CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ใต้เงาตะวันที่ฉันมีเธอ (UNDER THE SUN) > >ตอนที่ 2

    ใต้เงาตะวันที่ฉันมีเธอ (UNDER THE SUN)
    By: สายลมอิสระ
    ตอนที่ 2

    แสงไฟภายในห้องสว่างขึ้นเมื่อเจ้าของห้องกลับมาถึง  มะปรางกดสวิตช์ไฟ  แล้วหันกลับมาที่หน้าประตูห้อง  เธอคลี่ยิ้มบางๆแล้วเอื้อมมือมารอบถุงกระดาษใส่ของหลายอย่างจากมือของคูณที่อาสาหิ้วมาส่งถึงที่พักของเธอ

    “ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยเบาๆยิ้มบางๆ เหมือนเคย ไม่อยากให้คนตรงหน้าเข้าใจผิดคิดอะไรเกินคำว่าเพื่อนมากเกินไป
    “ไม่เป็นไรครับ คูณกลัวว่าจะมีเรื่องแบบเมื่อ 3-4 วันก่อนนั้นอีก คูณ...คูณเป็นห่วงมะปราง”

    ยังไม่ทันที่คูณจะพูดอะไรต่อ  เจ้ากระรอกตัวซนก็ทำเสียงโครมครามเข้าให้เสียก่อน ทำให้ทั้งคู่ยุติบทสนทนาลงแค่นั้น...แต่ในใจเธอก็รู้สึกขอบใจเจ้าจอมซนที่ทำเหมือนรู้หน้าที่ดี แม้ว่าอีกฝ่ายยังคงล่ำลาเกินความจำเป็น

     มะปรางทรุดตัวลงนั่งหลังพิงประตูเมื่อคูณจากไปแล้ว  ระบายลมหายใจเบาๆ  นับวันเธอก็รู้สึกอึดอัดกับสายตาของคูณมากขึ้นทุกที  เธอรู้ว่ามองเธออย่างไร  ความหมายที่ให้มากกว่าคำว่าเพื่อน  แต่ความรักเมื่อครั้งหนึ่งก็ทำเธอเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย  ถึงเวลาจะเลยผ่านมา 2 หรือ 3 ปีแล้ว เธอไม่เคยลืมมันเลยแม้แต่ครั้งเดียว..รวมถึงครั้งแรกที่ได้สบตากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มจัดดูกลมกลืนกับเส้นผมที่เวลานั้นเป็นสีน้ำตาลจนเกือบแดง  เพียงแต่เวลานี้ สีของผมนั้นอ่อนจางลงไป..แต่ใบหน้าของเขายังคงเหมือนเดิมในความรู้สึกของเธอ

    เสียงของตกลงพื้นทำให้มะปรางสะดุ้งตื่นจากความคิดคำนึง  เดินไปดูที่ต้นเสียงที่ลิ้นชักโต๊ะข้างหัวเตียงถูกรื้อค้นจนรก  ตัวต้นเหตุยังซุกตัวมุดอยู่ในกองกระดาษเขียนจดหมายของเธอ

    “แกนี่น๊า..หาเรื่องให้ฉันวุ่นวายทุกทีจริงๆซิ”
    มะปรางว่าตามด้วยเสียงหัวเราะถึงอย่างไรก็เพราะนิสัยอย่างนี้เธอถึงได้ไม่รู้สึกเหงามากมายนักเวลาที่อยู่ลำพัง มะปรางอุ้มเจ้าตัวซนขนสีน้ำตาลแซมขาวขึ้นมาจากลิ้นชักและทิ้งตัวเองนั่งที่เตียง แต่ในมือคู่หน้าของมันก็เกาะบางสิ่งไว้ไม่ยอมปล่อย  แต่เมื่อเธอเอื้อมมือมาหยิบดูก็ปล่อยออกง่ายดาย สร้อยเงินที่มีรูปเต่าทองสีเงินตัวเล็กๆส่องแสงแวววาวเมื่อกระทบแต่แสงไฟสีส้มที่หัวเตียงนอนของเธอ  นานแล้วที่เธอไม่ได้หยิบสิ่งนี้ขึ้นมาสัมผัส  แต่เก็บและดูแลตลอด เธอขยับปีกสีเงินของเต่าทองออก  เสียงเพลงหวานใสๆ บรรเลงแผ่วเบาจนคนฟังต้องยกขึ้นแนบหูเพื่อให้ได้ยินชัดเจน  ด้านในเป็นนาฬิกาบอกเวลาซึ่งมันยังคงเดินปรกติดีและทำให้เธอนึกถึงครั้งแรกที่เธอได้รู้จักกับคนที่ให้สิ่งนี้กับเธอ....

    ....................................


    เสียงนักเรียนกลุ่มหนึ่งกำลังรุมกลุ่มเด็กเสื้อชอพสีน้ำเงินเข้มอยู่ใกล้ๆป้ายรถเมล์ รียกสายตาของคนที่อยู่บริเวณนั้นให้หันไปดูได้อย่างไม่ยากนัก และรวมถึงเด็กสาวที่เพิ่งเดนออกมาจากโรงเรียนด้วย

    “เฮ้ย!.ตีกันอีกแล้วโว้ย..”

    ไม่รู้ว่าใครส่งเสียงตะโกนลั่น  เหมือนเรื่องธรรมดา  แต่ไม่มีใครสนใจว่ามาจากสาเหตุใด นอกจากความตื่นตาตื่นใจที่ได้อยู่ร่วมเหตุการณ์น่าลุ้นที่จะได้นำไปเล่า  ราวกับตัวเองเป็นผู้สื่อข่าวตัวยงที่ทันเหตุการณ์นั้น เด็กสาวกอดกระเป๋า นักเรียนใบโตไว้แน่นกับอก       พวกที่กำลังรุมเด็กเทคนิกนั้นเป็นรุ่นพี่โรงเรียนเดียวกับเธอเอง มามีเรื่องถึงถิ่น  คนมาเยือนก็ต้องถูกรุมกินโต๊ะเป็นธรรมดา

    “หยุดๆ พวกเธอหยุดเดี๋ยวนี้นะ”  

    อาจารย์ฝ่ายปกครองวิ่งมาห้ามพร้อมกับไม้เรียวในมือ  แต่ไม่มีใครทำตามคำสั่ง  ต่างแยกย้ายวิ่งหนีจ้าละหวั่น  รวมทั้งคนดูที่ส่งเสียงเชียร์ก็แตกกระเจิงไม่ต่างกัน  มะปรางถูกชนอย่างแรงจนเซและเกือบล้มลง  แต่มือของเธอก็ไวทันพอที่จะหาที่ยึด ไม่ให้ตังเองล้มได้  แต่คนที่มาชนกลับล้มกลิ้งนอนคลุกฝุ่นตรงหน้าเธอ  เธอตกใจทำอะไรไม่ถูกจนเมื่อคนล้มเงยหน้าขึ้นมา  ใบหน้าขาว ๆมีรอยช้ำเป็นจ้ำๆและคราบเลือดที่มุมปาก  หากไม่เพราะดวงตาและสีผมเป็นสีน้ำตาลไหม้เหมือนกันล่ะก็...เธอคงเข้าใจว่าเด็กเสื้อชอพคนนี้ไปกัดสีผมจนดูยียวนกวนบาทาใครกันแน่

    “เร็วเข้า...เดี๋ยวอาจารย์มา”  

    มะปรางได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกยังคงดังอยู่ในบริเวณนั้น  เมื่อหันไปมองทางที่อาจารย์วิ่งไป  ก็เห็นว่าจับนักเรียนได้หลายคน และเหมือนได้ยินเสียงไซเรนตำรวจอยู่ไกลๆที่กำลังใกล้เข้ามา  มะปรางหันมาสบตากับดวงตาสีแปลก ก่อนที่จะยื่นมือไปตรงหน้าให้คนที่นั่งอยู่จับ แล้วเธอออกแรงดึงเขาลุกขึ้นมา เธอรู้สึกถึงความสูงของอีกฝ่าย  เขามองด้วยสายตาอ่อนโยนคล้ายจะขอบคุณ  แต่เพื่อนของเขาก็ตะโกนเรียกตัว  เขาจึงรีบวิ่งไปซ้อนมอเตอร์ไซด์ที่จอดรออยู่ไม่ไกลนัก  แต่เขาก็ยังเหลียวหลังมามองเธอตลอดจนรถเลี้ยวไปที่มุมถนน

    “มะปรางเธอมาทำอะไรตรงนี้ล่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า”
    อาจารย์ฝ่ายมหาโหดเข้ามาถามน้ำเสียงห่วงใยนักเรียนผลการเรียนดีเด่นอย่างมะปราง  
    “เปล่าค่ะ”
    เธอส่ายหน้าไปมาแล้วขยับแว่นสายตาให้กระชับใบหน้า ยกมือไหว้อาจารย์แล้วรีบกลับบ้าน แต่ความคิดคำนึงยังอยู่ที่เจ้าของดวงตาสีแปลกหน้าด้วย...ถึงมะปรางจะติดใจสายตาของคนๆนั้นอย่างไร  เธอก็ไม่เคยคิดตามค้นหา  เธอเพียงแค่คิดถึงในบางครั้งที่ว่างเว้นจากตำราเรียนกองโต  และเวลาที่ความเหงาเข้ามาทักทาย เธอมีเพื่อนไม่มากนัก  แต่ถ้าหมายถึงเพื่อนที่คุยได้ทุกเรื่องเธอไม่มีใครเลย  แม้แต่ที่บ้านก็ไม่มีใคร  พ่อกับแม่แยกทางกันและเธอมาอยู่บ้านหลังเก่าที่มีความทรงจำดีๆอยู่  มะปรางไม่เคยคิดจะกลับไปหาพ่ออีกในวันนั้นที่เธอออกมาจากครอบครัวใหม่ของพ่อ  ส่วนแม่นั้น  เธอไม่รู้เลยว่าแต่งงานใหม่กับใครที่ไหน  เพียงแค่ได้รับธนาณัติจากต่างประเทศมาเป็นค่าใช้จ่ายทุกเดือน  คงเป็นสิ่งเดียวที่สม่ำเสมอสำหรับเธอ  คือจดหมายส่งเงินจากพ่อและแม่ที่อยู่คนละที่ส่งเงินให้ใช้

     เช้านี้หลังจากรดน้ำต้นไม้แล้ว  มะปรางยังคงแต่งชุดนักเรียนออกจากบ้านแม้จะเป็นวันอาทิตย์ก็ตาม  จนป้าอุ่น..เพื่อนบ้านใกล้เคียงอดถามไม่ได้

    “ไปดูผลสอบเทียบค่ะป้า” เธอเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม ก็มีป้าอุ่นที่ใจดีอยู่ เธอถึงไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อการอยู่คนเดียวมากเกินไป
    “ใกล้จะหรือยังล่ะลูก ไอ้สอบเทียบอะไรนั้น”
    “ใกล้แล้วค่ะ คงจบพร้อมพี่อู๊ด”

    เธอหมายถึงลูกชายคนดีของป้าอุ่นที่เรียนอยู่ ม.6 อยู่คนละโรงเรียนกับเธอ  ความจริงก็เปรียบเสมือนญาติคนหนึ่งของมะปรางด้วย ป้าอุ่นพยักหน้ารับอวยพรไห้  มะปรางยิ้มอารมณ์ดีและแน่นอนผลสอบครั้งนี้ก็ฉลุยไปได้ด้วยดี  เธอเกือบเดินออกมาไม่สนใจใครถ้าคนๆนั้นไม่ใช่ผู้ชายผมสีน้ำตาลแดงเข้มสีเดียวกับดวงตา

    “อย่าทำหน้าหมอหล่อแบบนี้เด่ะ...ตกก็สอบใหม่ได้เพื่อน  กศน.วิชาไม่กี่บาทเอง”  เพื่อนอีกคนพูดแล้วตบไหล่เบาๆ
    “ตกรวดหมดแบบนี้...ไม่เป็นไรนะ”  คนฟังแค่นยิ้มฝืนทำตลก  ทำเอาเพื่อนซึมตามไปด้วย
    “ไม่เอาน่า...เดี๋ยวเลี้ยงเบียร์เอาม่ะ”
    “ไม่อ่ะ...กินไม่ลง”

    คนตอบเดินก้มหน้ามาทางมะปรางที่ยืนขวางทางอยู่แบบไม่ตั้งใจ  เธอเองก็เดาไม่ออกว่าเด็กหนุ่มหน้าฝรั่งคนนี้เชื้อชาติไหนเพราะสำเนียงคนไทยชัดเจน
    “ขอ...ขอโทษคะ”  เธอเอี้ยวตัวจะหลบทางให้  อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วยนิ่ง-นาน จนเด็กสาวรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้า
    “วันนั้นเจ็บหรือเปล่า”
    “คะ”  มะปรางแปลกใจที่เขาจำเธอได้  หรือเพราะท่าทางเฉยๆของเธอที่เขาจำได้
    “ผมชนคุณ..ขอโทษแล้วก็ขอบคุณที่ช่วย”
    “ค่ะ”   เธอพูดได้แค่นั้นนึกคำพูดอะไรไม่ออกไม่เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
    “โกรธผมเหรอ”  เขาถาม  ดวงตาอ่อนโยนดูเศร้าลงทันที
    “เปล่าค่ะ”  เธอรีบบอกแต่ก็ทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมาได้  แม้ว่าที่มุมปากจะยังมีรอยเจ็บก็ตาม
    “ผมให้คุณเป็นการขอโทษ”  

    เขาปลดสร้อยเงินจากคอของตัวเองมาสวมใส่ให้เธอ  ความเย็นของสร้อยทำให้เธอสะดุ้งก่อนที่จะก้มลงมอง เต่าทองสีเงินเป็นมันเงาวาว   มะปรางพลิกดูไปมาอย่างช่างใจนึกเขินอยู่ในทีที่รับของจากคนแปลกหน้า
    “ตกลงคุณหายโกรธผม...ผมชื่อบิลลี่ฮะ”
    “ค่ะ”  จนแล้วจนรอดเธอก็เอ่ยอยู่คำเดียว
    “ไม่ชอบเหรอฮะ”   เขาถามกลับ น้ำเสียงน้อยใจจริงๆ
    “เปล่าค่ะ...มะปรางชอบมาก”
    “ชื่อมะปรางเหรอฮะ”  เขายิ้มกว้าง  ดวงตาดูระยับไปหมด  ดูอ่อนโยนจนไม่น่าเชื่อ  ว่าจะไปมีเรื่องที่หน้าโรงเรียนเมื่อ 3-4 วันก่อนได้
    “ผมคงรบกวนมะปราง เราคงได้เจอกันอีกนะฮะ”   เขาเอ่ยเมื่อเพื่อนเขามาสะกิดแขนเบาๆ เขากำลังจะเดินสวนทางจากไป มะปรางนึกถึงเรื่องที่จะสนทนาเมื่อครู่ของเขากับเพื่อนของเขา เพียงเสี้ยวนาทีเธอก็ตัดสินใจเรียกชื่อเขาเป็นครั้งแรก...
    “เพื่อเป็นการขอบคุณที่ให้เต่าทองตัวนี้ มะปรางจะช่วยติววิชาที่อ่อนให้เอามั้ยค่ะ”
    ........................

    มะปรางสะดุ้งทันทีที่เสียงโทรศัพท์ส่งเสียงดัง-ดังกว่าเสียงเพลงจากเต่าทองตัวน้อยของเธอ และรีบลุกขึ้นมารับโทรศัพท์  เจ้ากระรอกก็ดูจะซนอยู่กับขนมของมัน
    “พี่มะปรางเหรอค่ะ   นี้น้องณานะ”
    “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าค่ะน้องณา”   มะปรางนึกถึงเด็กสาววัยต้น 18  น้องสาวคนเดียวของคูณ
    “น้องณามีเรื่องจะรบกวนพี่มะปราง  พี่สาวคนดีแสนสวย…”   น้ำเสียงอ้อนวอนน่าเอ็นดู
    “เรื่องไรค่ะ”
    “น้องณาอยากไปงานวันเกิดเพื่อน  เขาเริ่มตอน 2 ทุ่มครึ่ง  พี่คูณยังทำงานอยู่เลย  แม่กับพ่อไม่ให้น้องณาไปคนเดียว  พี่มะปรางมารับน้องณาได้ไหมค่ะ  พ่อกับแม่ต้องให้ไปแน่นอน  น้องณาขอร้อง  น้องณาจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อ สัญญา...”
    “นี้เพิ่งทุ่มกว่าๆ...”   มะปรางหัวเราะในน้ำเสียงออดอ้อนของเด็กสาว และก้มมองเวลาที่ตัวเต่าทอง
    “กลับไม่เกินห้าทุ่ม”   อีกฝ่ายตอบไม่รอคำถาม
    “งั้นขอเวลาพี่อาบน้ำก่อนนะค่ะ แล้วจะไปรับที่บ้าน”
    “ขอบคุณค่ะพี่มะปราง รักพี่มะปรางมากกว่าพี่คูณอีก”

    มะปรางหัวเราะเบาๆกับคำยอของน้องสาวเพื่อนที่นิสัยตรงข้ามกับพี่ชายสิ้นเชิง  ปลายสายเงียบไปแล้ว  มะปรางถึงวางโทรศัพท์ลง  เจ้ากระรอกออกมาคลอเคลียเอาใจแต่เจ้าของก็รู้ดี  ดีดหน้าผากเจ้าจอมซนเบาๆก่อนที่จะหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ

    “ไม่ต้องมาอ้อนไม่ให้ไปด้วยหรอกนะบิลลี่”  

    เธอเรียกชื่อเล่นของเจ้ากระรอกน้อย รู้ว่าเวลาที่มันไม่ได้อะไรดั่งใจก็จะแกล้งงอแงทำซึมให้คนเอาใจ แต่เมื่อไม่มีใครใส่ใจจริงๆมันก็กลับมาซนตามเดิม... เธอเองก็มีเพียงเจ้ากระรอกตัวนี้ที่อยู่เป็นเพื่อนแก้เหงา...อย่างน้อยก็ดีกว่าจมอยู่กับความทรงจำเก่าๆ ที่ บังเอิญเหลือเกิน...เขากลับมาแล้ว...ที่ความเป็นจริงในปัจจุบัน...
    ....
    อ่านต่อ(นะ)

    แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 48 18:26:42

    จากคุณ : สายลมอิสระ - [ 30 ต.ค. 48 18:23:34 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป