว่าล้มเหลว มันอยู่ที่ว่าคุณจะยอมรับความผิดพลาดนั้น และก้าวเดินต่อไปหรือไม่ อย่างนี้จึงไม่สร้างความผิดหวังแก่ตัวเอง พยายามต่อไปนะครับ ผมเอาใจช่วย”


    ผมเขียนข้อความนี้ขึ้น และนำไปเสียบไว้ในช่องเก็บเอกสารของครูซึ่งมีแยกไว้ตามหมวดวิชา แต่ละคนก็จะมีช่องเก็บจดหมายเอกสารแยกไว้ต่างหาก เพื่อให้นักการเอาเอกสารมาใส่ไว้ หวังว่าจะให้เธอได้อ่าน และมีกำลังใจต่อไป ขณะเดียวกัน มันก็เป็นการไถ่ความผิดที่ผมรู้สึกในวันนี้ ผมไม่ลงชื่อและเขียนบอกให้เธอรู้ว่าใครเขียนส่งมา

    ++++++++++++++++++++++++++

    ในเช้าวันต่อมา ผมลองเดินด้อมๆ มองๆ ไปที่ช่องเก็บเอกสาร เพื่อดูว่ากระดาษแผ่นนั้นยังอยู่หรือเปล่า ในแวบแรกที่มองมาแต่ไกล ผมเห็นแผ่นกระดาษยังคงเสียบคาไว้ที่เดิม ผมเดินไปดูด้วยความผิดหวัง แต่เมื่อเข้าไปใกล้จึงรู้ว่าเข้าใจผิด


    มีกระดาษเสียบคาไว้ แต่ไม่ใช่กระดาษของแผ่น ผมดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมา ในขณะเดียวกันก็เหลียวมองดูว่ามีใครเห็นหรือไม่ แต่ไม่มีใครอยู่ ผมมาโรงเรียนเช้าที่สุด เนื่องจากไม่ต้องขึ้นรถมา บ้านผมอยู่ติดกับโรงเรียน ในกระดาษแผ่นนั้นมีข้อความว่า


    “ขอบคุณค่ะ ห้องสมุด 0316” ผมรีบหยิบกระดาษแผ่นนั้นเก็บใส่กระเป๋า


    วันนี้ทั้งวัน ผมได้แต่นั่งนึกถึงเรื่องข้อความในกระดาษแผ่นนั้น ห้องสมุด 0316 คืออะไร ห้องสมุดอยู่อาคาร 5 ห้องที่ 4 ตามตัวเลขเรียกห้องมันก็ต้องเป็น 504 แล้วตัวเลข 0316 คืออะไร ผมนั่งคิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง ไอ้แว่นที่นั่งข้างๆ มาสะกิด


    “เฮ้ย ไอ้ภพ ตอนเย็นว่างไหม”

    “อะไรของมืึึึึึึึึง “ ผมถามมันด้วยสีหน้ามึนงง

    “ก็พิธีเข้ากลุ่มไง กรีดเลือดดื่ม” มันพยายามทำเสียงกระซิบกระซาบลึกลับ ผมลืมเรื่องนี้เสียสนิท ไม่น่าไปรับปากมันเลย

    “คงไม่ได้หรอก พ่อกูเป็นโรคเก๊าวะ ไม่รู้ว่ากูเป็นด้วยหรือเปล่า” ขอโทษด้วยนะพ่อ แต่ผมจำเป็นต้องหาข้ออ้าง


    “อ่า… งั้นก็คงไม่ได้หรอก เดี๋ยวพวกกูติดโรคนี้ไปด้วย” แล้วมันก็หันไปกระซิบกระซาบกลับกลุ่มของมันต่อ พอดีจังหวะนั้นไอ้เอกดึงหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ชั่วขณะนั้นความสงสัยของผมก็กระจ่างชัดขึ้น ผมรีบคว้าหนังสือเล่มนั้นมา แล้วถามไอ้เอก

    “นี่เลขอะไร”

    “ไหน อ้อ… ก็เลขหมวดหนังสือไง มืึึึึึึึึงไม่เคยเข้าห้องสมุดมาก่อนเหรอ”


    ผมส่งหนังสือ ตำนานพ่อมด คืนให้มัน ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าตัวเลข 0316 คืออะไร ตอนหมดคาบเรียนสุดท้าย ผมรีบบึ่งเข้าห้องสมุดทันที หวังว่าบรรณารักษ์คงยังไม่ปิดห้องสมุด

    ++++++++++++++++++++++

    กระดาษแผ่นนั้นอยู่ในหนังสือหมายเลข 0316 ตอนแรกผมกลัวว่าจะมีใครมาเปิดดูมันเสียก่อน แต่ก็ใจชื้นขึ้นมา เมื่อรู้ว่าตำแหน่งของหนังสือเล่มนั้นอยู่ในหมวดที่ไม่ค่อยมีคนเปิดอ่าน ตัวหนังสือถูกซุกอยู่ในซอกลึกของชั้น แล้วผมก็ได้อ่านข้อความจากเธอ


    “ขอบคุณนะคะ ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่ความหวังดีของคุณขอรับไว้ด้วยใจ ฉันสัญญาว่าจะพยายามต่อไปไม่ย่อท้อ ข้อความของคุณเป็นกำลังใจให้ฉันมาก ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”


    และเธอก็ทำได้อย่างที่เธอว่าจริงๆ ในการเรียนวันต่อมา เธอหอบข้าวของพะรุงพะรังเข้าห้องมา สีหน้าดีขึ้นกว่าตอนแรกมาก ในชั่วโมงนี้พวกเราก็หัวเราะกันอีก แต่ไม่ใช่หัวเราะเธอ เป็นหัวเราะไอ้วิทซึ่งหยอดสารทดลองผิดพลาด ทำให้เกิดกลิ่นก๊าซไข่เน่ากระจายเต็มห้อง

    เรื่องทุกอย่างมันน่าจะจบลงตรงนี้ แต่เหมือนผมบังคับตัวเองไม่ได้ ผมเขียนข้อความลงกระดาษส่งให้เธออีกฉบับ และก็ไม่ได้ลงชื่อเช่นเคย

    <<อ่านต่อด้านล่างครับ>>

    จากคุณ : egotech - [ 10 ต.ค. 48 07:52:34 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป