CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เวลาที่หัวใจรอคอย ++ เพราะบางทีสิ่งนั้นมันก็อาจไม่เลวร้ายเหมือนอย่างที่เราคิด++

    “โอย...ในที่สุดก็มาถึงเสียที” ฉันเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ลงจากรถสองแถวรับจ้างซึ่งพามาส่ง ณ รีสอร์ทแห่งหนึ่งที่ที่ฉันหมายปองว่าจะมาค้างอยู่ที่สักสามสี่วัน การที่เลือกมาที่นี่นั้นมาจากหนังสือท่องเที่ยวเล่มหนึ่งของเพื่อนที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานแล้วเปิดค้างหน้าที่มีการแนะนำรีสอร์ทแห่งนี้เข้าพอดี ตอนแรกฉันก็ไม่ได้เลือกว่าจะไปที่ไหนหรอก แต่พอเหลือบมองไปที่รูปภาพที่ลงเอาไว้และนั่นทำให้ฉันหลงเสน่ห์ที่นี่เข้าทันที กอรปกับช่วงนั้นฉันเหนื่อย ๆ จากการทำงานที่สั่งสมความเครียดเป็นเวลานานและกำลังมองหาที่ดี ๆ ไปพักผ่อนอยู่ด้วยจึงตกลงใจเดินทางมาที่เกาะสายน้ำแห่งนี้โดยใช้สิทธิของการลาพักร้อนที่สะสมเอาไว้

    ฉันหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปในรีสอร์ทเพื่อขอกุญแจบ้านพัก ขณะที่รอก็อดชื่นชมไม่ได้ เพราะบริเวณภายในรีสอร์ทตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ในความเรียบง่ายนั้นแฝงไปด้วยความทันสมัย การเข้ากันอย่างลงตัวขององค์ประกอบต่าง ๆ ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ ผนังห้อง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วจัดวางได้เป็นอย่างดี

    “กุญแจบ้านค่ะคุณนีรา”พนักงานสาวยื่นกุญแจมาให้พร้อมกับรอยยิ้ม

    “ขอบคุณนะคะ”ฉันยิ้มให้ก่อนกล่าวขอบคุณเธอ ซึ่งเธอก็บอกฉันว่าบ้านพักที่นี่จะเป็นบ้านพักหลังค่อนข้างใหญ่ เพื่อรองรับแขกที่มากันเป็นครอบครัว แต่เราก็สามารถทำให้บ้านเล็กลงได้ก็คือการปิดประตูเชื่อมห้องทั้งสองด้าน พูดถึงมันก็สะดวกดีนะ มากันเยอะ ๆ ก็เปิดประตูไปนอนคุยกันแต่ถ้ามาเดี่ยว ๆ ก็ปิดประตูกั้นห้องล็อคซะก็จบเรื่อง



    “เอ...บ้านฉันหลังไหนน้า...” ฉันเดินมองหาอยู่สักครู่เพราะไม่อยากรบกวนพนักงานฉันเอากระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ มาแค่ใบเดียวเอง

    “โอ้โห!” หญิงสาวตาลุกวาวเมื่อเห็นสถานที่ตั้งของบ้านหลังนี้ “ติดชายหาดเลย วิวดีจริง ๆ เชียว” บ้านหลังที่ฉันอยู่เป็นบ้านสีฟ้าขาวหลังเดียวแต่แบ่งกั้นเป็นสองฝั่ง ๆ ละด้าน แต่ละด้านนั้นก็มีบันไดหินวางอยู่สามขั้นเพื่อเดินขึ้นไปบนตัวบ้าน ฉันไขประตูเข้าไปด้านในก่อนที่จะทำการจัดเสื้อผ้าเข้าตู้เสื้อผ้าและวางหนังสือสองสามเล่มที่เอาติดมือมาด้วยไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ แต่อาจจะเพราะด้วยความเงียบจึงทำให้ฉันได้ยินเสียงไขประตู พลางคิดในใจว่าคงเป็นเสียงของห้องข้าง ๆ นั่นแหละ ถ้ามีโอกาสคงจะได้ทักทายกันก็ได้ประสาคนข้างห้องกัน (เออ...ดูมัน มนุษยสัมพันธ์ดีเหลือเกิน/คนเขียน) จัดของเสร็จฉันก็นอนกลิ้งไปกลิ้งมามองดูรอบ ๆ ห้องบนเตียงนอนใหญ่ที่แสนจะนุ่มนิ่ม กลิ้งไปกลิ้งมาฉันก็ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ตื่นขึ้นมาอีกทีพระอาทิตย์ก็ใกล้จะลับขอบฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว

    “โห...ฉันหลับไปนานขนาดนี้เลยหรือนี่” ฉันก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่ขณะนี้เข็มสั้นอยู่ระหว่างเลขห้ากับเลขหกและเข็มยาวอยู่ที่เลขเจ็ด แล้วท้องเจ้ากรรมก็ร้องโอดครวญขึ้นมาประมาณว่าหนูหิวแล้วนะ หิว ๆๆๆ ในที่สุดฉันก็ต้องเดินออกไปหาอะไรทานที่ร้านอาหารภายในรีสอร์ทเพราะทนเสียงเรียกร้องจากกระเพาะน้อย ๆ ไม่ไหวนั่นเอง (ตะกละจริง ๆ เลย)



    ฉันเดินเข้าไปในร้านสั่งข้าวผัดทะเลอาหารมีชื่อของที่นี่เขาบอก ๆ ว่าปลาหมึกหวาน กุ้งตัวโต๊โต ปูนี่เนื้อแน่นมาก ๆ พูดแล้วน้ำลายก็จะไหล 555 รอเพียงครู่เดียวข้าวผัดทะเลที่รอคอยก็เดินทางมาถึงโต๊ะ ขณะที่ฉันกำลังจะตักข้าวผัดเข้านั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง
    “น้ำ...” ครั้งแรกฉันก็ยังไม่สนใจตั้งหน้าตั้งตากินก่อนหิวจะแย่อยู่แล้ว คนชื่อน้ำมีตั้งเป็นร้อยเป็นพันฉันก็มาคนเดียวด้วยใครที่ไหนจะมาเรียก

    “น้ำ ๆ” แต่มีเรียกครั้งที่สองกับที่สามตามมานี่สิมันแหม่ง ๆ เสียงใครมาขัดจังหวะการกินของฉันแต่เอ...เสียงมันคุ้น ๆ อยู่นะ ด้วยความสงสัยฉันค่อย ๆ หันไปที่ต้นเสียงนั้นฉันก็ได้พบกับเขา ด้วยความตกใจบวกกับความดีใจฉันจึงอุทานออกไปเสียงดัง

    “เฮ้ย!!!” (นี่นางเอกอุทานนะคะไม่ใช่พระเอก/คนเขียนคนเดิม อิอิ) แต่ฉันรู้สึกว่าความตกใจจะมากกว่านะแถมเสียงฉันมันไม่ค่อยเบาเลย เหอ ๆ เพราะคนที่นั่งรอบ ๆ โต๊ะฉันหันมามองเราทั้งคู่เป็นตาเดียว จะมองกันทำไม๊...ฉันไม่ได้มีเขางอกออกมาจากหัวนะ ช้อนที่จับอยู่ในมือก็หล่นกระทบจานดังเคร้ง! และนั่นทำให้เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง

    “เฮ้ยภู! นายมาที่นี่ได้ไง” ฉันถามเขาน้ำเสียงดีใจ ไม่ได้กันนานหล่อขึ้นว่ะ แต่อย่าพูดให้หมอนี่ได้ยินนะ เดี๋ยวเหลิง

    “ไม่เจอกันนานนิสัยยังไม่เปลี่ยนไปเลยนะ” เขาพูดพร้อมกับอมยิ้มน้อย ๆ ทำให้เห็นลักยิ้มที่แก้มของเขา ทำให้ใบหน้าที่ค่อนข้างหล่อของเขากลับหวานน่ามองอีกเป็นกอง

    “เราก็ขับรถมาน่ะสิ เธอจะให้ฉันบินมารึไง” ดู ๆ ไม่เจอกันตั้งนานนิสัยไม่เปลี่ยนไปเลยนะอีตานี่

    “งั้นมั้ง”ในเมื่อเขากวนมาฉันก็เล่นเขากลับบ้างสิ งั้นมันไม่ยุติธรรม...อิอิ

    “นั่งด้วยคนนะ” ไม่รอฟังคำตอบฉันเลย พ่อคุณก็นั่งแหมะที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก่อนหันไปสั่งข้าวผัดแบบเดียวกับฉันแล้วเราจึงหันมาคุยกันต่อ

    “เอาล่ะจะถามจริงแล้วนะ นายมาที่นี่ได้ไง” ฉันซักต่อ

    “เหนื่อย ๆ น่ะก็เลยลามาเที่ยว แล้วน้ำล่ะ” เขาตอบพร้อมกับถามย้อนกลับ

    “เราน่ะเหตุผลเดียวกันเป๊ะ ๆ” ฉันพูดพร้อมกับตบโต๊ะเบา ๆ เป็นการยืนยันคำพูด ฉันก็นิสัยแบบนี้แหละโผงผาง ๆ ขนาดฉันไว้ผมยาวเขายังว่าฉันเป็นทอม พอฉันบอกว่าถ้าฉันผมสั้นล่ะ รู้ไหมเขาบอกว่ายังไง...เขาบอกฉันว่าแกก็กลายเป็นผู้ชายไง เออ...ดูมันพูดไม่มีถนอมน้ำใจเพื่อนหรอก นอกเรื่องแล้วไปฟังตานี่พูดต่อ

    “มาพักร้อนเหมือนกันนี่นะ” เขาถามย้ำอีกครั้งแล้วฉันก็พยักหน้ารับหงึกหงักยอมรับ

    “เบื่อคอมจะแย่อยู่แล้ว วัน ๆ อยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยม เรายังคิดอยู่นะเนี่ยว่าสักวันหน้าตาเราอาจจะเป็นสี่เหลี่ยมก็ได้ กำลังคิดอยู่ว่าเป็นจอธรรมดาหรือจอพลาสมาดี” ค่ะฉันเรียนจบวิศวะคอมพิวเตอร์ ฉันลองจินตนาการดู อืม...มันคงแปลกดีแต่ฉันชอบจอพลาสมานะ และนั่นก็ทำให้เขายิ้มอีกครั้ง และการที่เขายิ้มนั้นมันทำให้ความทรงจำที่ตกตะกอนในหัวใจของฉันฟุ้งกระจายขึ้นมาอีกครั้ง อย่ายิ้มเซ่...อย่า...อ๊ากกกก

    “แล้วน้ำกะว่าจะอยู่ที่กี่วันล่ะ” ขณะที่ถามนั้นข้าวผัดทะเลอีกที่ก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะพอดี ระหว่างที่คุยไปด้วยก็กินไปด้วย

    “สักสี่วันน่ะกะกลับวันเสาร์แล้วภูล่ะกลับวันไหน” เขาเงียบไปเพียงครู่เดียวก่อนที่จะตอบฉันว่า

    “ของเราก็วันเสาร์เหมือนกัน น้ำก็กลับกับเราสิจะได้ไม่เปลืองค่ารถ” เขาเสนอ และข้อเสนอของเขาทำให้ฉันต้องรีบปฏิเสธ

    “เฮ้ย...ได้ไง” ฉันตกใจกับคำชวนของเขาที่จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว พูดอะไรรู้ตัวรึเปล่า...

    “เอ่อ...หรือว่าเธอมากับแฟน งั้นก็ไม่เป็นไรหรอก” อย่าพูดเองเออเองเด้...แต่เอ๊ะ! ฉันรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าเขาหน้าตาขรึมลง รึว่า..ปลาหมึกมีพิษ...เอ่อคงไม่ม้าง

    “บ้า! มาคนเดียวว่ะ เสียใจอยู่เหมือนกันนะไม่มีใครหลงผิดตามมาด้วยเลยแฮะ” ฉันทำแกล้งถอนหายใจทำหน้าเศร้า ๆ และนั่นทำให้เขายิ้มออกมาอีกครั้ง บอกแล้วไงว่าอย่ายิ้ม ๆ

    “เออลืมไป หน้าอย่างเธอนี่นะ...” อ้าวเฮ้ย...พูดเสร็จก็เงียบหมายความว่าไงฟ่ะ พูดดี ๆ นะ ตาของฉันชักลุกวาว

    “หน้าอย่างฉันมันยังไง ตอบไม่ดีล่ะ ฮึ่ม...ศพไม่สวยนะ” ฉันขู่เสียงเข้มทำให้เขายิ้มกว้างก่อนตอบว่า

    “แหะ ๆ หน้าอย่างเธอก็...ก็หน้าตาดี” แต่ขณะพูดตานี่ก็เอานิ้วชี้กับนิ้วกลางไขว้กันเอาไว้ ดูเอาเหอะเพื่อนฉันคนนี้ร้ายกาจ ๆ (พอ ๆ กับหล่อนนั่นแหละย่ะ/คนเขียนอีกแล้วคับท่านนน)

    “แล้วนายล่ะพาแฟนเที่ยวเหรอ” ฉันกลั้นใจถามเขาตรง ๆ ตอนถามรู้สึกมันแปลบ ๆ ที่หัวใจชอบกล แต่คำตอบที่ได้ก็คือส่ายหน้าปฏิเสธ

    “ไม่มีหรอก เรามาคนเดียวกะว่ามาที่นี่อาจจะได้เจอเนื้อคู่ก็ได้” เขาพูดลอย ๆ แต่นั่นทำให้หน้าฉันร้อน ๆ ยังไงไม่รู้ อย่าพูดอย่างนี้สิตะกอนมันขุ่นใหญ่แล้วเฟ้ย...

    “ไหนเมื่อก่อนบอกว่าไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ” รีบ ๆ ชวนคุยเดี๋ยวเขารู้ว่าฉันหน้าแดงจะยุ่งกันใหญ่

    “ก็นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้เริ่มแก่แล้วมันก็ต้องเปลี่ยนความคิดกันบ้าง แล้วตกลงจะกลับกับเรารึเปล่า” อ้าว...อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องซะงั้น ฉันตามอารมณ์นายไม่ทัน...น

    “...ไม่ดีมั้ง” เมื่อตั้งสติได้จึงตอบเขาไปด้วยความเกรงใจ ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งอันตรายนะหมอนี่

    “ห้ามปฏิเสธ รู้ไหมเราต้องช่วยชาติประหยัดน้ำมัน ทางเดียวกันไปด้วยกัน” นายภูรีรีบเอานโยบายช่วยชาติของท่านนายกมาเป็น
    ข้อสนับสนุน อีตานี่แสบจริง ๆ หาเหตุผลล้านแปดมาอ้างจนได้สิน่า

    “อีกอย่าง...เธอเป็นผู้หญิงนะน้ำอย่าลืมสิ ไปไหนคนเดียวมันอันตราย” เขาทำสีหน้าจริงจังเมื่อเห็นฉันมีทีท่าว่าจะปฏิเสธอีกรอบ ในที่สุดฉันก็ต้องรับคำชวนของเขาแต่ฉันว่าบังคับกันมากกว่า แล้วเราคุยกันไปเรื่อย ๆ ถึงเพื่อน ๆ สมัยที่เราเรียนอยู่มัธยมด้วยกัน คุยเรื่องนั่นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อยกว่าจะรู้อีกทีก็กินเวลาไปนานพอสมควรแล้ว

    จากคุณ : kassuda - [ 28 ต.ค. 48 16:06:49 A:202.133.154.100 X: TicketID:110477 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป