ย้อนเวลากลับไปในวัยเด็ก
เธอคือคนเดียวที่แอบชอบมาตั้งแต่เราจำความได้
พ่อแม่ของเรา รู้จักกัน จึงทำให้เราและเธอ รู้จักกันไปด้วย
ไปเที่ยวด้วยกัน กินนอนด้วยกัน และที่สำคัญ บ้านเราอยู่ใกล้กัน โรงเรียนก็เรียนโรงเรียนเดียวกัน
เธอคือคนเดียวที่เป็นทั้งเพื่อนที่สนิทมากๆ และเป็นที่ปรึกษาให้เราในทุกๆเรื่อง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราไปเที่ยวแดนเนรมิต ไปกันทั้ง 2 ครอบครัว เราไม่ชอบไวกิ้ง
เพราะเรานั่งแล้วอาเจียนจึงฝังใจ เธอก็พยายามพูดกล่อมเรา พยายามสารพัดให้เราขึ้น
ไปกับเธอ ให้กำลังใจเรา จนเราสามารถขึ้นไปนั่งได้อีกครั้ง
และอีกครั้งหนึ่ง เราชอบเล่นและไม่เอาใจใส่การเรียนเลย การบ้านก็ไม่ทำ ถูกคุณครูทำโทษทุกวัน จนคุณครูเชิญพ่อแม่เราไปรับรู้ถึงพฤติกรรม
ของเรา พอกลับมาบ้าน เราก็โดนชุดใหญ่ เธอได้ยินเราร้องไห้ จึงเข้ามาขอพ่อเราให้หยุดทำโทษเรา ตั้งแต่วันนั้น เธอมาพูดบอกเรา เตือนเรา
คอยมาที่บ้าน ทำการบ้านพร้อมกัน เราเริ่มเอาใจใส่การเรียนมากขึ้น และในเทอมนั้น เราสอบได้เป็นเลขตัวเดียวครั้งแรกในชีวิต ขอบคุณเธอ
จริงๆ
เราชอบมองเธอ เวลาเธอพูด เธอจะมั่นใจมาก สีหน้า แววตาแฝงไปด้วยความจริงใจ ผิดกับเราที่ไม่ค่อยชอบพูดเท่าไหร่ หลบหน้าไม่ค่อยชอบ
สังคมเท่าไหร่นัก เธอจึงเป็นส่วนเติมเต็มในชีวิตเรา
เราเคยคิดในวัยเด็ก ว่าเราจะบอกชอบเธอยังไง เธอจะโกรธไหม เธออาจสูญเสียความรู้สึกที่ดีๆกับเราก็ได้ เราจึงไม่กล้าแม้จะเอ่ยปาก แม้ในใจ
เราจะร่ำร้องอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งโตขึ้น เราต้องเข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพ แต่เธอเรียนโรงเรียนพาณิชย์ประจำจังหวัด เป็นการแยกกันครั้งแรก เรารู้สึกว่าเราขาดเธอไม่
ได้ เธอเข้ามาให้กำลังใจเราเหมือนที่เธอเคยทำอยู่ตลอด แต่เราก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี จนเธอยื่นคำขาดว่า ถ้าเรายังเป็นแบบนี้ เธอจะไม่คบกับเราอีก
พูดจบเธอเดินหันหลังกลับบ้าน เราจึงต้องฝืนใจทำใจให้ได้
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น เราก็โทรศัพท์หาเธอทุกวัน จดหมายไปบ้าง เธอก็ตอบกลับมาไม่เคยทิ้งซักฉบับ
ต่อมา เราต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราจึงตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ จิตใจเรามุ่งมั่นไปกับการสอบ และไม่ได้โทรหาเธออีกประมาณ 2 เดือน
กว่าๆ จนกระทั่งการสอบผ่านพ้นไป เราสอบติดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคเหนือ เราดีใจมาก รีบโทรไปบอกเธอ แต่โทรไม่ติด จึงโทรไปบอก
พ่อแม่เรา พ่อแม่เราดีใจมาก และเราก็ถามว่า ไม่มีใครอยู่บ้านเธอเหรอ โทรศัพท์ไปไม่มีใครรับ พ่อแม่เราก็บอกแต่ว่าไม่มี และให้เรารีบกลับมา
บ้าน เราจึงรีบเดินทางกลับบ้านคืนนั้นทันที
ไปถึงบ้าน พ่อแม่เราดีใจกันใหญ่ กอดเรา จนเราลืมเธอไปเลย
รุ่งเช้า เรานึกขึ้นได้จึงรีบถามพ่อแม่ ลงมาจากห้อง เห็นพ่อแม่ใส่ชุดเตรียมของจะออกไปข้างนอก และบอกให้เราอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ให้เราไป
ด้วยกัน เราจึงถามถึงเธอ พ่อแม่บอกว่ารีบๆ เถอะ เดี๋ยวสาย
เราก็ไม่ได้คิดอะไร พ่อแม่เราพาเราไปที่โรงพยาบาล เราถามว่ามาทำอะไร มาเยี่ยมใครเหรอ พ่อแม่ก็ได้แต่บอกว่า เดี๋ยวไปถึงก็รู้เอง
ขึ้นลิพต์ ไปที่ชั้น 4 พอเปิดออกมา เป็นตึกผู้ป่วยนอก มีคนนอนเจ็บอยู่เต็มไปหมด เราเข้ามาแล้วเลี้ยวซ้าย เตียงริมหน้าต่าง เราเห็นร่างของ
ผู้หญิงคนหนึ่ง นอนอยู่บนเตียง มีที่ครอบปากให้ออกซิเจนอยู่ สายน้ำเกลือระโยงระยาง หันไปเห็นคุณน้า ที่เป็นแม่ของเธอนั่งตาแดงอยู่ เราจึง
เดินไปใกล้ๆ
นั่นเธอนี่! เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ทำไมเธอถึงเป็นแบบนี้ คำถามเรารีบพลั่งพรู ถามพ่อ แม่ และคุณน้า
ได้คำตอบว่าเธอเป็นเนื้องอกในสมอง เนื้องอกทับเส้นปราสาท เธอปวดหัวมา2 ปีกว่าๆ แต่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
คุณน้าเล่าว่า วันที่พาเธอมาโรงพยาบาล คุณน้าขึ้นไปเรียกเธอเพราะเห็นว่าสายมากแล้ว เธอยังไม่ลงมาทานข้าว เห็นเธอไม่รู้สึกตัวอยู่ในห้องจึง
รีบพาเธอมาที่โรงเพยาบาล พอหมอเอ็กซเรย์แล้ว พบเนื้องอกในสมอง จะผ่าตัดก็เสียงมาก หมอจึงยังประชุมกันอยู่ว่าจะรักษาเธออย่างไร
แล้วทำไมไม่มีใครบอกผมเลย !!!
คุณน้าเล่าว่า หลังจากเข้ามาที่โรงพยาบาล อีก2 วันเธอรู้สึกตัว เธอเป็นคนบอกว่าอย่าพึ่งบอกให้เรารู้ เพราะเรากำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่
เดี๋ยวเราจะไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือสอบ และเธอก็สลบไปอีก
พอได้ยินดังนั้น น้ำตาผมไหลออกมา นั่งลง จับมือเธอ กุมมือเธอ เธอดีกับผมจริงๆ ผมก็ได้แต่พูดกับร่างที่ยังไม่รู้สึกตัว เล่าถึงเมื่อตอนเด็ก เธอดี
กับผมยังไง สัญญากันไว้ว่าอย่างไร ผมเห็นน้ำตาของเธอไหลลงมา แสดงว่าเธอรับรู้กับการมาในครั้งนี้ของผม
หลังจากวันนั้น ผมก็มาเฝ้าเธอตลอด คอยอ่านหนังสือให้เธอฟัง คอยเปิดเพลงให้เธอฟัง
จนกระทั่งเธอฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เธอหันมามองผม ผมกุมมือเธอ เธอยิ้ม และขยับมากเหมือนจะพูดอะไรกับผม แต่ไม่มีเสียงออกมา ผมอ่านปากเธอ
เธอบอกว่า
มาแล้วเหรอก...
ใช่เรามาแล้ว เธอต้องหายนะ เราสอบติดแล้วนะ เราเก่งไหม (เราพูดไปน้ำตาก็หยดไป)
เก่ง....ยินดีด้วยนะ (แล้วเธอก็ทำท่าเหนื่อยเราจึงบอกว่า เธอไม่ต้องพูดแล้ว นอนพักเถอะ)
จากนั้น เรารีบเช็ดน้ำตา เล่าเรื่องสนุกๆ ที่เราเคยทำไว้ในตอนเด็ก เธอยิ้มเป็นพักๆ แววตาที่มุ่งมั่นจริงใจของเธอยังมีอยู่เปี่ยมล้น ถึงจะไม่เท่ากับ
เมื่อก่อนก็เถอะ
ต่อมาหมดเวลาเยี่ยม พยาบาลให้เรากลับบ้าน ให้ญาติอยู่ได้แค่คนเดียว คุณน้าจึงอยู่ต่อ เราจึงลาเธอกลับบ้าน ตอนนั้นสังเกตุที่ตาเธอมีน้ำตาไหล
ออกมาด้วย
ตอนเช้า จึงรีบไปโรงพยาบาลต่อ แต่ข่าวร้ายที่สุดในชีวิตก็มาถึง
ผมเดินไปไม่เห็นเธออยู่บนเตียงจึงสอบถามพยาบาลว่าเธอไปไหน พยาบาลบอกว่าอยู่ที่ห้อง ICU ผมจึงรีบไปทันที
ไปถึงพบคุณน้า คุณน้าบอกว่า เธอเสียเมื่อตอนตี 4 นี้เอง ก่อนตาย เธอลืมตาแล้วพยายามบอกขอปากกากับคุณน้าให้เขียนข้อความถึงผม จาก
นั้น คุณน้าก็ส่งกระดาษให้
ผมแกะออกดู เจอรูปเป็นรูปผู้ชายคนนึง มีหมวก เหมือนชุดครุยที่รับปริญญา ข้างล่างเขียนว่า
"พยายามเข้านะ" ผมร้องไห้อย่างที่ไม่เคยร้องไห้มาก่อนในชีวิต กอดร่างเธอแน่น และก็สารภาพกับเธอในร่างที่ไม่มีชีวิตนั้นว่า
"ผมรักเธอ"
ขอบคุณในทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำให้กับผม ขอบคุณนะ
ขอเธอจงไปสู่สุขคติ เพื่อนสนิท เพื่อนรักของฉัน.....
จากคุณ :
อิรวดี
- [
19 ต.ค. 48 08:20:48
A:61.90.75.158 X:
]