CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ความจำที่ลบหาย

    ผมเริ่มรู้สึกตัวขึ้นทีละน้อย ช้าๆ
    ไอ้นาฬิกานั่นยังคร่ำครวญไม่หยุดหย่อน เสียงเพลงดังโหยหวนเป็นจังหวะซ้ำไปซ้ำมา เสียงทั้งขาดทั้งแตกบอกให้รู้ว่ามันน่าจะลงไปอยู่รวมกับสิ่งของอื่นในแผนกรีไซเคิลขยะ บางทีเย็นนี้ผมอาจจะแวะซื้อเรือนใหม่จากห้าง

    บางที….
    ผมควานไปทางตำแหน่งที่เกิดเสียง กดปุ่มปิดเสียง

    แต่มันยังไม่จบแค่นั้น หน้าต่างข้างเตียงที่ม่านถูกรวบไว้เรียบร้อยส่งทั้งแสงแดดและความร้อนมาปะทะหน้าผมอย่างสามัคคี

    ในที่สุด
    กระชากม่านปิดสนิท ทั้งห้องกลับสู่ความมืดอีกครั้ง แต่มันก็ทำให้ผมหมดความรู้สึกอยากนอนไปเรียบร้อยแล้ว ผมนั่งบนขอบเตียง รู้สึกเสื้อยืดตัวหลวมเปียกชื้นแนบแผ่นหลัง ริมฝีปากแห้งจนแสบ แต่ไม่ … มีบางอย่างไม่ถูกต้อง มีบางอย่างผิดปกติ …

    มีแสงสว่างน้อยนิดในห้อง ผมมองเฟอร์นิเจอร์ที่รายล้อมตัว
    มีสิ่งผิดปกติ !

    ผมไม่เคยเห็นห้องนี้มาก่อน !

    ไม่ใช่เท่านั้น

    ความกลัวพุ่งวาบจากปลายนิ้ว ทำให้มือของผมเย็นเฉียบและขนทั่วตัวลุกชัน

    ผมเป็นใคร
    ผมจำชื่อตัวเองไม่ได้ ผมจำตัวตนของผมไม่ได้

    มีกระจกอยู่ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ ผมมองหน้าตัวเอง ภาพเงาที่สะท้อนกลับมาน่าพอใจ ผมลูบหน้า เงานั้นลูบตาม ผมเห็นรูปร่างหน้าตาของตัวเองแล้ว

    แต่ผมจำไม่ได้

    ผมมองห้องที่น่าจะเป็นของผมอีกครั้ง หลับตา พยายามทบทวนความจำ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีภาพผ่านแว้บๆ หรือบางสิ่งที่น่าจะเป็นความจำที่ผมทำหาย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกับผม

    เสียงกอกแกกข้างนอกบอกให้รู้ว่ามีคนอื่นอยู่ ผมเงี่ยหูฟัง เสียงผู้หญิงกำลังพูด เบาจนไม่อาจจับความได้ ผมเปิดตู้เสื้อผ้า สารพัดสิ่งพร้อมใจกันร่วงลงมาทันทีที่ตู้เปิด ซีดีนับร้อยแผ่นตกกระจายแทบเท้าของผมตามด้วยกองเสื้อผ้าที่หล่นจากไม้แขวน ผมมองในตู้ ชุดที่รีดเรียบแขวนอยู่มองดูคุ้นตา คุ้นตาตามความหมายจริงๆ นะ ไม่ใช่ว่าผมเคยเห็น แต่มันคือชุดนักศึกษาของสถาบันแห่งหนึ่ง

    ก็แปลว่าผมยังเรียนไม่จบ

    ผมถอดเสื้อผ้าตัวเดิมที่เปียกเหงื่อออกแล้วสวมชุดนั้นแทน ยังรู้สึกเหนียวตัวอยากอาบน้ำ แต่ผมพยายามไม่ใส่ใจ ก่อนอื่นต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าผมเป็นใครและเกิดอะไรขึ้น

    กลั้นใจขณะเปิดประตูแล้วก้าวออกจากห้อง
    ผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในครัว กำลังตักอะไรบางอย่างใส่ถ้วย หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงสาวแล้วและจากเสื้อผ้าที่สวมคงไม่ใช่แม่บ้านธรรมดา
    หล่อนคงได้ยินเสียงฝีเท้าของผม

    “ เกื้อ ! “ น้ำเสียงและสีหน้าของหล่อนแปลกพิกล มันดูตกใจระคนดีใจอย่างไรพิกล

    ผมฝืนยิ้ม หล่อนรีบตักข้าวต้มให้ผม ถึงไม่รู้สึกหิวแต่ผมต้องรู้เรื่องของตัวเองให้มากกว่านี้ ระหว่างนั่งกินผมถึงรู้ว่าตัวเองคิดถูกที่ว่าหล่อนเป็นแม่ แต่ไม่ว่างัดจิตวิทยารูปแบบไหนมาใช้ก็ไม่ทำให้ผมรู้อะไรมากขึ้นกว่าเดิม

    นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับผมกันแน่เนี่ย

    ผมตัดสินใจออกไปข้างนอก กุญแจที่หยิบมาจากบนโต๊ะในห้องเป็นกุญแจรถมอเตอร์ไซน์คันเล็ก ผมขี่มันออกจากบ้านที่ผมจำไม่ได้ท่ามกลางแสงแดดแผดจ้า

    แปลกแฮะที่ดันจำถนนหนทางได้ทั้งที่เรื่องของตัวเองลงไปอยู่ในหลุม ผมขี่รถไปจนถึงมหาวิทยาลัย มีคนทักผมเหมือนกันแต่ส่วนใหญ่จะทำหน้าเหมือนประหลาดใจ คนอื่นๆ ก็ทำเหมือนผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น สองชั่วโมงต่อมาผมกลับบ้าน เงียบกริบ แม่ของผมไม่อยู่แล้ว หล่อนไป พร้อมกับคำตอบของปริศนาที่ผมคิดไม่ออก

    ผมค้นข้าวของในห้องอย่างบ้าคลั่ง หาสิ่งที่จะบอกความเป็นตัวของผม ความทรงจำทั้งชีวิตของผมหายไปไหน!

    บ่ายสามแล้ว
    หัวผมปวดตุ้บ ขณะนอนแผ่เตียงมองดูรูปตัวเอง แม่ยังไม่กลับมาบ้าน
    เมื่อเช้าที่ผมเห็น ดูเหมือนหล่อนจะพูดอะไรบางอย่าง

    ว่าอะไรน้า …
    สมองของผมเบลอไปหมด

    ดูเหมือนจะมีคำว่า “โรงพยาบาล”

    ผมลุกขึ้นทันที อัลบั้มรูปหล่นกระแทกปลายเท้า สันคมเจาะปลายนิ้วเป็นแผลตื้น

    พระช่วย!
    ผิดปกติแล้วแน่ๆ !

    มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับตัวผมแล้ว ! ไม่ใช่แค่ความจำเสื่อมด้วย

    บาดแผลที่นิ้วเท้าของผมกำลังเลือนหายไป!
    ผมไม่รู้สึกเจ็บแล้ว

    ขาที่กำลังจะลุกยืนหมดแรงซะเฉยๆ อาการปวดไมเกรนดูจะหนักขึ้น เออใช่ผมรู้ชื่อตัวเอง รู้ประวัติตัวเองคร่าวๆ จากหนังสือรุ่นที่ค้นเจอ แต่ผมจำไม่ได้

    ผมคิดว่ารู้ว่าตัวเองเป็นใคร
    แต่ตอนนี้ผมเป็นอะไร!

    ผมไม่คิดว่านี่คือหนังสยองขวัญ และผมว่าตัวเองไม่ใช่ผี … หลักฐานเหรอ ก็การที่มีคนอื่นทักผมนั่นไงล่ะ ถ้าผมเป็นวิญญาณคงไม่มีใครเห็นตัวผมหรอก จริงมั้ย

    แล้วผมเป็นอะไรล่ะ

    ผมขี่รถออกจากบ้านอีกครั้งตอนเกือบหกโมงเย็นหลังค้นบ้านกระจุยจนได้ซองยาเก่าจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผมอาจจะเดาสุ่มเกินไปแต่สัญชาตญาณบอกว่าถูกต้องแล้ว

    กลิ่นของโรงพยาบาลทำให้ผมรู้สึกอยากวิ่งหนี บางทีผมอาจไม่ควรมา แต่ช่างมันเถอะ ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้ความจำกลับคืน

    ปากของผมแห้งหนักขึ้นไปอีกขณะขึ้นลิฟต์ ผมรู้จริงๆ หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังจะไปไหน

    ลิฟต์เปิด

    มือของผมเย็นกว่าเดิม ผมเดินผ่านพื้นกระเบื้องยางที่ตัดกับผนังขาวโพลน มีความมั่นใจบางอย่างเป็นเครื่องปลุกปลอบให้กล้าเดินเข้าหาความจริง

    ผมยังไม่ตาย

    หัวใจของผมยังสูบฉีดโลหิตและตอนนี้มันกำลังเต้นระทึก พนักงานทำความสะอาดเหลือบมองผมแล้วกลับไปถูพื้นต่อ

    นั่นไง หญิงผู้นั้น…. แม่ของผมนั่งอยู่หน้าห้องกับคนอื่นอีกเกือบสิบคน หล่อนกำลังร้องไห้ ผู้ชายที่นั่งข้างๆ กำลังปลอบหล่อนคงเป็นพ่อของผมนั่นเอง

    แม่ชะงักเมื่อมองหน้าผม ผมรู้สึกต้องพูดอะไรบางอย่าง คนที่อยู่ในห้องไอซียูอาจจะเป็นพี่หรือน้องหรือปู่ย่าของผมก็ได้ บางทีผมคงเกิดอุบัติเหตุขึ้นพร้อมกับคนในห้องและเสียความทรงจำไป บางที…

    “ผมเข้าไปได้ไหมครับ”

    แม่สะอื้นดังขึ้นตอนที่ห้ามไม่ให้ผมเข้าไปข้างใน แต่พ่อกลับมองผมนิ่ง คนอื่นๆ ก็มองผมด้วยเหมือนกัน ผมจำไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นใคร แต่มีอยู่สองสามคนมีคราบน้ำตาอยู่ที่แก้ม

    มีแววบางอย่างในดวงตาของพ่อที่ทำให้ผมหนาวเยือกถึงไขสันหลัง
    แต่ผมก็เปิดประตูเข้าไป

    ในห้องไอซียูนอกจากหมอกับพยาบาลแล้วมีคนนอนอยู่แค่สองเตียง ผมผ่านเตียงแรกไปถึงร่างแน่นิ่งตรงมุมห้อง ร่างนั้นอยู่ในสภาพโคม่า มีสายระโยงระยางต่อเข้ากับเครื่องมือทางการแพทย์เต็มไปหมด

    ผมมองดูใบหน้าคุ้นตานั้น

    ความทรงจำของผมกลับคืนมาทั้งหมดแล้ว!

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    หญิงวัยกลางคนกรีดเสียงร้องราวสัตว์บาดเจ็บเมื่อนายแพทย์เดินออกมาจากห้องไอซียูเพื่อแจ้งสิ่งที่หล่อนรู้อยู่แล้ว

    “เขาสิ้นใจแล้วครับ”

    ประโยคนั้นเร่งเสียงสะอื้นให้รุนแรงยิ่งขึ้น นายแพทย์หน้าซีดเผือด เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่าญาติของคนไข้รายนี้เท่าไหร่นัก มือที่ถือเสื้อผ้าอยู่แข็งค้าง
    ให้เขาไปสาบานที่ไหนก็ได้ว่าเขาไม่ได้โกหก

    นายแพทย์เลือกคุยกับพ่อของผู้ตายซึ่งดูจะสงบใจได้มากกว่า

    “ก่อนที่เขาจะสิ้นใจ ผมเห็น…”

    “ผมรู้แล้ว” พ่อของผู้ตายขัดขึ้น “เขาเข้าไปในห้อง”

    “ผมไม่อยากเชื่อว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ ผมเป็นหมอมายี่สิบปี เพิ่งเคยเห็นผีจริงๆ เป็นครั้งแรก” นายแพทย์หน้าซีดหนักกว่าเดิม ภาพร่างของชายหนุ่มก้มมองหน้าตัวเองด้วยรอยยิ้มประหลาดก่อนหายวับไป ทิ้งไว้เพียงเสื้อผ้ากับกุญแจรถบนพื้นตรงที่ยืนอยู่ยังติดตา ทันใดนั้นคลื่นสมองที่เกือบจะราบเรียบของคนไข้พลันมีชีวิตชีวา แต่เพียงชั่ววินาทีกลับราบเรียบ หัวใจหยุดทำงานไม่ว่าจะกระตุ้นอย่างไร

    “เขาไม่ใช่ผี” พ่อของผู้ตายแย้งเสียงขรึม “ลูกชายของผมเป็นคนพิเศษ เขาต่างจากคนทั่วไป อุบัติเหตุทำให้ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่จิตของเขาเป็นอิสระ และ… แข็งแกร่ง เขามีพลังจิต” ดวงตาที่มองนายแพทย์ฉายแสงคมกล้า “คุณไม่เชื่อใช่ไหม คุณหมอ”

    นายแพทย์ยักไหล่ ไม่อยากเถียงกับคนที่กำลังโศกเศร้าสาหัส จากคำอธิบายอาจบอกได้ว่าเด็กหนุ่มผู้ตายเป็นผู้มีจิตแข็งแกร่งจนสามารถปรากฏร่างจิตให้คนทั่วไปเห็นได้ และจิตนั้นได้แยกจากร่างกายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ จนเมื่อจิตรวมกับร่างที่ถึงขีดสุด เขาจึงถึงแก่ความตาย

    มันต้องมีคำอธิบายที่มีเหตุผลกว่านี้สิน่า เขาเป็นมืออาชีพพอจะทิ้งความกลัวไปในเวลาอันรวดเร็ว ในห้องไอซียูยังมีผู้ป่วยสาหัสอีกราย

    ขณะตรวจดูอุปกรณ์ที่ช่วยพยุงชีวิตของผู้ป่วย เขาเหลือบมองหน้าผู้ป่วยนิดหนึ่ง

    ใบหน้านั้นช่างคุ้นตาเหลือเกิน ….

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    จากคุณ : เนรันดร์ชลา - [ 22 ต.ค. 48 14:00:21 A:203.155.14.4 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป