ผมไม่ได้เดินผ่านประตูบานนี้มากว่ายี่สิบปีแล้ว สายลมกลางฤดูหนาวที่พัดมาปะทะประตูไม้บานพับเก่าคร่ำคร่าจนขยับดังออดแอดดูเหมือนจะไม่สามารถชะรอยเท้าสุดท้ายของผมที่เคยก้าวจากมาเมื่อนานแสนนานมาแล้วไปได้เลย ท้องฟ้าสีหม่นเทาดูยิ่งขับบรรยากาศของบ้านไม้ตึกแถวเก่าย่านประตูน้ำให้ทึมขรึมราวกับตำนานที่กำลังหลับใหล ผมหยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้านนิดหนึ่ง ภาพของชายหญิงกลุ่มหนึ่งผ่านจางเข้ามาในสมอง แม้จะเลือนรางอยู่เต็มที แต่ผมก็จำได้ว่าที่ตรงนี้เคยมีผม มีภรรยาของผม มีเตี่ย ตั้วเฮีย เจ๊ชอ และญาติคนอื่นๆอีกมากมายมายืนถ่ายรูปด้วยกัน แม้จะมีญาติหลายคนที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่เมื่อช่างภาพร้านสหทัศน์ปทุมวันที่จ้างมาบอกให้ทุกคนยิ้มแล้วบรรจงกดชัตเตอร์ลงไป ภาพแห่งความทรงจำนั้นก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันตรึงตรา
ค่อยๆพับบานประตูไม้ผุนั้นเปิดออกให้เดินผ่านเข้าไปได้ แสงในบ้านแม้จะน้อยนิดแต่กลับไม่มีบรรยากาศอับทึบชวนอึดอัดมากนัก อาจจะเป็นเพราะว่าเจ้าของบ้านคนล่าสุดเพิ่งย้ายออกไปได้เพียงสัปดาห์เดียว แปะเฮงเจ้าของบ้านมาหาผมที่สำนักงานเมื่อหลายเดือนก่อน ขอร้องว่าขอเป็นเจ้าของบ้านรายสุดท้ายที่จะย้ายออกจากตึกแถวในละแวกนี้ แปะเฮงยอมรับว่าแกรักบ้านหลังนี้มาก ผมรับปากและบอกแปะเฮงไปว่าผมเองก็รักบ้านหลังนี้ไม่น้อยไปกว่าแก
วันนี้แปะเฮงย้ายออกไปแล้ว.....
ผมกวาดสายตามองตามมุมต่างๆของบ้าน แม้ว่าแปะเฮงจะจัดบ้านใหม่ให้เหมาะกับอาชีพพ่อค้าข้าวสารของแก แต่ทุกห้องยังคงมีร่องรอยของผมกับพ่อและพี่ๆหลงเหลือเสมอ ผมเงยหน้ามองผ้ายันต์หรือฮู้เขียนอักษรจีนที่แขวนอยู่บนคานไม้กลางบ้าน นึกถึงตอนเด็กหลังจากที่พวกเรากลับจากงานศพของแม่ได้สองสามวัน เจ๊ชอที่กลัวผีบอกเตี่ยเสียงสั่นๆว่าเหมือนยังเห็นเงาของแม่อยู่ในบ้าน เตี่ยรีบไปศาลเจ้าขอฮู้มาติดบนคานบ้าน และผ้ายันต์จีนสีส้มนั้นก็แขวนอยู่บนนั้นตลอดมา
มองสวนหลังบ้านผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆที่เปิดออกเมื่อครู่ ในใจนึกนิยมแปะเฮงที่ยังรักษาสภาพของสวนเล็กๆขนาดเท่ารถยนต์สองคันจอดชิดกันไว้ได้ ความรักบ้านที่แกมีไม่ต่างจากเตี่ยนี่เองกระมังที่เป็นเหตุผลหนึ่งของพวกเราในการขายบ้านให้แปะเฮงเมื่อเตี่ยจากไป ในสวนมีเก้าอี้ไม้เอนนอนริมอ่างปลาดินเผาแห้งกรัง ต้นเฟิร์นและการเวกยืนเฉาอยู่ตามขอบริมกำแพง ยังไม่ตายทั้งหมดเสียทีเดียวด้วยยังพอมีฝนหลงฤดูแซมมากับลมหนาวหลายครั้งในปีนี้ แวบหนึ่งผมเห็นเหมือนเงาของเตี่ยกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์จีนและฟังข่าววิทยุพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้เหมือนที่เคยเห็นบ่อยๆเมื่อนานมาแล้ว ความทรงจำของผมฉายภาพเหมือนจริงเสียจนเหมือนตัวเองได้ยินเสียงผู้ประกาศข่าวปรีชา ทรัพย์โสภาผู้ล่วงลับกำลังอ่านข่าวภาคเช้าเร็วจี๋เสียจนแทบฟังไม่ทันก้องอยู่ในหู แต่วินาทีหลังจากนั้นผมก็เห็นแต่เก้าอี้ไม้เก่าๆที่ว่างเปล่า
เดินเหยียบบันไดไม้ขึ้นมาบนชั้นสอง บันไดของตึกแถวละแวกนี้คงเหมือนๆกันหมด คือแคบชันและเก่าเสียจนมีเสียงลั่นเอียดทุกก้าวที่วางเท้าลงไป มองเห็นรอยทางเดินของปลวกที่แปะเฮงเอาเหล็กขูดทิ้งอยู่ทั่วไปตามฝาบ้าน ปลวกไม่ใช่ของใหม่สำหรับเตี่ย ผม หรือแปะเฮง ตอนเด็กๆเมื่อผมยังอยู่บ้านหลังนี้ผมเคยชินกับกองทัพแมงเม่าที่บินมาเล่นหลอดไฟเป็นประจำก่อนจะสลัดปีกเป็นปลวกร้ายกัดกินบ้าน แม้เตี่ยจะเรียกช่างมาระดมฉีดน้ำยาฆ่าปลวกแทบทุกตารางเมตรในบ้าน แต่ไม่นานพวกเราก็จะเห็นเจ้าปลวกตัวเล็กเดินแถวไปมาในบ้านอย่างคึกคักอีกครั้ง บ้านที่วัสดุกับเครื่องตกแต่งทั้งหมดทำมาจากไม้เป็นสวรรค์เสมอสำหรับมัน เตี่ยต้องเดินเคาะตู้ไม้และพื้นบ้านเพื่อสังเกตรังปลวก จัดการขูดทางเดินของมันทิ้งด้วยตัวเอง และเปลี่ยนไม้กระดานที่บันไดอยู่เสมอเมื่อปลวกเจาะจนน่ากลัวว่าเหยียบแล้วจะพังลงมา
ผมเดินมาหยุดในห้องนอนใหญ่ชั้นสอง แสงจากภายนอกส่องผ่านหน้าต่างลูกกรงเหล็กทรงตรงเข้ามาในห้องว่างเปล่าเพียงสลัว หากแต่ในความทรงจำของผมมันกลับสว่างไสวและเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกันตามมุมต่างๆของห้อง เตี่ยกับแม่เคยมีเตียงฟูกหนานอนอยู่ริมหน้าต่าง เจ๊ชอพี่สาวคนกลางนอนถัดมา ส่วนผมกับตั้วเฮียนอนอยู่ถัดไปติดประตู แม้ว่าเราจะใช้ห้องนี้เฉพาะเวลานอนเท่านั้น แต่ก็เป็นห้องที่พวกเราได้พูดคุยและมีกิจกรรมมากมายรองลงมาจากที่โต๊ะกินข้าวชั้นล่าง ผมเดินผ่านพื้นกระดานที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่นอนของตัวเอง สมัยนั้นฐานะของบ้านไม่สามารถเอื้ออำนวยให้พวกเราได้มีเครื่องปรับอากาศเหมือนบ้านของเถ้าแก่คนอื่นๆ พัดลมสีเขียวใบเตยตัวเล็กจึงเป็นความหวังเดียวที่ไม่เคยเพียงพอสำหรับการคลายร้อนของห้าชีวิตในห้องนอนได้ แม่จึงระดมแรงลูกๆให้ช่วยกันเอาผ้าชุบน้ำมาถูพื้นกระดานจนเปียกหมาดๆก่อนนอน ได้ผลที่พอเอนหลังลงนอนแล้วรู้สึกว่าห้องเย็นขึ้นกว่าเดิมมาก และพวกเรายังถือปฏิบัติเช่นนี้เสมอจนกระทั่งวันสุดท้ายก่อนที่พวกเราสามพี่น้องจะรวมเงินจากการทำงานซื้อเครื่องปรับอากาศมาติดให้
น่าเสียดายที่แม่จากเราไปก่อนที่พวกเราจะมีเงินซื้อเครื่องปรับอากาศถึงหกปี
แม่ร่างกายไม่แข็งแรงมาเป็นแรมปีแล้ว จนเช้าวันหนึ่งแม่ไม่ได้ลงมาช่วยเตี่ยเปิดบ้านเหมือนทุกวัน เตี่ยขึ้นไปดูอาการแม่บนห้องนอนครู่หนึ่งแล้วจึงลงมาบอกพวกเราลูกๆที่เตรียมตัวจะไปโรงเรียนว่าวันนี้ให้หยุดเรียนก่อน ผมกับเจ๊ชอเฝ้าบ้านแทนเตี่ย ส่วนเตี่ยกับตั้วเฮียโบกรถสามล้อเครื่องพาแม่ไปโรงพยาบาล ตั้งแต่นั้นมาแม่ก็ไม่ได้กลับเข้าบ้านอีกเลย เตี่ยบอกพวกเราสั้นๆทั้งน้ำตาเมื่อกลับมาถึงบ้านว่าแม่เป็นโรคเลือดเป็นพิษ มูลนิธิจีนรับศพของแม่ไปเตรียมประกอบพิธีที่วัดแล้ว พวกเราพ่อลูกที่เหลืออยู่ต้องเตรียมการเรื่องพิธีกงเต็กและสถานที่ฝัง
พวกเรารู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าจนทำอะไรไม่ออก ตั้งแต่จำความได้ แม้แม่จะจุกจิกเจ้ากี้เจ้าการในเกือบทุกเรื่องในบ้าน แต่พวกเราลูกๆทั้งสามคนก็สนิทกับแม่มากกว่าเตี่ยที่เป็นคนเงียบขรึมและง่วนอยู่กับการขายของอยู่หน้าร้านเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่แม่ถ้าไม่ใช่กำลังดุว่าหรือตีลูกอยู่ที่โต๊ะกินข้าวกับสวนหลังบ้านแล้วก็จะเล่านิทานและเย็บเสื้อให้ลูกๆอยู่ในบริเวณเดียวกันโดยมีพวกเราสามคนรุมล้อมออดอ้อนอยู่ไม่ห่าง แม้จะรับรู้ถึงความร่วงโรยแห่งสังขารและอาการเจ็บป่วยเรื้อรังอยู่เต็มอก แต่พวกเราก็ไม่เคยมีใครคิดมาก่อนเลยว่าแม่จะจากไปอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
ผมนั่งลงบนพื้นริมหน้าต่างที่ซึ่งสิบกว่าปีที่แล้วมันเคยเป็นที่ๆแม่นอนอยู่ จำได้ว่าคืนที่กลับจากพิธีฝังแม่ที่สุสานสระบุรีผมเดินกลับเข้ามาในห้องนี้ นั่งมองฟูกเตียงที่ว่างเปล่าอยู่นานก่อนจะก้มลงนอนซบหน้าร้องไห้กับฟูกเก่าๆ ต่อจากนี้ไปแม่ไม่ได้อยู่กับเราอีกแล้ว แม้เสียงของแม่ที่พร่ำบ่นพวกเราก่อนนอนทุกคืนจะเป็นเพียงเสียงเล็กๆเมื่อเทียบกับเสียงความอึกทึกของมหานครใหญ่แห่งนี้ แต่เมื่อรู้ตัวว่าคืนนั้นพวกเราจะไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้อีก ผมจึงรู้สึกว่าคืนนั้นเป็นคืนที่เงียบที่สุดในชีวิต
เตี่ยเคยเล่าให้ฟังเพียงแค่ครั้งเดียวว่าปู่ของพวกเราเป็นชาวจีนอพยพหนีภัยความยากจนจากมณฑลเสฉวนของจีนในสมัยนั้นโดยล่องเรือลงมายังดินแดนที่นายเรือโฆษณาไว้ก่อนออกเรือว่าเป็นดินแดนทางใต้ที่อุดมสมบูรณ์ ผู้คนล้วนรักใคร่ปรองดองอยู่เย็นเป็นสุข ในเวลานั้นปู่ไม่รู้หรอกว่าแกจะได้ไปที่ไหน ขออย่างเดียวคือขอให้เป็นบ้านเมืองที่มีงานให้แกทำ มีข้าวปลาให้กิน และอุดมสมบูรณ์สงบสุขตามที่นายเรือโฆษณาก็นับเป็นสวรรค์แล้ว เรือลำน้อยๆแล่นฝ่าพายุคลื่นลมแรงนานแรมเดือนกว่าจะมาถึงเกาะสีชังเป็นจุดแรกได้อย่างทุลักทุเล ปู่เงยหน้ามองพระอาทิตย์ยามเช้าวันใหม่บนดินแดนแปลกหน้า ลมทะเลไม่ได้พัดมาแต่กลิ่นไอเค็มและคลื่นเท่านั้น แต่ยังได้พัดเอาความหวังและอนาคตของปู่มาอีกด้วย
ปู่ลงเรือที่ท่าเรือพระนคร เดินหางานในตลาดและท่าเรือหลายวัน ทั้งหิวทั้งไม่มีที่หลับนอน บางวันปู่เดินหาห้างร้านที่ต้องการจับกังตั้งแต่คลองสานไปจนถึงบางยี่ขัน เจอเจ้าของร้านที่ไหนก็เอามือชี้ตัวเองและทำท่าแบกของเพราะพูดไทยไม่ได้ จนได้งานยกของที่ห้างขายส่งวัสดุก่อสร้าง ปู่อดทนแบกหามสินค้าทุกชนิดจนรู้จักย่าที่เป็นแม่ค้าหาบขนมขายผ่านหน้าห้าง ทั้งสองช่วยกันเก็บเงินจนซื้อห้องแถวไม้ราคาไม่แพงย่านประตูน้ำได้ แต่มากกว่าการเป็นทรัพย์สินชิ้นโตที่สุดของปู่และย่าคือมันได้เป็นหัวใจของครอบครัวเราที่สืบทอดต่อกันมา
ผมกำลังยืนอยู่ในหัวใจดวงสุดท้ายของครอบครัว
ตึกแถวหลังนี้เป็นมากกว่าบ้านพักอาศัย มันเป็นที่รวมของความรู้สึกมากมายของคนในนั้น ของครอบครัวหนึ่งที่เติบโต ตายจาก และผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันหลายทศวรรษ ตลอดเวลาที่ผ่านมาบ้านหลังนี้ซึมซับเสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ เสียงดุว่า เสียงชื่นชมยินดี แม้ในวันนี้จะมีแต่ความเงียบเหงา แต่บ้านหลังนี้คือสายใยที่ชัดเจนที่สุดของครอบครัวผม
นอกจากระเบียงด้านหน้าห้องนอนที่หันออกถนนใหญ่ที่มีประโยชน์เพียงใช้ติดธงชาติตั้งแต่ยุครัฐนิยมเป็นต้นมาแล้ว หลังห้องนอนใหญ่ติดกับบันไดมีประตูเล็กๆเปิดออกไปยังระเบียงนอกชานเหนือสวนหลังบ้าน เป็นระเบียงที่มีขนาดกว้างใหญ่เหมือนห้องนอนอีกห้อง แต่พวกเรารุ่นลูกๆชอบใช้ที่นี่เป็นที่นั่งเล่นกันตอนเด็กๆในขณะที่เตี่ยกับแม่ชอบนั่งอยู่ในสวนหลังบ้านด้านล่างมากกว่า
ผมมองซากเก้าอี้นอนทำจากไม้หักผุตัวหนึ่งที่วางพิงอยู่มุมในสุดของระเบียง ขี้ฝุ่นและหยากไย่เกาะหนาจนไม่เหลือเค้าเดิมของเก้าอี้นอนราคาแพงในสมัยนั้นเลย ผมมองซากไม้นั้นแล้วคิดถึงสิริณ
สิริณคือภรรยาของผม
(มีต่อ....)
จากคุณ :
ธามาดา
- [
29 ต.ค. 48 20:05:10
]