ความสำคัญของการเดินทาง ไม่ใช่แค่เป้าหมายเท่านั้น แต่เป็นทุกย่างก้าวที่เราเดิน
เล็งแต่เป้า แล้ววันที่เหลืออยู่จะมีความสุขได้อย่างไร
มองแต่จุดหมาย แล้วทุกก้าวที่ย่างจะมีความสุขได้อย่างไร
หัวใจสำคัญของการเดินทาง คือ เรามีความสุขในทุกย่างก้าวที่เดิน ไม่ใช่อดทน กดดัน และรอคอยชื่นชมในวันที่ถึงเป้าหมายเท่านั้น
แต่ฉันก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตต้องเจอกับความสุขทุกวัน ล้มบ้างต้องมี เพื่อการเรียนรู้ และปรับปรุงตัว ไม่ใช่ทนท้อทุกวัน จนรู้สึกเหมือนต้องทำอะไรที่ไม่อยาก
เพราะฉะนั้น เราจะต้องขึ้นต้นด้วยความรัก และลงท้ายด้วยความรัก ทำเพราะความรัก แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
ฉันเจอบทความนี้จากหนังสือ ปัดเข่า แล้วลุกขึ้น ของต้นกล้า นัยนา อ่านแล้วก็รู้สึกว่าที่เธอกล่าวออกไปนั้นมันใช่เลย แล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่โดนใจฉันมากที่สุด เพราะว่ามันทำให้ฉันคิดถึงการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ และก็เป็นครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตของฉัน และถ้าหากฉันเลือกผิดทางล่ะก็ ฉันอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้
เรื่องที่ฉันจะพูดถึงนี่ ก็คือเรื่องการเตรียมสอบเอนทรานส์ เส้นทางก้าวเข้าสู่รั้วมหาลัย
เมื่อฉันเริ่มก้าวเข้าสู่สนามที่ต้องแข่งขันกับคนทั้งประเทศ ฉันยอมรับว่าฉันกังวลมาก หลายคนเห็นเป้าหมายของตัวเองรออยู่ตรงหน้า จะใกล้หรือไกลก็แล้วแต่ความสามารถ แต่บางคนเป้าหมายอาจจะใกล้กว่าคนอื่นเพราะใช้เส้นทางลัด สอบโควตาแล้วก็เข้าได้เลย แต่ว่าฉันกลับยังไม่เห็นเป้าหมายของตัวเองเลย เห็นแต่เส้นทางที่แม่ปูเตรียมไว้ให้ฉันเดิน
มันสบายที่จะเดินตามนั้น แต่ฉันก็ไม่อยากก้าวไปบนเส้นทางนั้นเลย เพราะฉันรู้สึกว่ามันไม่ใช่ทางเดินของตัวเอง แม่จะให้ฉันเรียนบริหารธุรกิจ สาขาบัญชี ทั้งๆที่ฉันไม่ชอบตัวเลขเลย ใช่! เรียนจบแล้วมันหางานทำง่าย งานก็สบาย เงินเดือนก็พออยู่ได้ แต่ว่าฉันไม่ชอบทำงานออฟฟิต มันอึดอัดเหมือนถูกจับอยู่แต่ในห้องขังติดแอร์ มีเวลาพัก เข้า ออก ตรงเวลา มาทำงานสายแค่นาทีเดียวก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องโดนหักเงินอีก แถมเลิกงานก่อนเวลาก็ไม่ได้ ได้แต่นั่งคุดคู้อยู่แต่ที่โต๊ะทำงาน ฉันไม่ชอบเลย มันอึดอัดมากๆ (และถ้าหากว่ามีเจ้านายจู้จี้จุกจิกขี้บ่นล่ะก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย)
ถึงแม้ว่ามันจะน่าอึดอัดสักแค่ไหน แต่แม่ของฉันก็อยากให้ฉันก้าวตามทางเดินของแม่ มันเป็นอาชีพที่มั่นคง หางานง่าย สบาย (และน่าเบื่อที่สุด)
สิ่งที่ฉันใฝ่ฝันมันตรงกันข้ามกับความมั่นคงที่แม่หยิบยื่น ฉันชอบวาดรูป ชอบการขีดๆ เขียนๆ ชอบชีวิตที่เป็นอิสระ ไม่มีใครมาบังคับ และไม่ชอบการคำนวณ (พูดง่ายๆ ก็คือเกลียดเลข)
ฉันอยากเข้าคณะศิลปกรรมฯ เพราะมันสนองความฝันของฉันได้มากที่สุดแล้ว
แต่แม่ก็แย้งว่า เรียนคณะนี้จบแล้วจะหางานทำได้ที่ไหน (แล้วจะหากินอะไรกับงานนี้) ไอ้งานขีดๆ เขียนๆ เป็นศิลปินมีแต่จะไส้แห้ง งานก็ไม่มั่นคง (เมื่อเทียบกับงานบัญชีของแม่) บางคนจบไปยังหางานทำไม่ได้ ได้แต่ไปนั่งวาดรูปตามห้าง แถมรูปที่วาดไปก็ขายไม่ออก สุดท้ายก็หนีไม่พ้นทำงานตามโรงงานอยู่ดี ฉันกลุ้มใจมาก ถึงขนาดตั้งกระทู้ถามตามเว็บต่างๆ ที่ฉันพอรู้จัก เพื่อขอคำปรึกษาสำหรับการตัดสินใจว่า
ระหว่างความใฝ่ฝัน กับความมั่นคง ควรเลือกทางไหนดี
พอฉันขึ้นกระทู้ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็มีคนตอบกลับมาสามคน ทุกคนพูดเหมือนกันหมดเลยว่า
ให้เดินตามทางที่ตัวเองอยากเดิน
และเมื่อเดินตามทางนั้นแล้ว เดี๋ยวก็มีทางออกเอง ถ้าคณะที่ฉันเลือกมันหางานทำไม่ได้เลยจริงๆ ทางมหาลัยเขาจะมีคณะนี้ไว้ทำไม คนที่จบจากคณะนี้ไปก็ตกงานกันหมดน่ะสิ
ให้เลือกตามทางที่คิดว่าชอบมากที่สุด เพราะถ้าเลือกทางนั้นแล้ว ทุกย่างก้าวที่เดินไปก็จะเดินด้วยความมั่นใจและมีความสุขไปกับมัน
เพราะฉะนั้น ฉันจะต้องเริ่มต้นด้วยความรัก และลงท้ายด้วยความรัก ทำเพราะความรัก
ดังนั้น ฉันก็เลยตัดสินใจเลือกคณะศิลปกรรมเป็นอันดับหนึ่ง คณะที่แม่อยากให้เรียนเป็นอันดับสอง (ส่วนอีกสองอันดับที่เหลือก็เป็นคณะอักษรศาสตร์)
และนั่นก็หมายความว่า ถ้าฉันเข้าคณะที่ตัวเองอยากเข้าไม่ได้ ฉันก็ต้องเรียนในคณะที่แม่อยากให้เรียนตามข้อตกลงที่ฉันให้ไว้กับแม่ เพราะถ้าฉันไม่มีความสามารถพอก็คงเข้าคณะที่ตัวเองรักไม่ได้
อย่าว่าแต่จะ Entให้ติดเลย ตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่าจะตัวเองจะ Entติดรึเปล่าด้วยซ้ำ
มันเป็นความกดดันครั้งยิ่งใหญ่จริงๆ
เล็งแต่เป้าหมาย แล้ววันที่เหลืออยู่จะมีความสุขได้อย่างไร
ในช่วงนั้นฉันรู้สึกกดดันสุดๆ ยอมรับว่าไม่มีความสุขเลย เพราะนอกจากจะต้องอ่านหนังสือแล้วยังต้องฝึกการปฏิบัติด้วย ตอนนั้นยังใช้สีโปสเตอร์ยังไม่เป็นเลย แล้วมันก็เป็นสีที่ใช้ในห้องเรียนเป็นหลักด้วย (ถ้าEntติดนะ)
ในบางครั้งวาดรูปไป ร้องไห้ไปก็มี
ไหนจะต้องอ่านหนังสือ ไหนต้องฝึกวาดรูประบายสี ไหนต้องไปกวดวิชาสารพัดวิชา ตอนนั้นได้แต่ท่องคำว่า ต้อง Entให้ได้ๆ เพื่อปลอบใจตัวเอง
พอถึงวันสอบภาคปฏิบัติ (สอบวิชานี้เป็นวิชาแรกเลย คือความถนัดทางนิเทศศิลป์) สนามสอบอยู่ที่โรงเรียนวัดสังเวช (ชื่อโรงเรียนเป็นแบบนี้จริง แค่ชื่อก็...นะ) ฉันแบกกระดานเข้าไปในสนามสอบ เหมือนตัวเองเป็นศิลปินเดี่ยวในขณะที่คนอื่นๆ เขาหอบเอาหนังสือมา รู้สึกว่าตัวเองโก้ชะมัดเลย
โชคดีที่ในการสอบไม่ต้องใช้สีโปสเตอร์ก็ได้ ฉันเลือกใช้สีไม้แล้วก็เป็นสีที่ตัวเองถนัดที่สุดด้วย ไม่ว่าผลจะออกมายังไง ฉันก็โล่งใจไปเยอะ สุดท้ายมันก็ผ่านๆ ไปซะที
ฝึกภาคปฏิบัติมันเป็นยังไง บอกตามตรง ก่อนที่ตัวเองจะเข้าสอบก็ยังไม่รู้เลย
โชคดีที่ฉันเจอโจทย์ไม่ยากนัก ให้ออกแบบลายเสื้อเกี่ยวกับพระคุณของพ่อ เขาจะให้ภาพเสื้อ (เปล่าๆ ไม่มีลวดลาย) มาให้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แล้วก็ให้ออกแบบกันเอาเอง เขาให้เวลา 3 ชั่วโมง แล้วต้องระบายสีให้สวยงาม (และต้องให้เสร็จด้วย ไม่อย่างนั้นจะโดนหักคะแนนเยอะ)
สังเกตว่าคนอื่นๆ เขาจะวาดรูปหัวใจสีแดงกันเยอะมาก (มีแอบๆ ดูของชาวบ้านเหมือนกัน) ฉันก็ทำคล้ายๆกันนี่แหละ แต่แทนที่จะใช้รูปหัวใจ กลับใช้ใบโพธิ์สีทองแทน ข้างในใบโพธิ์แต่ละใบก็จะวาดเกี่ยวกับความเสียสละของพ่อ บุญคุณของพ่อที่มีต่อลูก
ตัวอย่างเช่น เวลาไม่สบายพ่อกับแม่ก็จะพาเราไปหาหมอ หมอก็ถือเข็มฉีดยาอันเบ้อเร่อให้ดูโอเว่อร์จนน่ากลัว (แถมหลายครั้งค่ารักษาก็แสนแพงเกินเหตุ) แล้วพ่อก็เป็นคนพาเราไปโรงเรียนในวันแรก (โรงเรียนนี้ไม่มีใครเรียนเลย มีแต่ตึกกับเสาธง ลูกก็แสนจะโยเย ร้องไห้ไม่ยอมเลิก) ส่วนอีกรูปก็วาดตอนพ่อที่เหนื่อยล้ากับการทำงาน สิ่งที่ตอบแทนกลับมาก็คือเงิน เป็นค่าเทอมของลูก (วาดรูปพ่อกำลังออกจากห้องทำงาน เหงื่อโทรมนับแบงก์เพียงไม่กี่ใบ) ความยากลำบากต่างๆที่พ่อทำไปก็เพื่อลูกทั้งนั้น
ส่วนด้านหลังของเสื้อก็วาดรูปดอกกุหลาบล้อมรอบเป็นรูปหัวใจ วาดรูปพ่อ (แบบหล่อเกินจริง) ไว้ตรงกลาง (มีปีกข้างๆ หัวใจกุหลาบด้วยนะ เขียนคำว่ารักพ่อ) ส่วนแขนเสื้อก็เขียนข้อความ (อะไรจำไม่ได้แล้ว) แต่จำได้ว่าตัวเองส่งงานในช่วงนาทีสุดท้ายพอดี ระบายสีแทบไม่ทันเลย
ฉันระบายสีของเสื้อเป็นสีฟ้าอมเหลือง (ออกสีเขียวหน่อยๆ) ใบโพธิ์สีทอง (ใช้สีส้มเข้มไล่ไปจนอ่อนแล้วค่อยใช้สีเหลืองผสม ไล่ค่าน้ำหนักสีไปแบบนี้ก็ดูสวยดี) ส่วนกลีบดอกกุหลาบก็ใช้สีชมพูผสมเหลืองกับส้ม (ฉันนี่ใช้สีเปลืองจริงๆ) แต่ทุกรูปเน้นระยะแสงเงาหมด วาดเสร็จแล้วมีความสุขเลยที่ตัวเองทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้
ส่วนวิชาอื่นๆ (โดยเฉพาะเลข) ค่อนข้างไม่คาดหวังเลยว่ามันจะดี มั่วซะเยอะ กะว่าให้วิชาความถนัดฯ เป็นตัวช่วย สุดท้ายผลก็ออกมา (ตอนนั้นดูในอินเทอร์เน็ต ลุ้นมากๆ กว่าจะต่อเน็ตติดได้ก็แทบแย่) วิชาที่ฉันทำได้ดีที่สุดก็คือความถนัดด้านนิเทศศิลป์ 70 คะแนน ส่วนวิชาอื่นๆ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีวิชาสังคมกับวิทยาศาสตร์ที่เกิน 50 ภาษาไทยได้ 49 อังกฤษ 46 ส่วนวิชาคณิตศาสตร์ (เฮ้อ! ได้ 24)
เห็นได้ชัดเลยว่า อะไรที่ฉันไม่ชอบ ผลตอบรับกลับมามันก็ไม่ดีเอาซะเลย ตรงกันข้ามกับวิชาที่ตัวเองชอบกลับทำคะแนนได้เยอะที่สุด
สุดท้ายฉันก็เข้าคณะที่ตัวเองชอบได้ เข้าคณะที่ตัวเองเลือกนี่แหละ ตอนนั้นรู้สึกดีใจ สบายใจ แล้วก็สุขใจไปพร้อมๆ กัน
แต่มันก็มีข้อแลกเปลี่ยน
ทุกๆ ตอนปิดเทอม ฉันต้องช่วยแม่ทำงานที่ออฟฟิต คิดบัญชี เงินเดือนพนักงาน ภงด. 91 (ภาษีเงินได้) เช็คสินค้า คิดผลกำไรของบริษัทในแต่ละเดือน (อันนี้ส่วนใหญ่ให้แม่ทำ ตัวเองช่วยนิดๆ หน่อยๆ เพราะไม่ถนัด) ฉันทำงานที่ออฟฟิตแม่ตั้งสองเดือนก็จะแย่ มีแต่ตัวเลขทั้งนั้น แต่ฉันก็เถียงแม่ไม่ได้ ก็แม่ยอมให้ฉันเรียนคณะที่ตัวเองชอบแล้วนี่
ยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอ ฉันหนีตัวเลขกับอังกฤษไม่พ้นจริงๆ
หลังเลิกงานก็ต้องไปเรียนอังกฤษอีก (บางวันต้องขอลางานครึ่งวัน เพราะมีเรียนช่วงเช้า) แม่ให้เหตุผลว่าภาษาอังกฤษจำเป็นและสำคัญมากที่สุดสำหรับทุกๆ อาชีพ โดยเฉพาะทำงานในออฟฟิตแม่ ฉันก็ต้องแปลจดหมายของลูกค้าของบริษัทด้วย (ส่วนใหญ่เป็นบริษัทญี่ปุ่น กับสิงคโปร์ Grammarแม่นมากๆ นอกจากแปลแล้วฉันก็ต้องศึกษาหลักGrammar จากจดหมายเหมือนกัน)
การทำงานเป็นพนักงานบัญชี ฉันชอบอยู่อย่างเดียว คือตอนเวลานับเงินใส่ซองให้พนักงานช่วงสิ้นเดือน
ฉันคิดว่าตัวเองคิดถูกแล้วล่ะที่ไม่เลือกเรียนในคณะที่แม่เลือกให้ ไม่อย่างนั้นเป็นไมเกรนแน่ (ก็อย่างที่บอก ตัวเองไม่ชอบเลขเลย เห็นตัวเลขเยอะๆ แล้วปวดหัวทุกที แถมทำบัญชีก็ห้ามมีข้อผิดพลาด แม้แต่ตังค์แค่บาทเดียว)
แล้วตอนนี้ ฉันก็อยากเป็นนักเขียนซะด้วยสิ ถ้าถามฉันว่าทำไมถึงอยากเป็นล่ะ ก็คงจะตอบว่า
เพราะว่าฉันสามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวละครได้น่ะสิ ไม่มีใครสามารถบังคับ(และกำหนด) ชีวิตของพวกเขาได้ นอกจากฉัน ผู้ที่เขียนให้เขามีชีวิต มีบทบาทขึ้นมา แล้วเรื่องนี้ฉันก็เป็นคนกำหนดชะตาของตัวละครเองเหมือนกัน โดยที่ไม่มีใครมาบังคับฉันได้ เพราะฉันเป็นนักเขียน (สมัครเล่น) ที่มีอิสระทางความคิด และการเขียน
ชีวิต ลิขิตเอง
ป.ล. เขียน ณ วันที่ 29 พ.ค. 2547
แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 48 09:25:17
จากคุณ :
รัตน์ดา
- [
31 ต.ค. 48 09:24:29
]