ความคิดเห็นที่ 66
ความมาคุเริ่มเกิดในบรรยากาศ ลุงไกด์ของแม่สาวญี่ปุ่นเดิน มาหาป้า ด้วยสีหน้าจ๋อย บอกว่าลูกทัวร์เขาป่วย พอจะช่วยอะไร ได้ไหม เขาเป็นผู้ชายไม่สะดวก ทำไมเรียกตูฟระ ไม่เรียกแม่บ้าน ที่นี่ เอาๆ ไหนมันก็บากหน้ามาทั้งลุงทั้งหลาน ไปบ้ากะมันหน่อย หยูกยาก็มีเยอะ ไปที่ห้องเธอ แม่หนูนอนนิ่ง บ่นเมื่อยไปหมด ป้าเลยให้ ยาแก้ปวดกล้ามเนื้อ กับแบ่งครีมให้ทา แล้วประคองไปห้องน้ำ เธอท่าทางเหนื่อยจัด ลุงเจ้าปลากัดรีบเข้ามาถามว่า เธอเป็นโรค แพ้ความสูงหรือเปล่า (มันเป็นไกด์ได้ไงวะ)
ด้วยความคิดของป้า เธอไม่ได้เป็นโรคแพ้ความสูง หรือ "Attitude sickness" รู้จักกันไหมเนี่ย มันคืออาการเมื่อร่างกาย พบกับความเบาบางของอากาศ และไม่สามารถปรับตัวได้ ไปใหม่ๆ อาจยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอก้าวเดินหรือออกกำลังกายได้สักพักเดียว จะเริ่มวิงเวียน ปวดหน่วงๆแถวท้ายทอย นั่นแสดงว่า...โรคแพ้ความสูง กำลังมาทักทายแล้ว นอกจากมึนหัว วิงเวียน หน้ามืด หวิวๆ ราวจะเป็นลมแล้ว ป้าเคยอ่านมาว่าคนที่เป็นแล้วบอกว่ามันน่ารำคาญ กว่าอาการเมารถเมาเรือหลายเท่า เป็นแล้วแทบโงหัวไม่ขึ้น แต่เมื่อนอนราบก็จะยิ่งวิงเวียน อยากคายของเก่าออกจากร่างกาย เพียงอย่างเดียว.. ถ้าเริ่มมีอาการอย่างที่ว่ามานี้ ถือว่าวิกฤตแล้ว เพราะจะกินอะไรหรือแม้แต่ดื่มน้ำได้เลย สักพักก็จะหมดสติ ต้องหามกันลงไป
ดังนั้นหากแพ้ความสูงและยังมีสติอยู่..วิธีเดียวที่จะรักษาโรคนี้ได้ คือเดินทางกลับสู่ที่ต่ำลงไปเท่านั้น...
จะขอนำรายละเอียดของโรคนี้มาให้อ่าน เพื่อคนที่ใฝ่ฝัน ถึงที่สูงๆ พวก ทิเบต คาราโครัม ภูฐาน และจีนบางส่วน เช่นแชงกรีลา ได้ศึกษาเอาไว้เพื่อดูว่า คุณเหมาะหรือไม่...
จากหนังสือ Health Today February 2004 เขียนโดย พญ.สมศรี ประยูรวิวัฒน์
อาการปรับตัวไม่ทันต่อการขาด ออกซิเจน มี 3 แบบ
1. AMS (acute mountain sickness) มีอาการปวดศีรษะ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ มักเกิดที่ความสูงเกิน 2,000 เมตร ส่วนใหญ่เริ่มมีอาการภายใน 6-10 ชม.หลังขึ้นไปบนที่สูงเกิน 2,500 ม. และมีโอกาสเป็นถึง 42% ที่ความสูง 3,000 ม. หรือขึ้นเกิน 600 ม.ใน 24 ชม. โดยไม่แวะพักให้ร่างกายปรับตัวเสียก่อน
2. HACE (high-altitude cerebral edema) คือสมองบวมจากการขาดออกซิเจน ทำให้ความดันในกะโหลก ศีรษะสูง มีอาการซึมลง เดินเซ สับสน ประสาทตาบวม และเลือด ออกที่จอประสาทตา น้อยรายมีอาการชัก
3. HAPE (high-altitude pulmonary edema) เกิดจากปอดบวมน้ำ มีอาการเหนื่อย หายใจเร็วและหัวใจ เต้นเร็วขณะพัก ไอ ถ้าเป็นมาก ก็จะไอมีเสมหะเป็นเลือด
แบบ 1-2 เป็นอาการทางสมอง แบบ 3 เป็นอาการทางปอด อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ โดยไม่จำกัด เพศ วัย หรือสภาพ ความแข็งแรงของร่างกาย (physical fitness) ถ้ามีอาการเพียง กลับสู่พื้นราบ อาการจะดีขึ้น
วิธีดูแลตนเอง
1. พักให้อาการดีขึ้นก่อน จึงขึ้นที่สูงต่อ 2. หากกินยาไม่ได้ผลควรกลับลงที่ต่ำ 3. หากเริ่มมีอาการแรกของสมองบวมควรลงสู่ที่ต่ำ
การป้องกันและรักษา
1. ไม่ควรขึ้นที่สูงเกิน 600 ม.ใน 24 ชม. ควรพักให้ร่างกายปรับตัวก่อน 2. ให้ออกซิเจนเมื่อเริ่มมีอาการ 3. กินยาที่ป้องกันและลดอาการที่ได้ผลคือ Acetazolamide (ถ้าแพ้ยา sulfa ไม่ควรกิน) และ Dexamethasone 4. กินยาแก้ปวดศีรษะที่ได้ผล คือ Aspirin และ Ibuprofen 5. กินยาแก้อาเจียน 6. ไม่ควรกินยานอนหลับที่กดการหายใจ
ทริปของคุณหมอไปเที่ยวทิเบต ที่ทิเบตก็จะมีเครื่องดื่มพื้นเมือง ประมาณว่าเป็นน้ำสมุนไพร เรียก Tibet Rhodiora มีสีชมพูขุ่นเล็กน้อย รสหวานเลี่ยน ๆ บรรจุกระป๋องแบบน้ำอัดลม นัยว่าป้องกัน high-altitude sickness ได้ เวลานอนควรวางแก้วใส่น้ำไว้ที่หัวนอนหรือใกล้เตียงเพื่อ เพิ่มความชื้น เวลาเดินควรเดินช้า ๆ ส่วนใหญ่จะพบกับอาการ นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท เวียนศีรษะ เป็นเรื่องปกติ
ถ้าผู้ที่ใกล้เวลามีรอบเดือนควรเตรียมตัว อาจมาก่อนกำหนดได้ เรื่องสายตาอาจได้รับผลกระทบชั่วคราวอาจจะเกิดจากจอประสาท ตาบวมเนื่องจากความกดอากาศในที่สูง
ขอขอบพระคุณทั้งคุณหมอ และคุณ ilykann แห่ง TKT เพราะป้าก็ลอกเธอมาอีกที ขอขอบคุณ ณ ที่นี้ค่ะ
จากคุณ :
ป้าหนอน
- [
19 ต.ค. 48 22:53:49
]
|
|
|