CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ต้นเมเปิลผลัดใบ (เรื่องสั้นแนวหัดเขียน ขอคำแนะนำค่ะ)



    เสียงไซเรนแผดร้องแสบแก้วหู ในขณะที่ร่างของผมถูกขนส่งไปด้วยความเร็วสูง เจ้าหน้าที่ในรถจับตาราวกับเกรงว่าผมจะสูญสลายหายไปจากโลกนี้ ผมยังจำสีหน้าผู้คนที่มุงดูเหตุการณ์ขณะที่ร่างของผมถูกลำเลียงขึ้นรถ ต่างแสดงสีหน้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับไอ้หนุ่มหัวเหม่งคนนี้ ผมบอกคุณไม่ได้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่เพียงว่าเรื่องราวในวันนี้มันคงเริ่มต้นจากวันนั้น…



    “ขอบคุณคุณหมอและเจ้าหน้าที่ทุกท่านนะคะ ที่ช่วยดูแลเจ้าต้นมาโดยตลอด” แม่ของผมกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมไม่แน่ใจว่าแม่รู้สึกดีใจหรือเสียใจกันแน่ ที่หมอบอกว่าผมสามารถกลับบ้านได้แล้ว แต่ก็ควรมีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะในเรื่องการกินยา เพื่อไม่ให้ผม ‘สติแตก’ เอาสายสิญจน์ผูกข้อเท้าตัวเองแล้วลงไปนอนเล่นก้นสระว่ายน้ำเหมือนที่ผมทำไปเมื่อหกเดือนก่อน จริงๆแล้วผมทำไปแบบมีสตินะครับ อย่างน้อยหากผมได้ตายสมใจอยากจริงๆ การใช้สายสิญจน์ผูกข้อมือข้อเท้าก็ช่วยลดภาระให้บรรดาสัปเหร่อไปหนึ่งขั้นตอน

    ผมนั่งมองทิวทัศน์อันคุ้นตาระหว่างทางจากโรงพยาบาลกลับบ้าน เหมือนภาพยนต์ที่ถูกฉายซ้ำไปซ้ำมา นี่เป็นรอบที่หกแล้วที่ผมถูกนำไปกักขังเพื่อเรียกสติที่แหล่งนัดพบของคนช่างฝันอันแสนบอบบางแห่งนี้ ที่ผมเรียกแบบนี้ เพราะผมไม่คิดว่าเพื่อนๆของผมที่นั่นเป็น ‘บ้า’ อย่างที่สังคมกล่าวหา พวกเขาเป็นแค่มนุษย์ที่บอบบางเกินกว่าที่จะอยู่ในโลกของความจริง จึงเลือกที่จะอยู่ในโลกแห่งความฝันที่พวกเขาสร้างขึ้น บรรยากาศภายในรถระหว่างผมกับแม่ ตึงราวกับสายกีต้าร์ที่ถูกขึงจนตึงมาก มากจนแม้แต่ อีริค แคลปตันมาเล่นก็ไม่สามารถส่งเสียงออกมาเป็นเพลงที่ฟังได้ เราเหมือนคนแปลกหน้าต่อกัน เป็นความสัมพันธ์ที่เดินถอยหลัง ยิ่งนานวันยิ่งไม่คุ้นเคย

    “แล้วนี่คิดหรือยังว่าจะไปทำอะไร” ในที่สุดแม่ก็พูดขึ้นมาก่อน

    ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไร ความสามารถในการคิดวางแผนล่วงหน้าของผมมีขีดจำกัด ประกอบกับระดับยาที่คอยกดความคิดฟุ้งซ่านของผมเอาไว้ทำให้ผมคล้ายหุ่นยนต์เข้าไปทุกที ผมว่าฟุ้งซ่านกับสร้างสรรค์มีเส้นกั้นแบ่งที่บางเบา

    “ว่าไง” แม่ต้องการคำตอบจากผม ทั้งที่หลายครั้งที่ผมถามแต่ไม่เคยได้คำตอบ

    “ทำที่นี่” ผมพูดพลางชี้นิ้วไปยังสถานที่ที่อยุ่ตรงหน้า

    “แกจะไปทำอะไร นี่มันโรงเรียนสำหรับคนตาบอดนี่”

    “อ่านหนังสือ... อ่านหนังสือให้คนตาบอด” เป็นสิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้ แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าลิ้นที่แข็งทื่อจนพูดไม่ชัดอันเนื่องมาจากฤทธิ์ยาจะเป็นอุปสรรคหรือเปล่า

    “ก็ดี คนตาบอดคงมองไม่เห็นว่าแกบ้า” แม่ตอบ

    สามชั่วโมงต่อมา ยังไม่ทันที่ผมจะเก็บของเข้าบ้าน แม่ก็ผลักไสให้ผมมาที่โรงเรียนแห่งนี้ พร้อมกำชับว่าหกโมงเย็นคนรถจะมารับ อย่าทำอะไรให้แม่ต้องอับอายขายขี้หน้าอีก



    ในวันนั้น ถ้ารถไม่ติดที่สี่แยกไฟแดงหน้าโรงเรียนสอนคนตาบอด ในเวลาเดียวกับที่ผมต้องตอบแม่ว่าผมอยากทำอะไร ผมก็คงไม่ได้มาพบเธอ ผมจ้องมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าแบบไม่ต้องเกรงกลัวว่าเธอจะรู้ตัว เธอไม่ใช่คนสวย แต่ริมฝีปากที่แลดูเนียนนุ่มสีชมพูที่มีแต่รอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาคู่นั้น ชวนมองเหลือเกิน

    “นกวิญญาณ มีลิ้นชักมากมายเหลือเกิน
    ลิ้นชักหนึ่ง เก็บความสุข
    ลิ้นชักหนึ่งเก็บความเศร้า
    ลิ้นชักหนึ่งเก็บความอิจฉาริษยา ...”

    ผมเลือกที่จะอ่านนิทานปรัชญาเรื่องปีกปริศนาให้เธอฟัง ไม่เพียงเพราะเป็นเรื่องที่ใช้ภาษาอ่านง่ายและความหมายดี แต่ผมอยากรู้ว่า เมื่ออ่านจบแล้ว เธอจะชอบหนังสือข้างหมอนของผมเล่มนี้ไหม

    “แล้วนกวิญญาณของพี่ล่ะ มีลิ้นชักอะไรบ้าง” เธอถามแทรกขึ้นมา

    “อืม... พี่หานกวิญญาณของพี่ไม่เจอ แต่เดาว่าคงจะมีแต่ลิ้นชักแห่งความเศร้า” ผมตอบ

    “ไม่จริงหรอก ก่อนนอนคืนนี้ พี่ลองตั้งใจฟังเสียงนกวิญญาณ ที่ส่งเสียงขับขาน จากเบื้องลึก”

    “ในตัวเรา” เราทั้งสองพูดขึ้นมาพร้อมกัน

    “น้องเมเปิลรู้ตอนจบแล้วเหรอ เคยอ่านเล่มนี้แล้วเหรอคะ ทำไมไม่บอกพี่ล่ะ ปล่อยให้อ่านไปครึ่งเล่มแล้ว”

    เธอยิ้มหวาน “เมเปิลเคยฟังแล้ว แต่ก็อยากฟังอีกค่ะ ถ้าอ่านเองได้ คงจะอ่านเล่มนี้สักห้าสิบรอบ”

    หลังจากวันนั้น ผมก็แวะเวียนมาอ่านหนังสือให้เธอฟังเกือบทุกวัน เธอเป็นคนแรก ที่ทำให้ผมได้ยินเสียงนกวิญญาณร้องเพลง ใบหน้าที่ยิ้มแย้มและพร้อมจะรับฟังตลอดเวลาของเธอ เป็นเสมือนแสงแดดอุ่นๆที่ส่องมายังต้นไม้แห้งกลางฤดูหนาวอย่างผม แม้ผมจะไม่แน่ใจว่าเธอคิดเหมือนกันหรือไม่ แต่ความสัมพันธ์ของเราก็ค่อยๆก้าวย่างออกจากรั้วโรงเรียนแห่งนั้น ไปยังสวนสาธารณะ ไปยังทะเล ไปยังงานแสดงดนตรี และไปยังห้องนอนของเธอ
    ในที่สุดกิเลสขั้นต่ำและอำนาจฮอร์โมนหนุ่มก็ประสานกำลังกันผลักดันให้ผมมีเพศสัมพันธ์กับเธอ แม้เธอจะไม่ขัดขืนและใช้มือสำรวจไปทั่วเรือนร่างของผมแทนสายตา แต่เธอก็ไม่แสดงท่าว่ามีความสุขร่วมไปด้วยแม้แต่น้อย

    “เมเปิลไม่มีความสุขเหรอ พี่ทำอะไรผิดหรือเปล่า” ผมพึมพัม ในขณะที่ลูบไล้แขนเธอไปมา
    เธอไม่ตอบ มีแต่รอยยิ้มที่ดูแปลกไปจากเดิม

    ผมหลับตา แล้วใช้นิ้วค่อยๆไต่สำรวจความเนียนนุ่มบนพื้นผิวเธอ ผมอยากรู้ว่า จะรู้สึกอย่างไร ถ้าใช้มือมองภาพแทนตา อาจจะเป็นภาพที่ชัดเจนและเป็นจริงกว่าภาพหม่นมัวที่ผมเห็นอยู่ก็ได้ แล้วมือของผมก็ไปสะดุดกับพื้นผิวประหลาดบริเวณข้อมือซ้ายของเธอ ผมไม่อยากจะจินตนาการไปเองว่ามันคืออะไรจึงเปิดตาออก ภาพที่ผมเห็นคือ แผลเป็นขนาดยาวสั้นแตกต่างกันไปนับสิบรอย บุคคลที่ผ่านร้อนผ่านหนาวจากสถานบำบัดมานับครั้งไม่ถ้วนอย่างผมรู้ที่มาของรอยเหล่านั้นในทันที

    “ทำไมถึงทำร้ายตัวเอง” ผมถามในขณะที่มือยังคงลูบไล้แผลแห่งความเจ็บปวดที่แขนเธอ
    “เปล่า เมไม่ได้คิดสั้น แต่ตั้งแต่เกิดมาเมไม่เคยเห็นตัวของเมเองเลย บางครั้งเมก็ไม่แน่ใจว่าเมมีตัวตนหรือเปล่า เวลาที่เมเจ็บ เมจะรู้ว่าเมไม่ได้หายไปไหน เมรู้สึกได้ถึงการมีชีวิตอยู่” เธอก้มหน้า ซุกศีรษะลงบนอกผม

    “เลิกทำแบบนี้ได้ไหม ต่อไปนี้ เวลาที่ตัวตนของเมหายไป เมกอดพี่แน่นๆนะ แบบนี้” ผมกอดเธอแน่น
    “อุ่นไหม นั่นล่ะตัวตนของเราทั้งสองที่ถ่ายทอดความอบอุ่นให้แก่กัน”
    “พี่ก็เป็นอีกคนที่รับไม่ได้ที่เมเป็นแบบนี้ใช่ไหม” เธอพูดด้วยเสียงเย็นชา
    “ไม่ใช่ เมจะเป็นยังไงพี่ก็รับได้ทั้งนั้น พี่เป็นบ้ามาก่อน เมยังรับได้เลย” ผมขึ้นคร่อมตัวเธอแล้วก้มลงจูบริมฝีปากคู่นั้นที่ผมรักนักหนา

    ผมรู้สึกได้ว่าเมเปิลขยับมือไปหยิบอะไรบางอย่างจากหัวเตียง แต่ผมยังไม่อยากหยุดค้นหาความหวานจากริมฝีปากของเธอ
    “โอ....” เมร้องครางเบาๆ พร้อมกับของเหลวอุ่นๆที่ค่อยๆหยดลงบนหลังผม
    “เม ทำอะไรน่ะ” ผมชะงักเมื่อได้กลิ่นคาวเลือดจากข้อมือเธอ
    “อย่าหยุดได้ไหม พี่ต้น อย่าหยุด”



    ในที่สุด เซ็กส์ เลือด ความเจ็บปวดของเธอ และน้ำตาของผม ก็ปะทุขึ้นทุกๆครั้งที่เรามีเพศสัมพันธ์กัน

    ผมกลายเป็นต้นไม้ที่ถูกลมพายุแห่งความสับสนพัดกระหน่ำ ใบแห่งความสุขที่เคยงอกงามเมื่อยามเริ่มคบกับเธอ เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดแล้วร่วงโรยจากผมไปทีละใบๆ ผมรับไม่ได้ที่การทำให้ผู้หญิงที่ผมรักมีความสุขคือการทำร้ายเธอ เธอเฝ้าปลอบผม ว่ามันเป็นเพียงการร่วมรักในรูปแบบของเรา ที่ต่างไปจากคนอื่น ไม่ได้แปลว่าเราทั้งสองผิดปกติ และเธอก็ไม่เคยคิดเกินเลยไปทำร้ายตัวเองจนถึงแก่ชีวิต แต่ผมก็รู้สึกได้ ว่าเธอเอง ก็จมลงสู่ก้นบึ้งแห่งความ[^_^]นี้มากขึ้นเรื่อยๆ จากมีดโกนเป็นเทียน จากเทียนเป็นโซ่รัดตรึง จากโซ่เป็นถุงครอบ จนครั้งหนึ่งเธอเกือบขาดอากาศตาย

    แม่ของผมดีใจ ที่ผมมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แม่คิดว่าเธอจะช่วยให้ผมหายจากอาการสติแตกได้ แต่แม่ไม่เคยสังเกต ใบหน้าที่ซูบผอมลงทุกวัน และร่างที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของเธอ รวมทั้งดวงตาโหลลึกสับสนบนใบหน้าที่อิดโรยของผม ผมรู้สึกว่าเราสองคนกำลังจูงมือกันเดินไปบนถนนที่ยาวแสนยาว แต่ไร้ซึ่งผู้คน เทือกเขาสองข้างทางเป็นสีแดงฉาน มองไปข้างหน้าก็ไม่เห็นจุดหมาย ถนนด้านหลังที่เดินผ่านมาก็ค่อยๆเลือนหายไป ผมอยากจะปล่อยมือเธอแต่ก็ทำไม่ได้



    “วันนี้พี่จะเล่นอะไรใหม่เหรอคะ” เมเปิลถามขณะที่ผมบรรจงใช้ผ้าผูกข้อมือ ข้อเท้าของเธอ

    “พี่หวังว่า ความเจ็บที่เมจะรู้สึกในวันนี้ คงเพียงพอ ที่จะทำให้เมรู้สึกได้ถึงตัวตนของเม จนไม่ต้องทำร้ายตัวเองให้เจ็บอีกต่อไป ดูแลตัวเองให้ดี พี่อ่อนแอเกินกว่าที่จะดูแลเม” นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมพูดกับผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในชีวิต

    ผมบรรจงกดน้ำหนักมือขวาที่กำมีดโกนแน่น ลงบนข้อมือซ้าย ตำแหน่งที่ตรงกับเส้นเลือดใหญ่บนแขน ความเจ็บที่ข้อมือ ไม่ถึงครึ่งของความเจ็บในใจผม เลือดสีแดงพุ่งออกมาไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกอึดอัดที่เก็บกดอยู่ในใจผมที่ถูกระเบิดออก

    “พี่หยุดนะ พี่จะบ้าเหรอ” เธอตะโกนเสียงดังทันทีที่เลือดอุ่นๆจากข้อมือผมกระเด็นไปกระทบแก้มใสๆของเธอ

    ผมรู้สึกมึนศีรษะไปหมด แต่ก็พยายามจะตั้งสติ รับรู้ถึงช่วงเวลาที่อาจเป็นความรู้สึกสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้



    ผมเห็นร่างตัวเองถูกบุรุษพยาบาลพยายามยื้อยุดต่อสู้ให้อยู่กับพวกเขาต่อไปบนโลกที่แสนเส็งเคร็ง ไม่ว่ารถพยาบาลจะแล่นด้วยความเร็วขนาดไหน ไม่ว่าพวกเขาจะกดน้ำหนักลงบนหน้าอกของผมอีกกี่พันที ไม่ว่าอะดรีนาลินอีกกี่เข็มจะถูกส่งเข้ากระแสเลือด ผมก็ยังคงยืนยันที่จะโบกมือลาพวกเขา ทุกคนที่สถานบำบัด แม่ และ เมเปิล

    _______________

    มีอีกหลายเรื่องที่blogนะคะ ลองเข้าไปเยี่ยมชมได้ ขอบคุณทุกความเห็นค่ะ

    จากคุณ : Cafe_noir - [ 18 ต.ค. 48 18:26:03 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป