CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    Life in a week : วันสุดท้ายของวันที่เหลือ

    สองวันก่อน--เสาร์-อาทิตย์  ผมได้มีโอกาสชมภาพยนตร์อยู่สองเรื่อง  คือ  'Armageddon'  และ 'The Day After Tomorrow'  ทางช่องสถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวี  Star Movies

    Armageddon (1998) - เนื้อหาสาระของภาพยนตร์ชี้ชัดไปถึงการที่จะ 'สิ้นโลก' ซึ่งมีสาเหตุเกิดมาจากดาวหางดวงหนึ่งซึ่งมีวงโคจรจะต้องพุ่งเข้าชนโลก  หนทางเดียวที่จะรักษาโลกใบนี้ให้คงอยู่ได้  คือ  ต้องทำลายเจ้าดาวหางดวงนี้เสีย  โดยวิธีทางเดียวซึ่งจะต้องส่งคนกลุ่มหนึ่งขึ้นไปฝังระเบิดนิวเคลียร์บนดาวหางนั้น--ผู้กล้า-ผู้เสียสละ-วีรบุรุษ

    บทสรุปของ  Armageddon  เป็นสิ่งที่แน่นอนว่า 'มนุษย์' สามารถต่อสู้เอาชนะ-ฝืนธรรมชาติได้อีกครั้งหนึ่ง  และสุดท้าย 'Hero' ตัวจริงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก  'สหรัฐอเมริกา'  (ไม่ต่างไปจากจาก  Deep Impact  และ  ID4)  ไม่ผิดการคาดหมาย  

    แต่สำหรับ The Day After Tomorrow (2004) - มาคราวนี้เนื้อหายังคงพูดถึง 'วันสิ้นโลก'  แต่มีข้อแตกต่างจาก  Armageddon  คือ  สาเหตุนั้นไม่ได้มาหรือเกิดจากนอกโลก  แต่เกิดจากธรรมชาติบนโลกของเรานี้เอง-ธรรมชาติที่ปรวนแปรจากน้ำมือของมนุษย์โลกด้วยกัน

    เมื่ออุณหภูมิโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆทำให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือละลาย  ปริมาณน้ำในมหาสมุทรเพิ่มขึ้น  หลายประเทศต้องประสบกับภัยน้ำท่วม--ท่วมแบบเมืองทั้งเมืองจมลงสู่ใต้กระแสน้ำ  ประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบขั้วโลกเหนือต้องประสบกับภาวะอุณหภูมิต่ำเกินกว่าจุดเยือกแข็ง..ทั้งหมดกลับไปสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้ง...  

    ประชาชนในสหรัฐอเมริกาถูกสั่งให้อพยพลงทางตอนใต้ของประเทศ  หลายคนเคลื่อนย้ายเข้าไปในประเทศเม็กซิโกในสภาพของผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย!  มีการเจรจาจากทางรัฐบาลสหรัฐฯว่าจะยกเลิกหนี้สินบางเรื่องให้กับเม็กซิโกหากยอมเปิดด่านให้ประชาชนของตนเดินทางเข้าไปหลบลี้หนีภัยจากธรรมชาติ...

    บทสรุปของ The Day After Tomorrow  สหรัฐอเมริกาได้ออกมายอมรับถึงความผิดพลาดจากการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมต่างๆที่มีส่วนสร้าง-เพิ่มอุณหภูมิความร้อนให้กับโลก  และยอมรับว่า  ที่ผ่านมาประเทศของตนนั้นเห็นแก่ตัวมากกว่าส่วนรวม!

    - นี่ถ้าหากว่า The Day After Tomorrow อำนวยการสร้างโดย 'Jerry Bruckkheimer' แทน 'Roland Emmerich' แล้วล่ะก็  ผลสรุปมันคงไม่ออกมาในแนวนี้-อย่างนี้  เพราะนาย Jerry นั้นพี่แกชอบสร้างภาพยนตร์ในแนวที่เชิดชูเกียรติประวัติประเทศสหรัฐฯ,  วีรกรรม-วีรบุรุษอเมริกัน  ผ่านทางเนื้อหาและตัวละคร  ไม่ว่าจะเป็น  Con Air (1997),  Armageddon (1998),  Enemy of the State (1998),  Pearl Harbor (2001)  และ  Black Hawk Down (2001).

    ..............................

    จากโลกมายาซึ่งสร้างจากจินตนาการบนพื้นฐานความเป็นจริง  ความน่าจะเป็นของภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนั้นล้วนสามารถเกิดขึ้นได้จริง!  แต่จะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วนั้นย่อมขึ้นอยู่กับตัวแปรต่างๆประกอบเข้าด้วยกัน

    จริงอยู่ที่ว่า  หากโลกจะต้องดับสิ้นจากมหันตภัยจากนอกโลก--จักรวาล  มันคงเป็นเรื่องยากซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์  เมื่อถึงเวลานั้นมนุษย์อาจจะไม่สามารถต่อสู้กับมันได้เหมือนอย่างใน  Armageddon--หรือมองในแง่ดี 'เรา' อาจจะทำได้ดียิ่งกว่าหนัง  

    แต่สำหรับ  The Day After Tomorrow  แล้ว  มหันตภัยซึ่งเกิดจากสภาพธรรมชาติแวดล้อมที่แปรเปลี่ยน-ปรวนแปรที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์เองนั้น  วันนี้เรายังมีเวลาเพียงพอที่จะแก้ไขเพื่อลดความน่าจะเป็นของเหตุการณ์น้ำท่วมโลกลงได้  เพราะเรา--มนุษย์นั้น  ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญ (อย่างมาก..ถึงมากที่สุด) ที่จะเร่งหรือชะลอความเร็ว-ช้าของความน่าจะเป็นนั้น

    'เรา' ในฐานะพลโลกคนหนึ่งสามารถชะลอและยับยั้งมหันตภัยดังกล่าวได้  ไม่จำเป็นต้องรอให้เป็นเรื่องของระดับประเทศ  หรือภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งของโลก  บ้านใครมีเครื่องปรับอากาศก็ลดการใช้งานลงเสียบ้าง  ใครมีรถยนต์ใช้ก็ใช้ในยามที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ  เพราะทั้งการใช้เครื่องปรับอากาศและรถยนต์นั้นมีส่วนช่วยเพิ่มอุณหภูมิของโลกให้สูงขึ้นมากพอๆกับโรงงานอุตสาหกรรม--เป็นต้น

    ทุกครั้งที่เราทำการประหยัด  ผมอยากให้คุณคิดว่า  เราได้ทำการ 'อนุรักษ์ทรัพยากร' และ 'รักษาโลก' เป็นอันดับแรก  มากกว่าเรื่องการประหยัดเงินค่าใช้จ่ายที่จะต้องควักออกจากกระเป๋าของเรา--การสร้างจิตสำนึก  

    - จิตสำนึกในที่นี้  คือ  การมองเรื่อง 'ส่วนรวม' มากกว่า 'เรื่องส่วนตัว'.

    ..............................

    บทการลงโทษจากธรรมชาติได้มาเคาะประตูบ้านเราบ้างแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 'คลื่นซึนามิ' เมื่อ 26 ธันวาคม  ปลายปีที่แล้ว,  'พายุเฮอริเคน' ที่โหมพัดกระหน่ำถล่มเมืองนิว ออร์ลีนอย่างรุนแรง,  'แผ่นดินไหว' ในปากีสถาน  และยังคงมีอีกต่อไป..ต่อไป

    หลายคนบอก-พูดว่า..นี่คือวิกฤติธรรมชาติ--ธรรมชาติวิปริต  หากแต่ไม่ใช่  'มนุษย์'  ต่างหากที่เป็นผู้วิปริตเสียเอง  มนุษย์ซึ่งมีแต่ทำลายล้าง  ไม่เคยคิดรักษาธรรมชาติ

    หากธรรมชาติพูดได้  เขาอาจจะบอกว่านี่มัน  'ไม่ใช่คำเตือน-ขู่'  หากแต่นี่เป็น 'บทลงโทษที่แท้จริง-เอาจริง'  หลังจากที่เขาได้ส่งสัญญาณเตือนเรามานาน--นับครั้งไม่ถ้วน  .

    ด้วยมิตรภาพ
    10 ตุลาคม 2548  
    อานันท์ วุฒิสุวรรณ
    kopkop90@hotmail.com

    จากคุณ : อานันท์-โจนาธาน - [ 11 ต.ค. 48 08:07:52 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป