CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ข้อเสนอในคืนหนึ่ง

    รถเก๋งสีน้ำตาลไหม้คันใหม่เอี่ยมเลี้ยวเข้ามาจอดที่ประตูรั้วบ้านหลังหนึ่ง ลำแสงจากไฟหน้ารถพุ่งปะทะกับประตูรั้วบ้าน ซึ่งเป็นประตูไม่ค่อยข้างเก่า มีคราบน้ำจับอยู่ทั่วไป ให้ความรู้สึกย้อนกาลเวลาได้เป็นอย่างดี ช่างผิดแผกแตกต่างจากบ้านในบริเวณนี้ที่ส่วนใหญ่เป็นประตูเหล็กดัด
    ประตูเปิดออก ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่งสง่าผ่าเผยก้าวลงจากรถ เดินตรงไปจนถึงประตูรั้วหน้าบ้านแล้วเอื้อมมือกดกริ่งที่อยู่บนต้นเสาข้าง ๆ ประตูรั้ว เสียงกริ่งดังอ๊อด ๆ มาจากบนบ้านตามจำนวนที่เขากอด ไม่นานนักไฟบนบ้านพลันสว่างขึ้น
    ชายผู้มาเยือนยืนรออยู่หน้าประตูบ้านอย่างสงบ ขณะรอเขายกแขนขึ้นดูนาฬิกาที่ข้อมือ เวลา 22.15 น. แล้ว
    ชั่วอึดใจต่อมา ได้ยินเสียงแกร๊กมาจากประตูบ้านด้านในพร้อมกันบานประตูไม้ค่อย ๆ เปิดออก ผู้เปิดประตูเป็นชายวัยประมาณ 50 เศษ แลเห็นสีขาวจาง ๆ แซมอยู่บนเส้นผม ดวงตาของชายเจ้าของบ้านซ่อนความหม่นเศร้าอยู่อย่างลึกซึ้ง
    ชายเจ้าของบ้านเดินช้า ๆ มาเปิดประตูรั้วบ้านออกจนกว้างพอที่รถสามารถเข้าไปข้างในได้แล้ว จึงยิ้มให้ชายผู้มาเยือน แล้วพูดขึ้นว่า
    “สวัสดีครับคุณวิโรจน์”
    ชายผู้มาเยือนที่ชื่อ “วิโรจน์” ยิ้มกว้าง แล้วพูดขึ้นว่า
    “สวัสดีครับ”
    “พอดีผมไม่ค่อยสบาย จึงนอนเร็วไปหน่อย” เจ้าของบ้านพูด
    “แย่จริงนะครับ” วิโรจน์พูด “ผมเองก็มาเสียดึก”
    “ผมนึกว่าคุณวิโรจน์จะไม่มาแล้ว” เจ้าของบ้านพูดขึ้นอีก
    “ผมต้องขอโทษลุงทินด้วยครับที่มาช้าไปเกือบชั่วโมง” วิโรจน์พูดต่อ “พอดีติดพันงานที่บริษัท แต่ถึงอย่างไร เมื่อผมนัดไว้ผมต้องมาอยู่แล้ว”
    “เชิญข้างในเลยครับ” ลุงทินกล่าวเชื้อเชิญ พลางผายมือ
    “ครับ”
    วิโรจน์หมุนตัวกลับเดินไปที่รถ ก่อนขับช้า ๆ เข้าไปภายในบ้าน เมื่อรถของวิโรจน์พ้นประตูรั้วบ้านแล้ว ลุงพินผู้เป้นเจ้าของบ้านจึงปิดประตูรั้วบ้านไว้ดังเดิมจากนั้นเดินนำหน้าวิโรจน์เข้าไปภายในบ้าน
    “กาแฟมั้ยครับ” ลุงทินเอ่ยขึ้น เมื่อวิโรจน์นั่งลงบนโซฟาที่ห้องรับแขก
    “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากครับ ผมว่าเริ่มคุยธุระกันเลยดีกว่าครับ” วิโรจน์พูดขึ้นอย่างรวบรัด
    ลุงทินนั่งลงบนโซฟาอีกตัว แววตาที่หม่นเศร้ายังคงฉายอยู่ในดวงตาของแกตลอดเวลา แม้ว่าได้พยายามกลบเกลื่อนแล้วก็ตาม
    “หลานสาวของลุงทินสบายดี” วิโรจน์เริ่มเกริ่นถึงธุระที่เขามาพบกับลุงทินโดยไม่ให้เสียเวลา
    นัยน์ตาของลุงทินที่ฉายได้ด้วยแว่วหม่นเศร้ายิ่งดูสลดลงไปอีก เมื่อวิโรจน์เอ่ยถึงหลานสาวของแก และดูเหมือนว่าแกกำลังพยายามข่มความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
    สายตาของวิโรจน์จับจ้องอยู้บนใบหน้าของลุงทินโดยไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมาคล้ายกับว่า ความรู้สึกของวิโรจน์ด้านชาแล้วก็ปาน
    “สบายดีครับ” น้ำเสียงของลุกทินสะท้านเล็กน้อย “ไม่ต้องห่วงหลานสาวของผมในเรื่องนั้นหรอก”
    ประโยคท้ายของคำพูดลุงทินเหมือนประชดอยู่ในที วิโรจน์ก็คล้ายจะล่วงรู้เช่นกัน จึงพูดขึ้นว่า
    “ผมเพียงถามด้วยความเป็นห่วงเธอ”
    วิโรจน์ขยับตัวเพื่อเปลี่ยน อิริยบถ แล้วพูดขึ้นอีกว่า
    “ผมเข้าใจครับ ญาติทุกคนต่างก็ต้องรู้สึกอย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น แต่มันก็เกิดขึ้นมาแล้ว ผมหมายถึงว่า ไม่ใช่ผมไม่เสียใจด้วย แต่เมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้วเราก็ควรหาทางแก้ไข ตอนนี้ไม่เพียงแต่หลานสาวของลุงทินเท่านั้นที่ถูกกระแสสังคมบีบคั้น แม้แต่...เออ...นายของผมเองก็โดนเช่นกัน ข่าวออกมาทุกวี่วัน ตอนนี้คงไม่ใช่สิ่งที่จะมาพูดถึงว่า ใครผิดใครถูกันแล้ว เพราะไม่ว่าใครจะผิดหรือถูก ต่างก็บอกช้ำพอ ๆ กัน”
    “ผมรู้ดีครับ” ลุงทินพูดเสียงออกจากไรฟัน บ่งบอกถึงการระงับอารมณ์อย่างถึงที่สุด
    “ที่ผมมาวันนี้ก็เพื่อประสานความเข้าใจระหว่างกัน “วิโรจน์พูด” ใช่ครับหลานสาวของลุงทินย่อมไม่สามารถจะเรียกสิ่งที่สูญเสียไปแล้วให้กลับคืนมาได้ สังคมของเธอเองก็อาจจะมองเธอด้วยสายตาที่แปลกแยกพอสมควร แต่นายผมก็มีสิ่งที่ชดเชยให้อย่างน้อยที่สุดมันก็จะทำให้อนาคตของเธอดีขึ้น และเป็นการแสดงการขอโทษและชดเชยให้กับหลานสาวลุงทิน ผมเชื่อว่าเวลาผ่านไปจะช่วยให้ เธอดีขึ้น และฝันร้ายที่เธอได้รับก็จะไม่กลับมาหลอกหลอนเธอเธออีกอย่างแน่นอน”
    “ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน” ลุงทินพูด
    “นั่นสิครับ”
    “แต่...แต่บางทีมันอาจจะสายเกิน”
    “ไม่มีสายเกินหรอกครับ” วิโรจน์พูดขึ้น แล้วหยุดชั่วขณะ เหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า ไม่ควรพูดอะไรบางอย่างออกไปให้สะเทือนความรู้สึกของลุงทิน “ในความเป็นจริงแล้ว นายของผมก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันนักเหมือนกับที่ผมพูดไว้ตั้งแต่แรกนั่นแหละ นายผมเป็นคนที่คนรู้จักทั่วไป เป็นถึงข้าราชการระดับสูงแค่มีข่าวลือว่ามีอะไรกับเด็กไม่ถึง 18 ปี ก็เสียหายพออยู่แล้ว แต่นี่
    วิโรจน์หยุดพูดไว้แค่นั้น เหมือนเป็นการยอมรับในบางสิ่งบางอย่าง ก่อนจะระบายลมหายใจออกมายาว ๆ จ้องหน้าลุงทิน แล้วพูดขึ้นอีกว่า
    “หากทำเรื่องให้มันยุติ ลุงทินก็จะได้ทุนสักก้อนไว้ให้หลานสาวอาจจะย้ายโรงเรียนไปเรียนที่อื่นก็สามารถทำได้ เพื่ออนาคตที่ดีของเธอเองนะลุงทิน ลองคิดดูนะครับ รายอื่นเขาตกลงรับข้อเสนอของนายผมไปหมดแล้วเหลือแต่หลานสาวของลุงทินคนเดียว ผมรู้ว่า หากไม่ถูกขุดคุ้ย ลุงทินเองก็คงปล่อยให้มันเงียบไปอยู่แล้ว เออ...ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพียงแต่หมายความว่าต่างคนต่างก็ไม่เสียหายในสายตาของสังคม ผมไม่ได้พูดเข้าข้างตัวเอง เพียงแต่ยกตัวอย่างให้ฟังเท่านั้น
    เมื่อวิโรจน์พูดจบ ความเงียบก็เข้ามาแทนที่ เพราะลุงทินกำลังจมอยู่ในความครุ่นคิด บรรยากาศยามนี้จึงเป็นบรรยากาศที่ชวนอึดอัด และทั้งบ้านก็คล้ายจะเงียบเชียบ จนรู้สึกวังเวง
    ฉับพลันนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำเดินก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! มาจากชั้นบน เป็นเสียงฝีเท้าที่คล้ายย่ำหนัก ๆ เหมือนจงใจ แต่ก็คล้ายกับล่องลอยอยู่ในอากาศ และเหมือนกับดังมาจากทั่วทุกทิศทาง
    วิโรจน์สะดุ้งนิด ๆ แต่ก็ควบคุมอาการไว้มิดชิด จนลุงทินไม่สามารถล่วงรู้
    “หลานสาวของลุงทินคงไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกนะครับ ขอโทษครับผมไม่ได้ละลาบละล้วงถามนะครับ” วิโรจน์หยุดพูดเพื่อดูกิริยาของลุงทินชั่วขณะ จึงพูดต่อไปว่า “ไม่เป็นไรครับ ผมถามไปงั้น ๆ เอง มาคุยถึงธุระของเราต่อดีกว่า”
    “ผมคงไม่มีอะไรพูด” ลุงทินพูดขึ้น
    “หมายความว่า ข้อเสนอหนึ่งล้านที่นายผมจะจ่ายให้เป็นอันตกลง” วิโรจน์ยิ้มอย่างสบอารมณ์ขึ้นเป็นครั้งแรก
    แต่ลุงทินยังคงปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำแทนคำตอบของแก
    “ว่าไงครับลุงทิน” วิโรจน์ถามย้ำ
    แต่ลุงทินยังคงเงียบกริบ เหมือนกำลังขบคิดอะไรอยู่
    “หรือว่าน้อยไป ลุงทินเสนอมาได้ หากว่ามันไม่มากเกินไปนัก เออ...ผมหมายถึงเราคุยกันได้ครับ” วิโรจน์รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาก แต่เขาก็รีบเก็บอารมณ์ด้วยการพูดกลบเกลื่อน
    ความเงียบยังคงดำเนินไปอีกครู่ใหญ่ ลุงทินจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น และมั่นคง ว่า
    “ตอนนี้ผมไม่อยากจะรับฟังข้อเสนออะไรอีกแล้ว ผมอยากจะอยู่ตามลำพัง ไม่อยากจะให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้อง”
    ความขุ่นเคืองปรากฏขึ้นที่ดวงตาและสีหน้าของวิโรจน์อย่างเห็นได้ชัด เพมื่อได้ยินคำพูดของลุงทิน
    “ลุงทินคิดดูดี ๆ นะครับ อย่าเพิ่งตัดสินใจตอนนี้ ผมเข้าใจว่าลุงทินอาจจะยังทำใจไม่ได้” วิโรจน์พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างเต็มที่ “ลุงทินใจเย็น ๆ แล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ครับ”
    “ผมไม่มีอะไรจะตัดสินใจอีก” ลุงทินพูดน้ำเสียงพร่า
    “ไม่เอาน่าลุงทิน อย่างน้อยที่สุดในวันข้างหน้าก็สามารถพึ่งพาอาศัยกันได้ หลานสาวของลุงทินก็จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่” วิโรจน์พูดแล้วถอนหายใจอีกครั้งท่าทางของเขากำลังแสดงออกว่าเห็นใจลุงทินอย่างสุดซึ่ง “ผมพอรู้มาบ้างว่าหลานสาวของลุงทินน่าสงสาร แม่ของเขาไม่กลับมาอีกเลยนับตั้งแต่ที่เธอยังจำความไม่ได้ ผมจึงคิดว่าต่อไปนี้เธอจะผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายเหล่านั้น”
    “ขอบคุฯครับสำหรับความหวังดี” ลุงทินพูด “แต่ผมก็ไม่อยากจะรับข้อเสนออะไรทั้งนั้น ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว”
    วิโรจน์ยิ้มอย่างเข้าใจถึงอารมณ์และความรู้สึกของลุงทิน รอยยิ้มของเขานับว่ามีเสน่ห์อย่างยิ่ง เขายิ้มเพื่อให้คู่สนทนาของเขารู้สึกดีขึ้น แม้ว่าลึก ๆ แล้วอารมณ์ของเขาก็ยังขุ่นใจอยู่กับความดื้อรั้นของลุงทิน
    “ผมให้เวลาลุงทินคิดก็แล้วกันครับ พรุ่งนี้ลุงทินค่อยให้คำตอบก็ได้ เอาเป็นว่าคืนนี้ ผมรบกวนลุงทินแค่นี้ก่อน ผมถือว่าข้อเสนอต่าง ๆ เริ่มดำเนินไปในทางที่ดี ผากไว้ให้ลุงทินคิดก็แล้วกันนะครับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับลุงทิน คนเดียวเท่านั้น” วิโรจน์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ
    -----------------------------------------------------
    รถเก๋งสีน้ำตาลไหม้คันใหม่เอี่ยมของวิโรจน์ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจาหน้าบ้านของลุงทิน ไม่นานนักก็หายลับไปกับถนนในซอย
    ลุงทินมองตามจนรถของวิโรจน์หายลับไปแล้วนั่นแหละ จึงปิดประตูรั้วหน้าบ้าน แล้วเดินช้า ๆ เข้าบ้านไปอย่างเลื่อนลอย น้ำตาอุ่น ๆ เอ่อคลอนัยน์ตาของแก พลางสะอื้นเบา ๆ
    “พวกเขาคงยังไม่รู้หรอกว่าหลานของตาได้กินยาฆ่าตัวตายไปได้อาทิตย์กว่าแล้วตั้งแต่วันที่ตาพาไปพักฟื้นจิตใจที่ต่างจังหวัด และจัดงานศพเงียบ ๆ ที่นั่น แต่หลานของตาก็ไม่น่าทำอย่างนั้นเลย”
    ลุงทินรำพึงรำพันกับตัวเองก่อนจะเดินเข้าบ้านแล้วปิดประตูอย่างเงียบกริบ ไม่นานนักไฟในบ้านก็ดำสนิท บ้านทั้งหลังจึงตกอยู่ในความมืดมิด

    - จบ -

    ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗

    จากคุณ : เกรียงไกร หัวบุญศาล - [ 5 พ.ย. 48 16:01:17 A:58.8.245.252 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป