CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ตะเกียงใจบทที่ ๗

    บทที่ 7
    “ คุณโพล่งออกไปแบบนั้นยังไง ” น้ำเสียงราบเรียบที่หลุดประโยคนั้นออกมาจากริมฝีปากอิ่มที่ซีดเซียวคล้ายปราศจากอารมณ์โกรธหากมองดูดวงหน้าและนัยน์ตาในขณะนี้จะแลเห็นเสี้ยวแห่งโทสะมันฉาบอาบอยู่ไปทั่วจนใครก็หวาดหวั่น

    ไร้เงายืนตัวแข็งทื่ออยู่ในห้องโถงใหญ่ที่เงียบเหงาเหมือนเคย...มือไม้วางอยู่ข้างลำตัวขยุ้มกระโปรงของตนเองจนยับย่นจ้องชายหนุ่มร่างสูงที่ก้มต่ำลงมองอาการของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสะท้านเฮือกไปทั้งแผ่นหลังอย่างไม่รู้ตัว

    ทยุตกลืนน้ำลายลงลำคออย่างยากลำบากเป็นยิ่งนัก...เขาแหงนหน้าขึ้นมองเพดานและโคมไฟทอดลมหายใจอุ่นด้วยอาการหนักหัวใจสักครู่แล้วจึงมองต่ำลงมาใหม่อีกครั้งหนึ่งพร้อมกับครุ่นคิดถึงสาเหตุแห่งความอึดอัดที่กำลังเผชิญ

    ความรู้สึกนี้มันแปลก...บรรยากาศที่ยากจะบรรยายซึ่งไม่เคยเลยสักครั้งจะเกิดขึ้นในชีวิตของผู้ที่มีพรั่งพร้อมแทบทุกอย่างยกเว้นความรักกำลังดำเนินไปเรื่อยๆ

    ห้าปีนับตั้งแต่เริ่มต้นวิถีของการเสี่ยงชีวิตแทนผู้อื่น...วิถีที่คนมีเงินไม่เคยเลือกเดินแต่มันเป็นหนทางสำหรับให้เขาก้าว...เส้นทางที่เขาไม่เคยหวั่นหวาดกับสิ่งใดแม้กระทั่งความเป็นความตาย

    ไม่สิ...ตามจริงเขาต้องเริ่มนับจากวันที่ก้าวเท้าเข้ามาอยู่ในตระกูลเมรุราชหลังจากพ่อกับแม่ตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์...วันที่ปู่พาเขามาอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบดีกว่ากระท่อมหลังน้อยที่ปลายสวนกล้วย

    จากในวัยเยาว์ที่พร้อมสรรพทั้งบิดาและมารดาที่มอบความรักความห่วงใยหากในบัดดลนั้นทุกอย่างล้มสลายลงไปในพริบตาเดียวที่ดำรงตนในคฤหาสน์ของผู้เป็นปู่...ญาติผู้ใหญ่คนเดียวและคนสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่ในชีวิต

    ปู่เลี้ยงเขามาพร้อมกับไม้เรียวสามอัน...เถียงเพียงคำท่านพร้อมหยิบไม้ฟาด...ลองได้ขัดคำสั่งท่านกักบริเวณ...ท่านอบรมสอนสั่งเขาให้เติบโตขึ้นมาในฐานะชายหนุ่มที่คล้ายจะสมบูรณ์แบบ...เป็นเหมือนบรรดาพี่ชายของเขาทั้งหมดที่งดงามทั้งภายนอกและภายใน

    งดงามของปู่ไม่ใช่รูปลักษณ์เพียงอย่างเดียว...หากความเก่งกาจอย่างหาใครเปรียบมิได้...อารมณ์เย็นชาดุจเดียวกับพายุหิมะที่ไม่มีวันละลาย...สายตามองตรงไปข้างหน้าต้องไม่มีคำว่ายอมแพ้...ไม่มีคำว่าหลงรักหรือแม้กระทั่งเกลียดชังใคร นั้นคือความงดงามที่ท่านพยายามปั้นแต่ง

    ความงามจอมปลอมเช่นนั้นมิใช่สิ่งที่ซึมซาบลงมาในเลือดเนื้อและดวงใจเขา...หลายคราที่ต้องตกอยู่ในกรอบที่ปู่ขีดเอาไว้จำต้องสวมหน้ากากปกปิดความจริงข้างในใจ

    เขาน้อมปฏิบัติตามในเรื่องความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค...ไม่หวั่นเกรงทุกสถานการณ์ที่ต้องผจญแต่เขาโยนทิ้งสิ่งที่ปูพร่ำสอนเรื่องอารมณ์เก็บกดของมนุษย์

    “ จำไว้ทยุต ถ้าอยากเก่ง อยากเข้มแข็งจงเป็นดั่งภูผา เป็นเยี่ยงศิลา ใช้สมองอย่าใช้หัวใจ...ฝั่งแห่งความสำเร็จมันจะอยู่ตรงหน้า หากใช้หัวใจความพินาศจะอยู่แทบเท้า ”

    คำพูดของปู่ดังก้องสะท้อนถึงห้วงจิตแม้จะยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้วก็ตามที

    การถูกสอนแบบนี้ทำให้เขาชาชินกับความกลัวในใจของตนเอง...กับเรื่องความตายก็มิอาจทำให้เขาพรั่นพรึงได้ในยามที่หวนคิด

    ตาย คือเรื่องธรรมดาของโลก...มนุษย์ปุถุชนที่เดินดินบนโลกใบนี้ทุกคนต้องสูญสิ้นร่างกายและ
    วิญญาณไม่มีข้อแม้หรือข้อต่อรองรองใด...มันกลืนกินไม่เลือกหน้าไม่เว้นเด็ก...คนหนุ่มสาวหรือคนชรา

    จะยังมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตมันไม่สำคัญเท่าใดนักหรอก...บางคนยอมสละชีวิตเอาชีวิตของตนเองเข้าแลกเพียงเพราะความรัก

    สำหรับเขาแล้วการตายไม่ใช่เรื่องใหญ่...ความสำคัญมันอยู่ที่ตายเพื่อใครและเพราะอะไรต่างหาก

    “ คุณทยุต ได้ยินที่ดิฉันพูดไหม ” ไร้เงาร้องถามนับๆสิบครั้งเพื่อปลุกคนตรงหน้าตื่นจากวังวนแห่งความคิดที่จมลงไปพร้อมกับยกมือโบกไปมา

    “ ครับคุณเงา ” เขาสะดุ้งโหย่ง...แลอาการเหนื่อยล้าจากอีกฝ่ายผ่านทางสายตาที่ซ่อนหลังแว่นตาใส

    ผู้หญิงอย่างคุณไร้เงาหลายคนคงมองว่าก็เหมือนกับข้าวของที่ปราศจากชีวิต...ปราศจากอารมณ์ จับต้อง บีบคั้นยังไงก็ยังเฉยแต่ใครจะรู้ว่าหล่อนก็คล้ายหนังสือ...หนังสือเล่มหนาที่มีหัวใจเต้นตุ้บๆบรรจุไปด้วยตัวอักษรที่เขาไม่เคยพานพบมาก่อนกระนั้นก็ไม่ยากหากจะพยายามลองอ่านผ่านทางสายตาในบางครั้งที่เจ้าหล่อนเผยอารมณ์ส่วนลึกเมื่อถูกใครใช้นิ้วสะกิด

    หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกเท่าที่ตนเองจะกระทำได้...ยกมือขึ้นกุมขมับเดินไปทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาสีขาวตัวใหญ่

    ไม่มีอะไรจะพูดเพราะบอดี้การ์ดของพ่อไม่ได้สดับสิ่งที่เอ่ย

    เอาแต่ลอยละล่องไปในเวิ้งฟ้า...วนเวียนอยู่ในอาการเหม่อลอยจนหล่อนคิดว่าไร้ประโยชน์ที่จะเหนื่อยพล่ามมากออกไป

    ราวกับคนบนชั้นฟ้ากลั่นแกล้งหล่อน...ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้...ทำไมชีวิตของหล่อนมันต้องวุ่นวายอยู่ไม่จบไม่สิ้นทั้งที่หล่อนไม่เคยปรารถนาอันใดมากไปกว่าการอยู่เพียงลำพังกับเพื่อนอีกคนหนึ่งเท่านั้น

    มันมากนักหรือกับสิ่งที่ประสงค์...ทำไมสองเดือนมานี้พ่อถึงพยายามนักพยายามหนาที่จะส่งคนมาคุ้มครองชีวิตของลูกสาวคนนี้...คนที่ท่านมิเคยต้องการมาพบเจอนับจากวันที่แม่ไปจนปัจจุบันและคาดว่าจะเป็นเช่นนี้จวบจนอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

    สายสัมพันธ์ของหล่อนกับพ่อมันขาดสะบั้นไปนานเสียแล้ว...เยื่อใยที่จะกระหวัดรัดร้อยกันไว้ในฐานะพ่อกับลูกมันไม่เหลืออะไรอีก

    หากเหลือก็คงเป็นเส้นใยบางแสนบาง...เพียงแตะเบาๆมันก็พร้อมจะแยกจากกันเป็นสองส่วน

    เกลียด...คำเดียวที่หล่อนมอบให้กับคนที่ตีราคาหัวใจของคนๆหนึ่งด้วยน้ำเงิน...คำเดียวที่มอบแด่พ่อผู้มิเคยแลหัวใจแม่

    ณ วันนี้เงินซื้อได้แทบทุกสิ่ง...แม้กระทั่งเลือดเนื้อ ขอเพียงมีเงินบางคนยอมพลีร่างกาย ละเกียรติและศักดิ์ศรีแลกกับเงิน

    ทว่ากับบางคนไม่...เงินซื้อร่างได้แต่มิใช่หัวใจ ความจงรักภักดีมิอาจคงทนหากตอบแทนด้วยเงิน...ใจแลกด้วยใจต่างหากเล่าที่ทำให้คนก้มกราบได้

    “ คุณเงาครับ ” ชายหนุ่มเรียกพร้อมกับเดินมายืนอยู่ด้านหลังเจ้าของบ้าน “ ผมมัวแต่เหม่อลอย เลยไม่ได้ฟังนะครับ ช่วยกรุณาพูดอีกครั้งหนึ่งจะได้ไหมครับ  ” เขาสารภาพออกไปตามตรงไม่อ้อมค้อม

    คนเราทำสิ่งใดลงไปต้องกล้ายอมรับ...ไม่ทำก็ต้องยืนยันหนักแน่นแต่ถ้าทำแล้วผิดก็ต้องยอมรับให้ได้

    “ เวลาที่มีคนพูดเราต้องฟัง...เวลาที่เราฟังเราต้องไม่คิดถึงเรื่องอื่นตั้งใจรับสารของคนที่สื่อสาร มิเช่นนั้นก็คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูด ดิฉันไม่อยากเป็นคนบ้าพูดโน้นพูดนี่เป็นชั่วโมงทั้งที่ไม่มีคนฟัง ” แผ่นหลังบาง
    ประกาศสิ่งที่นึกเอาไว้ในใจด้วยความราบเรียบดุจเดิม

    ชายหนุ่มสูดลมหายใจอีกครั้งหนึ่ง...แม้เจ้าของบ้านจะไม่แสดงอารมณ์ใดนอกเสียจากความเย็นชากระนั้นมวลอากาศที่ห้อมล้อมยังอบอวลความกดดันไว้ไม่วางวาย

    “ ผมทราบว่าไม่ควรจะพูดคำนี้อีก...แต่ผมก็รู้ตัวว่าผมผิด...ปกติแล้วผมเวลาผมทำงานให้คนอื่นผมไม่ใช่คนแบบนี้เลย แต่เวลาอยู่กับคุณเงาแล้วผมกลับกลายเป็นไอ้บ้าคนหนึ่ง ที่พูดทั้งหมดไม่ใช่เพราะผมต้องการแก้ตัว ผมเพียงอยากบอกคุณเงาว่า ผมขอโทษ  ” เขาก้มศีรษะลงต่ำกับแผ่นหลังนั้นในเชิงเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    ทิฐิปรากฏร่องรอยขึ้นมาภายในให้ไตร่ตรอง...ทิฐิของคนที่จับจดอยู่ในวิถีแห่งความเงียบเหงาที่ไม่สงบนิ่งอย่างแท้จริงนั้นแรงกล้าแต่มิอาจะต้านทานพลังอบอุ่นบางอย่างที่ผลักดันขึ้นมา

    ร่างบางหันกลับไปแลอากัปกิริยาของอีกฝ่ายที่ยอมรับความผิดทุกอย่างที่ตนก่อไว้ด้วยไม่หวั่นเกรงแล้วจึงกลับมานั่งตั้งตัวตรง

    หล่อนไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องยอมให้อภัยคนที่ทำผิดได้แทบจะทุกวันนับตั้งแต่อาศัยใต้ชายคาเดียวกันมา

    “ ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคุณต้องโกหกเรื่องอะไรแบบนั้น...ดิฉันไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าคุณเป็นใคร แต่การโกหกว่าเราเป็นคนรักกันมันโจ่งแจ้งเกินไป ”

    “ ผมเองก็ไม่อยากให้ใครทราบว่าผมมาคุ้มครองคุณเงา ผมจึงพยายามหาทางออกที่ดีท่าสุด แต่ถ้าบอกว่าเป็นเพื่อน...คุณณัฐพลจะไม่หยุด เขาจะซักไซ้ไปเรื่อยจนความลับแตก...ถ้าโกหกว่าเป็นญาติผมก็คิดว่าเขาต้องรู้ดีเรื่องของคุณเงาอยู่ไม่น้อย เขาอาจไม่เชื่อ...ลงตัวที่สุดก็คือต้องโกหกว่าคุณเงาเป็นแฟนผม ” เขาตอบพลางยักไหล่ในประโยคข้างท้าย

    มันเป็นคำสั่งของคุณลุง...ถามบอกให้เขาเก็บเรื่องของคุณไร้เงาเป็นความลับจนกว่าท่านจะสิ้นหรือคุณไร้เงาขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าของบริษัท

    ไร้เงาเม้มริมฝีปากยินสิ่งที่คนตรงหน้าเอ่ยพลางหวานคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเช้า...คิดถึงเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของหล่อนที่เซ้าซี้ถามเรื่องของบอดี้การ์ดหนุ่ม

    “ บอกมาเถอะเงา...เราเห็นผู้ชายคนนี้แว่บๆเสมอ ทุกเวลาที่เงามาทำงานจนกระทั่งกลับบ้าน...คนอื่นมันก็เห็นแต่มันคิดว่าตาฝาด แต่วันนี้เห็นจะๆตาแบบนี้ มันต้องคิดว่าคน... คนอื่นมันจะซุบซิบยังไงก็ช่างเพราะมันไม่มีมูลความจริง...แต่เราอยากรู้ความจริงจากปากของเงาในฐานะเพื่อนไม่ใช่ฟังความเอาเองจากพวกปากหอยปากปู ”

    สุชาติถามเอากับหล่อนด้วยสีหน้าจริงจังผิดกับทุกครั้ง...จนหล่อนอดไม่ไหวที่จะเริ่มเล่าเรื่องการมาอาศัยของบอดี้การ์ดหนุ่ม

    ก็เล่าเพียงเท่านั้น...ไม่จำเป็นต้องเท้าความกลับไปเพราะสุชาติรู้ว่าหล่อนไม่อยากเล่าและที่ยอมเล่าเพราะซึ้งถึงความเป็นเพื่อนที่เก็บงำความลับทุกอย่างของหล่อนเอาไว้ได้โดยไม่แพร่งพราย

    ส่วนณัฐพลเองก็ดูเหมือนจะยุ่งกับงานจนไม่มีเวลาเรียกตัวหล่อนไปเข้าพบเป็นการส่วนตัว

    บางทีมันก็อาจจะดีที่เลือกโกหกเช่นนี้...ไร้เงาซึ้งถึงหัวใจของณัฐพลที่มอบให้แต่หล่อนมิอาจสนองคืนให้อย่างที่ใจเขาประสงค์

    อย่างน้อยมันจะยืดเวลา...การให้เวลาคือการให้ณัฐพลทำใจลืมเลือนหล่อน

    “ คุณเงารู้จักคุณณัฐพลเหนือกว่าเจ้านายกับลูกน้องหรือเปล่าครับ ” คำถามปลุกให้หลุดจากเวลาใน
    ห้วงอดีตที่ผ่านมาไม่นาน

    “ ถามเพื่ออะไร ”

    ไหล่เขาสะท้านขึ้นเล็กน้อย...เล่นถามว่าเพื่ออะไรเขาจะไปตอบได้ยังไงกัน...มันก็แค่อยากรู้

    อยากรู้ว่าทำไมคุณณัฐพลถึงดูเป็นเดือดเป็นร้อนนักกับการที่ได้รับทราบว่าพนักงานคนหนึ่งมีคนรักทั้งที่ตัวเองก็มีคู่หมั้นอยู่แล้วทั้งคน

    คุณนาตยาคือคนๆนั้น...เป็นคู่ที่ใครก็ต่างพากันชื่นชมในความสามารถและสติปัญญา...เหมาะสมกันยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยกหากเบื้องหลังกลับไม่เป็นอย่างที่เห็น

    คนถามมองคนถูกถาม...อ่านความนัยที่แฝงผ่านทางดวงตา

    “ ไม่ต้องตอบ ดิฉันจะเล่า...ดิฉันกับเขาเป็นเพื่อน เราเจอกันที่ร้านเฟอร์นิเจอร์ เรามีแนวคิดเหมือนกันก็
    เลยเป็นเพื่อนกัน นอกเหนือจากนั้นเขาก็เป็นเจ้านายเท่านั้นเอง คุณเองก็รู้จักเขาไม่ใช่หรือ ” หล่อนย้อนถามคืน

    “ ครับ คุณณัฐพลเป็นคู่หมั้นกับคุณนาตยา...ก็ดูเหมือนจะรักกันแค่หน้าฉากเท่านั้นล่ะครับ ”

    “ หน้าฉาก ทำไมถึงคิดแบบนั้น ”

    ทยุตยักไหล่ตนเองอีกหน

    “ โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าคุณนาตไม่ได้รักผู้ชายคนนี้ ส่วนคุณณัฐพลเองสายตาที่มองทอดมายังคุณนาตไม่มีแววเสน่หาเสียเลย...มันว่างเปล่าคล้ายคุณนาตเป็นกลุ่มหมอกที่จับต้องได้ ไม่เหมือนเมื่อตอนเช้า ตอนที่เขาจับมือคุณเงา ” เขาเอ่ยจากเท่าที่จับสังเกตผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์

    ยามนั้นคู่หมั้นหนุ่มของนายหญิงคนก่อนดูร้าวรานลึก...ชอกช้ำดวงจิตกับบทสนทนาพาทีที่เขามิอาจได้ยินจากปากของคุณไร้เงา...วาจายาวจากคนเสมือนไร้อารมณ์ดังเช่นหญิงสาวผู้เย็นเยียบซึ่งนั่งหันหลังให้

    จากคุณ : ม่านหมอก - [ 28 ต.ค. 48 13:44:57 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป