-1-
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันหยุด..วันหยุดชดเชยจากวันปิยมหาราช และเป็นอีกหนึ่งวันที่ผมได้อยู่เพียงลำพัง--
ในวันปลายของสัปดาห์ก่อน คนหลายคนได้ออกเดินทางไปเที่ยว-พักผ่อนยังสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะคนเมืองหลวงที่ต่างมุ่งหน้าออกต่างจังหวัดท่ามกลางวันหยุดยาวติดต่อกันสามวันซึ่งหาได้ไม่บ่อยนัก..
ในวันก่อนวันปลายของสัปดาห์ก่อน คนหลายคนต่างนึก-คิด และวาดภาพฝันล่วงหน้าถึงการเดินทางไปพักผ่อนยังสถานที่ต่างๆ--หลายคนอาจจะคิดเช่นนั้น แต่สำหรับผมแล้ว 'ไม่'
ผมไม่ใช่คนชอบเดินทาง-ท่องเที่ยวเป็นนิสัย ที่บอกว่า 'เป็นนิสัย' นั้น หมายความว่า ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากไปเสียทีเดียว คือถ้ามันมีโอกาสที่ดีกว่านี้ ผมก็ไม่ปฏิเสธ
คำจำกัดความของคำว่า 'โอกาส' ดังกล่าวของผม ผมหมายถึงปัจจัยต่างๆที่จะเอื้ออำนวย เช่นเรื่องของ 'เงิน' และ 'ระยะเวลา'
หลายคนอาจจะมองแย้งว่าการเดินทางในแต่ละครั้งนั้นมันไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมาย..แต่ผมก็มักจะมองย้อนกลับไปว่า ถึงมันจะใช้ไม่มากมายแต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่า 'เราต้องใช้มัน' ซึ่งจะเป็นจำนวนเท่าไหร่ มากหรือน้อย เราก็ต้องใช้มันอยู่ดี--
สำหรับระยะเวลาของการพักผ่อนนั้น ส่วนตัวผมมองว่า หากเรายังต้องเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง และเบียดเสียดแย่งชิงกับการตักตวงหาความสุขของคน-ของใครต่อใครอีกหลายคน ภายในระยะเวลาสามวันดังกล่าว เราได้ใช้เวลาพักผ่อนที่แท้จริงเป็นระยะเวลาเท่าไร? เราได้พักผ่อนอย่างจริงจังหรือไม่
จริงอยู่ ในเรื่องของจิตใจเราอาจบอกว่า 'ใช่' แต่ทางร่างกายเล่า เราปฏิเสธความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไม่ได้เลย--
'ถึงเหนื่อย แต่ก็สนุก..มีความสุข' เหตุผลนี้พอรับได้ ไม่ต่างจากความจริงเท่าไรนัก
'ไม่สนุกเลย แถมยังเหนื่อย..คนก็เยอะ' เหตุผลนี้ก็มีให้ได้ยินกันอยู่มากมาย
'ไม่เหนื่อย ไม่สนุก..แต่ก็มีความสุข' เหตุผลนี้ฟังดูแล้วคงดูไม่เข้าทีนัก
-2-
ผมเคยไปนอนอยู่บน 'เขาใหญ่' อยู่สองวัน-สองคืน ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวผมแทบไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ชาวบ้านเขาทำกัน นั่นคือเดินบุกตะลุยฝ่าดงไปยังจุดท่องเที่ยวต่างๆ ผมบอกเพื่อนร่วมทางว่า 'ขี้เกียจ' ผมอยากนั่ง เดิน นอน หรือทำอะไรก็แล้วแต่ภายในบริเวณที่พักไปตามเรื่องตามราว--
ในช่วงระยะเวลาที่ได้อยู่เพียงลำพังท่ามกลางต้นไม้ป่าเขา เสียงนก เสียงใบไม้ เสียงลม แสงแดด และละอองฝนนั้น ผมทำได้ทั้งนอนแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าตั้งและตอบคำถามต่างๆภายในใจ..คิดถึงเรื่องราวต่างๆแต่ครั้งหนหลัง ไล่เรื่อยขึ้นมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายจวบจนเป็นนายในวันนั้น--
- ผมเรียกการกระเช่นนี้ว่า 'การทบทวนชีวิต' และ 'พูดคุยกับตัวเอง' ของตนเอง เพื่อที่จะได้รู้จัก 'ตัวตน' ที่แท้จริงของผมบ้าง.
ด้วยเหตุดังกล่าวการเดินทางไปเขาใหญ่ในครั้งนั้นผมจึงเหน็ดเหนื่อย-เมื่อยล้าน้อยกว่าชาวบ้านเขา
- หากว่าความหมายของการผักผ่อนนั้น คือการที่เราไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางและเบียดเสียดแย่งชิงการตักตวงความสุขของคน-ใครต่อใครอีกหลายคน.
....................
คนรู้จักคนหนึ่ง เขามักอาศัยช่วงเวลาของวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวันออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเป็นหมู่คณะ เขามักถามผมว่าหยุดยาวเช่นนี้ทำไมไม่คิดไปท่องเที่ยว..หาความเติมเต็มให้กับชีวิตบ้าง?
ผมยิ้มรับในไมตรีจิตที่เขาหยิบยื่นให้เสมอ..แต่ไม่เคยมีคำตอบต่อคำถามของเขาผู้นั้น เพียงเพราะเขาย้ำว่า--
ชีวิตคือการเดินทาง!
เขาจำกัดความหมายของคำว่า 'เดินทาง' คือ 'การท่องเที่ยว'
ผมเองก็ไม่แน่ใจนักว่า หากผมตอบกลับเขาไปว่า กับการที่ผมเลือก 'ไม่เดินทาง' ของผมนั้นก็คือ 'ได้เดินทาง' เหมือนกัน ไม่ต่างกันนักถ้าหากจะวัดกันด้วยความรู้สึก..
หากแต่มันจะแตกต่างกันในเรื่องของมุมมอง-การคิด..ความคิดที่ว่า--
'ทุกเวลานาทีคือการเดินทางไปสู่ภูมิประเทศที่เราไม่คุ้นเคยอยู่เสมอ'
-1-
วันหยุดติดกันสามวันนี้ผมจึงเลือกอยู่บ้านเพียงตามลำพัง หากแต่มิใช่อยู่คนเดียวอีกต่อไป
ในสำนึกของผมบอกว่า 'ตามลำพัง' ของผมนั้นไม่ได้หมายความว่า 'โดดเดี่ยว' จากมนุษย์-จากสังคมเลยเสียทีเดียวนัก
ผมดำรงใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางกองหนังสือ ต้นฉบับงานเขียน ภาพยนตร์ เสียงเพลง สายลม แสงแดด และปรอยฝนพรำ..แตกต่างจากวันวานเมื่อครั้งอยู่ที่เขาใหญ่-
แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนกัน-เหมือนเดิมคือ ผมยังได้ทบทวนชีวิต และ พูดคุยกับตนเอง..อีกครั้ง
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันหยุด..วันหยุดชดเชยจากวันปิยมหาราช
เป็นอีกหนึ่งวันที่ผมได้อยู่เพียงลำพังอย่างมีความสุขดีอยู่ .
ด้วยมิตรภาพ.
24 ตุลาคม 2548
Kopkop90@hotmail.com
จากคุณ :
อานันท์-โจนาธาน
- [
24 ต.ค. 48 22:47:47
]