CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    คนตาขาว

    คนตาขาว


    เมื่อปลายปี พ.ศ.๒๕๔๗ เมืองไทยได้ประสบกับภัยพิบัติแบบใหม่ ที่ไม่เคยประสบมาก่อนเลยในช่วงสองร้อยกว่าปี ของกรุงรัตนโกสินทร์ ภาษาอังกฤษเขียนว่า TSUNAMI มาจากภาษาญี่ปุ่น อ่านออกเสียงว่า สึนามิ ทางราชบัณทิตบัญญัติว่า ธรณีพิบัติภัย เป็นภัยธรรมชาติที่เกิดจากแผ่นดินไหวใต้มหาสมุทร มีกำลังแรงมากจนทำให้น้ำทะเลปั่นป่วนเป็นคลื่นยักษ์ วิ่งถาโถมเข้าหาฝั่งที่อยู่ไกลนับพันกิโลเมตรได้ เมื่อถึงฝั่งแล้วก็ขึ้นไปกวาดล้างทำลายสิ่งกีดขวางทุกอย่างเป็นระยะทางอีกหลายร้อยเมตร แล้วก็ลากเอาสิ่งเหล่านั้นลงทะเลไปในชั่วเวลาเพียงพริบตาเดียว เหลือแต่ความโล่งเลี่ยนเตียนราบไว้เบื้องหลัง

    นับเป็นภัยพิบัติที่ร้ายแรงยิ่ง เช่นเดียวกับภัยธรรมชาติที่เคยมีมาตั้งแต่โลกได้กำเนิดมาเหมือนกัน เช่น ภูเขาไฟระเบิด พายุใต้ฝุ่น หรือวาตภัย  น้ำท่วม หรืออุทกภัย และความแห้งแล้งข้าวยากหมากแพง  หรือทุพภิกขภัย  ซึ่งเมืองไทยนั้นจะประสบภัยธรรมชาติเหล่านี้เป็นส่วนน้อย เมื่อเทียบกับต่างประเทศทั้ง    เอเซีย ยุโรป และอเมริกา

    แต่เรื่องของผมไม่ใช่เรื่องของภัยธรรมชาติ เป็นภัยที่เกิดจากความประมาทของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ คืออัคคีภัย ในหมู่บ้านของผมที่อยู่อาศัยมาเป็นเวลานานมากนั้น มีการเกิดไฟไหม้บ่อยครั้ง เท่าที่ผมลองทบทวนดูได้มากกว่าสิบครั้ง ที่ดับได้ทันก็มีแต่เป็นส่วนน้อย และโชคยังดีในรายที่ดับได้ทันนั้น เป็นรายที่อยู่ติดกับบ้านผมครั้งหนึ่งด้วย ยังไม่ทันจะหัวใจวายตายก็ดับได้เสียก่อน

    ส่วนอัคคีภัยที่ไม่ได้เกิดในหมู่บ้านของผมก็ได้เจออยู่สองสามครั้ง  หนแรกเมื่อเป็นผู้ช่วยภารโรงอยู่ที่สำนักงานในหน่วยงานแห่งหนึ่งแถวบางซื่อ  คือก่อนที่จะได้บรรจุเป็นเสมียนนั้น จะต้องฝึกงานก่อน งานที่ต้องฝึกนั้นก็คือการปิดเปิดประตูหน้าต่าง และ ทำความสะอาดสำนักงาน วิ่งรับส่งหนังสือ รับใช้เจ้านายด้วยการซื้ออาหารกลางวัน เป็นต้น ผมจึงต้องไปถึงที่ทำงานเช้ากว่ากำหนด และกลับเป็นคนสุดท้ายหลังจากปิดสำนักงานแล้ว

    วันนั้นผมไปถึงสำนักงานเวลาก่อนเจ็ดนาฬิกา และเห็นมีควันโขมงขึ้นจากหลังคาที่ทำงานของผม จึงรีบวิ่งขึ้นไปไขกุญแจประตู ห้องทำงานซึ่งอบอวลไปด้วยควันไฟ  

    ความจริงต้นเพลิงนั้นไม่ได้เกิดในห้อง แต่อยู่ใต้ห้องซึ่งเป็นอาคารชั้นเดียว ใต้ถุนสูงแบบโบราณ ผนังเป็นปูนซีเมนต์แต่พื้นเป็นไม้แผ่นกว้างและหนามาก

    ความที่มีอายุใช้งานมานาน จึงมีร่องห่าง ๆ ควันไฟก็ลอยผ่านร่องกระดานขึ้นมา และพุ่งออกไปทางฝ้าหลังคาเบื้องบน จึงดูเหมือนว่าไฟกำลังไหม้ที่ทำงานของผม อยู่

    เวลานั้นหน้าต่างทุกบานยังปิดอยู่ ในห้องมีแต่ความมืดเห็นเปลวไฟสีส้มแลบเลียขึ้นมาตามร่องกระดาน ดูเหมือนมันกำลังไหม้จนจะยุบตัวลงไปในขณะนั้น ทำให้ผมตกตลึงและเกิดความกลัวขึ้นมาอย่างที่เรียกว่าขนหัวลุก

    สมองที่สั่งให้เข้ามาขนของที่มีค่า เช่นพิมพ์ดีดหรือนาฬิกาข้างฝาผนัง หรืออะไรอีกก็ลืมหมด  

    ผมเข้ามาตัวคนเดียวยังไม่มีใครมาทำงานเลย จะขนเอาอะไรไปได้มากกว่าหนึ่งชิ้น

    แล้วถ้าพื้นมันยุบโครมลงไป ใครจะหาเลี้ยงแม่ผมต่อไปเล่า

    คิดได้เท่านั้นก็กระโดดโหยงเหยง ข้ามร่องกระดานที่มีเปลวไฟ กลับออกมาอย่างรวดเร็ว ขณะนั้นใครต่อใครก็วิ่งเข้ามาช่วยดับไฟด้วยด้วยเครื่องฉีดน้ำยาดับเพลิง จนหมดไปหลายหม้อ      

    ไฟนั้นจึงได้ดับลง โดยไม่ได้ทำความเสียหายให้แก่อาคารเก่าแก่นั้นมากนัก เพราะใต้ถุนด้านล่างนั้นเป็นที่เก็บเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ซึ่ง อยู่ในความดุแลของโรงรถ  

    เจ้าหน้าที่เข้ามาลองติดเครื่องปั่นไฟแต่เช้า  แล้วพลาดท่าอย่างไรไม่ทราบเกิดไฟช็อตติดน้ำมันเชื้อเพลิงลุกโพลงขึ้น เมื่อสำรวจความเสียหายแล้วก็มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็กไหม้ไปเพียงเครื่องเดียว

    ไม้กระดานพื้นที่ผมเหยียบยังไม่ทันไหม้เลย

    ผมเองจึงรู้สึกละอายใจ ที่ตื่นกลัวเสียจนดูเหมือนว่าไฟกำลังโหมอยู่รอบตัวอย่างในหนังประเภทเจมสบอนด์ ๐๐๗ จนต้องเผ่นออกมาแทบไม่เหลียวหลัง

    แต่ก็ว่าไม่ได้ห้องทำงานนั้นเต็มไปด้วยเอกสารที่เป็นกระดาษ และตู้โต๊ะเก้าอี้ที่เป็นไม้ทั้งนั้น ถ้าไฟไม่ดับอย่างรวดเร็วเช่นนั้น มันอาจจะลุกไหม้ขึ้นเองก็ได้

    ผมปลอบใจตัวเอง แล้วก็คอยรับหน้ารายงานนาย กับเพื่อนร่วมสำนักงานที่จะทยอยเข้ามาให้ดูขึงขัง สมกับที่เป็นผู้ประสบเหตุคนแรกให้ได้

    ตั้งแต่นั้นมาผมจึงเข้าใจว่า ทำไมชาวบ้านที่ถูกไฟไหม้จึงขนแต่ของที่ไม่ค่อยเป็นประโยชน์ออกมาจากบ้าน เช่นโต๊ะตัวโต ๆ หรือที่นอนอันเกะกะเก้งก้าง จนแม้แต่ตุ่มน้ำซึ่งหนักมากก็ยังแบกไหว ทั้งนี้ก็เพราะความตกใจกลัวจนแทบหมดสตินั่นเอง
    ผมจึงไม่กล้าหัวเราะขำคนเหล่านั้นอีกเลย

    ส่วนตัวผมนั้นทุกครั้งที่เห็นไฟไหม้ จะรู้สึกขนลุกและใจสั่น น้ำตาพาลจะไหลเสียให้ได้ทุกคราวไป

    ในหน่วยงานแห่งเดียวกันนั้นเอง เมื่อผมได้เป็นเสมียนเต็มตัวแล้ว ก็ยังเกิดไฟไหม้ขึ้นอีกสองครั้ง

    หนหนึ่งผมอยู่เวรกลางคืน เกิดไฟไหม้คลังพัสดุ ที่เก็บเครื่องมือเครื่องใช้ของสำนักงาน โดยสาเหตุเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรตามธรรมเนียม

    ทั้ง ๆ ที่มีหน่วยดับเพลิงอยู่ใกล้ที่สุดเพียงไม่กี่ร้อยเมตร แต่ปรากฏว่ารถดับเพลิงสตาร์ทไม่ติด กว่ารถดับเพลิงที่ไกลกว่าจะมาถึง ข้าวของที่อยู่ในคลังก็เป็นเหยื่อไฟจนหมดเกลี้ยง

    ส่วนผมได้แต่ยืนขนลุกเกรียวมองดูอยู่ที่หน้าต่างห้องทำงานของผมเท่านั้น ดูเหมือนผู้รับผิดชอบต้องรับกรรมไปตาม ๆ กัน

    อีกคราวหนึ่งผมไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง เพราะอาคารนั้นข้างบนเป็นสถานีวิทยุกระจายเสียง ใต้ถุนสูงเป็นร้านขายข้าวแกง  ผมไปนั่งกินอาหารกลางวันในวันนี้ พอรุ่งขึ้นเช้าไปทำงาน เห็นแต่เสาดำโด่เด่ไปครึ่งหลัง ไม่ทราบว่าเสียหายมากหรือน้อย สงสัยไฟฟ้าจะลัดวงจรตามเคย

    อีกครั้งหนึ่งผมกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง นั่งกินเหล้าอยู่ที่ร้านเล็ก ๆ หน้าตลาดบางขุนศรี ริมถนนจรัญสนิทวงศ์ แถวซอยสามสิบห้า ในเวลาหัวค่ำ

    ที่ฝั่งตรงข้ามใกล้สะพานลอยคนเดิน เกิดมีเปลวเพลิงลุกพรึ่บขึ้นบนชั้นดาดฟ้าของตึกแถว สูงระดับเหนือสะพานลอยนั้น ซึ่งเป็นที่ตากไม้แปรรูปสำหรับใช้ทำเครื่องเรือนจำพวกตู้โต๊ะเก้าอี้ แลเห็นหัวคนวิ่งวุ่นไปมา

    สักครู่หนึ่งก็มีรถดับเพลิงแล่นมาจอดและฉีดน้ำ ไม่กี่นาทีก็ดับ ดูเหมือนจะไหม้ไปแต่กองไม้บนดาดฟ้าเท่านั้น ยังไม่ติดตัวอาคาร

    ผมกับเพื่อนก็ยังคงนั่งกินเหล้าโดยไม่ลุกไปไหน แต่รู้สึกขนลุกเกรียว และดื่มถี่ ๆ ด้วยความตื่นเต้น พร้อมกับลุ้นเอาใจช่วยเขาไปด้วยเท่านั้น เพราะไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคในการดื่มกินของเราเลย

    นี่แหละที่ท่านว่า เหตุร้ายนั้นถ้าไม่เกี่ยวข้อง กับญาติพี่น้องหรือครอบครัว หรือตนเองแล้ว ความทุกข์มันก็ดูจะน้อยลงไป กว่าที่เกิดกับตนโดยตรง  หรือถ้าไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่เป็นทุกข์

    ครั้งหลังเป็นเวลาประมาณสองยามเศษ ผมกับเพื่อนซี้อีกคนหนึ่งกลับจากกินเลี้ยงแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิถิ่นเก่า กำลังตุ่ยได้ที่ดีทั้งสองคน

    นั่งรถแท็กซี่ผ่านมาทางถนนราชวิถี ถึงสี่แยกที่ตัดกับถนนพระรามห้า มุมสวนจิตรลดา ก็เห็นคนวิ่งกันเกรียวกราว  

    โชเฟอร์รีบหยุดรถโดยไม่ได้สั่ง ร้องว่าไฟไหม้แล้ววิ่งไปดูเหตุการณ์ ผมกับเพื่อนไม่รู้จะทำยังไงก็เลยวิ่งตามเขาไปด้วย

    ปรากฏว่าห้องแถวสองชั้นตรงหัวมุมนั้น ห้องหนึ่งมีไฟแลบออกมาทางด้านหลัง เพื่อนวิ่งนำหน้าจะเข้าไปช่วยเขาขนของ พอเจอเปลวไฟก็หันกลับ
    ผมซึ่งตามไปติด ๆ ก็ต้องเผ่นด้วย

    เจ้าของบ้านเป็นผู้ชายยกเครื่องรับโทรทัศน์ ออกมาทางหน้าต่างชั้นบน ลงมาที่กันสาดเพื่อนตัวสูงกว่าก็วิ่งเข้าไปรับและส่งให้ ผม ก็แบกข้ามถนนไปวางกองไว้ที่ทางเท้าริมคลองเปรมประชากร

    แล้วก็เลยรับส่งกันอย่างนั้นได้หลายอย่าง กว่าอีตาเจ้าของบ้านจะกระโดดลงมาจากกันสาด และรถดับเพลิงที่เพิ่งจะมาถึงก็ฉีดน้ำดับเพลิง เพราะห้องแถวนั้นอยู่ริมถนนใหญ่ตรงข้ามกับคลองที่มีน้ำเต็ม อีกไม่นานเพลิงก็สงบลง โดยไหม้ไปเพียงสองสามห้อง

    ส่วนผมกับเพื่อนก็นั่งหอบ อยู่ข้างกองข้าวของที่เขาขนมาให้ โดยไม่ได้ไปไหนเพราะกลัวของเขาหายเราจะพลอยบาปไปด้วย

    จนน้ำไฟสงบเงียบเรียบร้อยดี เมื่อเวลาเกือบตีสอง เจ้าของเขามาขอบอกขอบใจ จึงได้ร่ำลากันเดินทางกลับบ้าน

    แต่ก็ดูเหมือนจะแวะเข้าไปเติมพลังแถวบ้านผมอีกคนละกั๊ก เพราะไอ้ที่กินมาเมื่อหัวค่ำระเหยหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ แล้วเพื่อนผมที่อยู่ถึงบางขุนพรหม ก็แยกไป

    เช้าวันรุ่งขึ้นพอไปถึงที่ทำงาน เพื่อนฝูงก็ทักกันใหญ่ว่าบ้านเป็นอย่างไรบ้าง ไฟไหม้เมื่อคืนยังมาทำงานได้อีกหรือ ผมก็ว่ามันไหม้ห่างบ้านผมเป็นกิโล จะเป็นอะไรไป เพื่อนก็เอาหนังสือพิมพ์ฉบับเช้ามาให้ดู

    ก็ปรากฏว่ามีภาพผมนั่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ อยู่ข้างกองสัมภาระ ที่มีทีวีเครื่องนั้นเห็นเด่นชัด จึงถึงบางอ้อ

    ผมดูหน้าตนเองในภาพแล้วยังขำไม่หาย  เหมือนคนที่ถูกไฟไหม้หมดตัวยังไงยังงั้น.....เฮ้อ......เวรของกรรม  

    ความกลัวอัคคีภัยขึ้นสมอง.

    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 18 ต.ค. 48 07:08:45 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป