เวลาชีวิต
จงยอมรับในความจริง อย่าตั้งข้อจำกัดว่าคนอื่นต้องเป็นอย่างที่เราคาดหวัง
ตอนที่ 1 ล่ำลา
ภูมิทัศน์เบื้องหน้าเป็นเทือกเขาสูงฉาบด้วยแสงทองอ่อนของรุ่งอรุณจากฟากฟ้า หากลดสายตาจากเทือกเขาลงมาจะเป็นดั่งสวนสวยดูร่มรื่นประดับด้วยแมกไม้เมืองหนาวน้อยใหญ่ สีของมันมีทั้ง แดง ,ขาว ,เหลือง ,เขียว สลับกันไป หมู่มวลดอกไม้ไหว ๆ พลิ้วไปตามสายลมราวกับว่ามันอยากโบยบินไปสู่แผ่นฟ้าอันเวิ้งว้างไร้ขอบเขต ทัศนียภาพเบื้องหน้าผมนี้ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสายใยแห่งธรรมชาติที่ผูกกันอย่างหลวมๆแต่แข็งแรงอย่างบอกไม่ถูก
บ้านของผมเป็นกระท่อมเล็กๆไม่ห่างจากเชิงเขามากนัก ครอบครัวเราอยู่กัน 3 คน แม่ ผม และ น้องเพ็ญ พ่อของผมจากผมไปเมื่อผมอายุเพียง 5 ขวบ แม่เคยเล่าว่า พ่อเข้าไปทำงานในเมืองหลวง แรกๆก็ติดต่อกันบ้างแต่สุดท้ายก็เงียบหาย ผมเคยแอบเห็นแม่ร้องไห้คนเดียวอยู่เนืองๆ ผมรู้สึกเกลียดพ่อมาก พ่อไม่เคยมาสนใจตัวผม
ที่สำคัญคือ ทำให้แม่ต้องเสียน้ำตาโดยที่ไม่ได้อะไรจากการเอาน้ำตาไปแลกกับความเสียใจเลย
ผมอายุ 12 ปีในขณะนั้น น้องชายตัวเล็กของผม เพ็ญ อายุ 6 ปี ผมแอบคิดวนไปเวียนมาคนเดียวอยู่เสมอว่า สักวันหนึ่งผมจะต้องไปตามพ่อกลับมาหาแม่ให้ได้ แต่ผมก็ได้เพียงแต่คิดเท่านั้น ความเป็นจริงผมอาจไม่ต้องการพ่อก็ได้ แต่ผมรู้สึกแย่ทุกครั้งที่ผมเห็นแม่ร้องไห้ บางทีผมก็พูดคุยกับตัวเองบ้างว่า มีพ่อก็เหมือนไม่มีพ่อ หรือนั่นอาจจะเป็นเพราะ การประชดประชันของผมที่รู้สึกเหมือนมีปมด้อยก็เป็นได้ ...ผมรู้สึกอัดอั้นเหมือนแก้วน้ำที่น้ำกำลังเอ่อขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่สิ้นสุด ณ ขอบแก้วที่มีที่สิ้นสุด ผมฝึกและเรียนรู้ทักษะชีวิตต่างๆจากแม่ คำที่แม่พร่ำสอนเป็นประจำคือ ความขยันและความซื่อสัตย์ จะนำเราไปสู่ความสำเร็จเสมอ แม้แม่จะไม่ได้เรียนหนังสือมาสูงนัก แต่ผมรู้สึกว่า คำสอนของแม่นั้นมีความหมายลึกๆที่แฝงอยู่
แต่แล้ววันหนึ่ง วันที่ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องออกเดินทางสู่เมืองหลวง เพื่อที่จะไปตามพ่อกลับบ้าน โดยร่องรอยอย่างเดียวที่จะเป็นหลักฐานไปสู่ตัวพ่อนั้นคือ รูปถ่าย มองจากในรูปพ่อเป็นคนที่มีรูปร่างสันทัด ผิวค่อนข้างคล้ำ ใบหน้าคมคาย โดยเฉพาะดวงตาที่ดูเหมือนผ่านสิ่งต่างๆมาอย่างโชกโชน พ่อหันหน้ามาทางกล้องสีหน้าเรียบเฉยผิดกับแม่ที่หันข้างยิ้มให้พ่อ ภายในภาพที่อัดจากฟิล์มขาว-ดำ
เย็นนั้นผมไปเด็ดผักจากยอดดอยนำมาปรุงอาหารให้แม่กับน้องทาน เจ้าเพ็ญ น้องชายตัวเล็ก ติดใจในฝีมือของผมอยู่แล้ว ส่วนแม่ก็ชอบเช่นกัน มื้อเย็นนั้นผมแทบจะไม่พูดอะไร ทั้งที่โดยปกติแล้ว ผมจะเป็นตัวเปิดประเด็นชวนแม่และน้องเพ็ญ พูดคุย-หัวเราะกัน ภายในบ้านอยู่เสมอ แม้อาหารอร่อยเย็นนั้นจะเพรียกชวนให้พร่ำพูดกว่านั้นก็ตามที แต่ผมก็ยังคงสงวนไว้แต่ความเงียบ
น้องเพ็ญสวาปามอาหารผักอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่สังเกตอะไร ...มีแต่แม่เท่านั้นที่สังเกตเห็นว่าผมแปลกไป
เป็นอะไรหรือเปล่า พุ่ม แม่ถามอย่างอาทร
เปล่าครับแม่ ผมตอบไปอย่างไม่เต็มเสียงนักและแสร้งก้มหน้าทานอาหารต่อไป
น้องเพ็ญมองหน้าแม่และผมไปมา ด้วยสีหน้าสับสน
มีอะไรไม่สบายใจ แม่มองด้วยสายตาคาดเค้นความจริง
ผมเงียบ...และเปรยขึ้นว่า ผม....จ จะไปตามพ่อ
ณ วินาทีนั้น ความเงียบได้แทรกซึมเข้าไปในทุกอณูของอากาศ ส่งผลให้กระท่อมกลางหุบเขา ถูกครอบงำไปด้วยหมอกควันแห่งความเงียบในบัดดล ดั่งเล่ห์กลแห่งมายา ......เงียบจนได้ยินเสียงลมชัดเจน
หยดน้ำใสไหลรินเป็นทางจากสองฟากตาของแม่ น้องเพ็ญร้องไห้ตามอย่างตกใจ เพราะน้ำตาของแม่ ผมสะเทินใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนมิอาจกลั้นเขื่อนน้ำตาที่ไหลบ่ามาอย่างเชี่ยวกราดได้ ปล่อยโฮออกมาอย่างมิอาจกลั้นใจให้ต้านทาน
พ่อไม่กลับมาแล้วล่ะ... พุ่ม แม่ทำลายความเงียบขึ้น
ไม่จริงๆ แม่บอกพ่อไปทำงานเพื่อเราไม่ใช่หรือ .. เพื่อเรา ฮือ ... น้องเพ็ญแทรกขึ้นทั้งน้ำตา
พุ่มเชื่อว่าพ่อพุ่มจะกลับมา พุ่มเชื่อว่าพุ่มจะหาพ่อเจอ พุ่มเชื่อว่าพุ่มทำได้ พุ่มสัญญากับตัวเองว่าพุ่มจะไม่กลับบ้านหากปราศจากพ่อ พุ่มพูดทั้งคราบน้ำตา
แต่.....
พุ่มโตแล้วแม่ พุ่มรู้ว่าพุ่มควรทำอย่างไร
แม่เงียบ เสมือนยอมแพ้ แม้มิได้กล่าวออกมาเป็นถ้อยคำ
พุ่มจัดสัมภาระเตรียมตัวเดินทางเรียบร้อยแล้ว แม่
แม่สวมกอดพุ่ม แล้วลูบหัวพุ่มไปมาอย่างห่วงใยแล้วร้องไห้ เรา 3 คนกอดกันร้องไห้ในคืนวันนั้น...ผมรู้ว่านั่นเป็นวันที่แย่ที่สุดในชีวิตของผม
ณ ยามรุ่งอรุณของวันใหม่ หมู่ผีเสื้อแทรกตัวออกจากรังดักแด้ สยายเหยียดปีกเต็มที่ ก่อนจะออกบินอย่างอิสระเพียงลำพัง ไปสู่จุดหมายปลายทางเดียวกันของผีเสื้อทุกตัว นั่นคือ ดำรงเผ่าพันธุ์ของมันให้สืบไป ในโลกใบกลมที่แสนจะซ่อนกลและวุ่นวาย ให้ตราบนานเท่านาน เฉกเช่นเดียวกันกับพุ่มที่ต้องออกเดินทางไปสู่ปลายทาง หากแต่ต่างเป้าหมายเท่านั้น
สดับเสียงของหมู่คนที่ชานชาลาเมืองเชียงรายดังจอแจ ...แม่กับน้องเพ็ญไปส่งผมที่ชานชาลาเมืองเชียงราย ณ เช้าวันนั้น พร้อมกับยื่นก้อนหินสีแดงทรง 8 เหลี่ยมซึ่งมีรูตรงกลางที่แม่เชื่อว่าเป็นเครื่องรางกันโชคร้ายให้กับผม
พุ่ม เก็บนี่ไว้คุ้มครองตัวเอง
ผมรับมาอย่างว่าง่าย
----อีก 10 นาที รถไฟจะเข้าเทียบชานชาลาขอให้ผู้โดยสารที่ประสงค์จะเดินทางเตรียมตัวให้พร้อม ขอบคุณค่ะ----
----Attention please, The Train will get the Platform in 10 minutes please check your belonging and preparing yourself Thank You-----
พี่พุ่มรู้ป่าวว่า น้องเพ็ญนะรักพี่พุ่มนะ พี่พุ่ม
ผมยิ้มฝืนอย่างคนต้องจาก
ดูแลตัวเองดีๆนะพุ่ม แม่พูดอย่างห่วงใย
น้องเพ็ญคงจะคิดถึงพี่พุ่มน่าดูเลย แต่พี่พุ่มไม่ต้องห่วงนะเพ็ญจะอยู่เป็นเพื่อนแม่เวลาพี่พุ่มไม่อยู่เอง กลับมาพร้อมพ่อเร็วๆนะพี่พุ่ม
ดูแลแม่ด้วยนะน้องเพ็ญ
อือ สัญญาเลย
ผมยิ้มอีกครั้งให้แม่และน้องเพ็ญ
วู้ดดวู้ด ...วืด.............ปู้น........>>> >>////////////
..//////////////////////>ขบวนรถไฟเคลื่อนกระชั้นเข้ามา
วู้ดๆ วืดดดดดดดด...ปู้นนนน...
---ขณะนี้รถไฟได้เทียบชานชาลาเรียบร้อยแล้วขอให้ผู้โดยสารที่มีความประสงค์ที่จะเดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯโปรด.....ปู้นนนนนนนนนน--------------
---Attention please, Now the Train is on the Platform .The Passenger who want to travel to Bangkok Please,
. PoooooN n NnNnnnnn
-----
แม่อวยพรผมเป็นครั้งสุดท้าย
คุณพระคุณเจ้า ผีฟ้า แม่พระธรณี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง โปรดคุ้มครอง ลูกรักของลูกช้างแทนลูกช้างด้วยนะเจ้าคะ เสียงแม่สั่นเครือ....อ..อ...
น้องเพ็ญเกาะมือผมแน่น
ผมก้มลงหยิบสัมภาระ เบือนหน้าน้องและแม่ ไหว้ลาแม่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ววิ่งขึ้นรถไฟพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบบนใบหน้า
รถไฟเริ่มเคลื่อนออกจากชานชาลาเมืองเชียงราย....ฉึก กก ฉักกกฉึกๆๆ วืดๆๆดดด...............ปปู้นนน....นนนน
.........ผมได้ยินสียงน้องเพ็ญแว่วมาตามสายลม ~~~~~~~~~~~~~
>>>>>> ผมจากแม่และน้องมาด้วยเหตุการณ์ดังนี้ <<<<<<<<
จบตอน ล่ำลา
*******************************************************************
ปล.ช่วยวิจารณ์หน่อยครับจาไปทำเป็นหนังสือทำมือขายไหวไหมครับ และจาเขียนต่ออีก2ตอนให้จบครับ
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านชมกันและขอขอบคุณสำหรับคำวิจารณ์ครับ
จากคุณ :
gurunaa
- [
27 ต.ค. 48 16:42:04
]