CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เรื่องเล่าจากโลกที่แล้ว (เรื่องสั้นแบบวิทยาศาสตร์นิดๆครับ ^^)

    ผมพบกับเขาครั้งแรกในสวนสาธารณะใจกลางเมืองเชียงใหม่ เป็นเช้าวันที่อากาศดีที่สุดครั้งหนึ่งในรอบปี อากาศต้นฤดูหนาวเริ่มเย็นเหมาะเจาะ เสียงลมหนาวระลอกแรกของปีกับเสียงนกร้องจิบจับรื่นเริงตามแมกไม้นอกอพาร์ตเมนต์เมื่อเช้าเร่งเร้าให้ผมลุกจากเตียงออกมาวิ่งสูดอากาศบริสุทธิ์ที่หาได้ยากขึ้นทุกวันในเมืองแห่งนี้ ใช้เวลาขับรถไม่นานนักก็มาถึงสวนสาธารณะสวนบวกหาดใกล้ที่ทำงาน

    ก้มลงผูกเชือกรองเท้าผ้าใบแล้วดัดแขนขาเล็กน้อยก่อนจะออกวิ่งเหยาะๆไปตามทางเดิน ทักทายยามรักษาความปลอดภัยและตายายคู่หนึ่งที่กำลังเดินไปยังลานรำมวยจีน กว่าหกปีในเมืองแห่งนี้ทำให้ผมคุ้นเคยกับสวนสาธารณะและผู้คนที่มาออกกำลังกายที่นี่เกือบทุกคน จำได้ว่าลานลีลาศอยู่ตรงไหน ลานเล่นบาสเกตบอลอยู่ตรงไหน ทางวิ่งข้างหน้ามีโค้งอะไรบ้าง ต้องวิ่งข้ามสะพานเมื่อไหร่ ต้องเจอกับใครตามทางบ้าง อาจจะบอกได้ว่าผมคุ้นเคยกับที่นี่จนสามารถหลับตาวิ่งและทักทายคนที่วิ่งสวนมาได้โดยอัตโนมัติ คิดๆไปอีกทีก็เป็นเหมือนกับกิจวัตรซ้ำซากที่น่าเบื่อก่อนไปทำงานช่วงสายทุกวัน

    แต่วันนี้มีบางสิ่งผิดสังเกตไปเล็กน้อย ม้านั่งใต้ต้นลีลาวดีตัวหนึ่งที่ผมมักใช้เป็นที่นั่งพักประจำเมื่อวิ่งมาได้ถึงครึ่งทางมีใครบางคนกำลังนั่งอยู่ ชายชราท่าทางทรงภูมิในชุดเสื้อโปโลสีครีมและกางเกงผ้าสีเทาดำกำลังใช้มือทั้งสองกุมไม้เท้าเหม่อมองดูพรรณไม้สีเขียวในสวนสาธารณะเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ ข้างตัวของเขามีถุงผ้าสีดำบรรจุเอกสารไว้แน่นจนตุง ท่าทางของเขาดูไม่เหมือนคนที่ตั้งใจจะมาออกกำลังเลยแม้แต่น้อย และผมก็ไม่เคยเห็นชายชราคนนี้ที่สวนสาธารณะแห่งนี้มาก่อนเลย

    กำลังทำท่าจะวิ่งเลยไปนั่งพักที่ม้านั่งตัวอื่น แต่ก็ได้ยินเสียงชายชราพูดตามหลังมา “ไม่หยุดนั่งพักก่อนหรือวิวัฒน์”

    ได้ผล ผมหยุดวิ่งทันทีแล้วหันไปมองชายชราช้าๆด้วยความแปลกใจ

    วิวัฒน์คือชื่อของผมเอง

    ชายชราหัวเราะในลำคอเบาๆเมื่อเห็นท่าทางของผม สายตาที่มองมานั้นแม้แต่จิตแพทย์ที่ทำงานมาเกือบสิบปีอย่างผมก็วิเคราะห์ได้ลำบาก เป็นสายตาที่เหมือนเป็นตัวแทนทั้งความเหน็ดเหนื่อย ความภูมิใจ ความโล่งใจ ความเป็นมิตร ความปลดปลง แต่ที่แน่ๆ ชายชราคนนี้กำลังยิ้มให้ผมและขยับตัวให้ผมได้นั่งข้างๆ ผมจำได้ว่าคิ้วของผมยังขมวดอยู่เมื่อตัดสินใจค่อยๆหย่อนตัวลงบนม้านั่งเดียวกันกับเขา

    “ยามเช้าก็เหมือนกับคนวัยเด็ก สดชื่น มีพลัง มีเวลาและอนาคตที่รออยู่ข้างหน้าอีกมาก” ชายชราเริ่มบทสนทนา “แตกต่างจากยามเย็น เงียบเหงา อ้างว้าง ไม่มีอะไรที่ต้องรอคอยอีกต่อไป”

    ผมนั่งมองและฟังชายชราเงียบๆ การพูดสื่อสารของเขาเหมือนกำลังแฝงความหมายอะไรบางอย่างอยู่ จากประสบการณ์การวินิจฉัยจิตของคนปกติและคนที่ผิดปกติมามากมาย ผมรู้ว่าเขากำลังหาทางสื่อสารอะไรบางอย่างกับผม แต่ความสงสัยคือ ทำไมเขารู้จักผม และทำไมเขาจึงเลือกสื่อสารกับผม

    “ถัดจากยามเย็นคือกลางคืน เป็นเวลาของความมืด ว่างเปล่า เหมือนคนที่ตายไปแล้ว แน่นอนไม่มีใครอยากตาย มนุษย์ต่างแสวงหาสิ่งต่างๆมาเพื่อยืดเวลากลางวันของตนออกไปให้นานที่สุดทั้งๆที่ชีวิตของเขาก็ไม่ได้น่ารื่นรมย์อะไร บางคนสะเดาะเคราะห์ บางคนกินยาบำรุง บางคนออกกำลังเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงเหมือนคนในสวนสาธารณะนี้ แต่สุดท้ายกลางคืนก็มาเยือนอยู่ดี”

    “แล้วมนุษย์ก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเราบังคับเวลาไม่ได้ แต่เราสามารถสร้างให้กลางคืนเหมือนกลางวันได้ด้วยการใช้แสงสว่างจากไฟฟ้า หลังจากยามเย็นผ่านไป มนุษย์จึงยังดำรงชีวิตต่อไปได้ ถึงแม้จะไม่เหมือนกลางวันซะทีเดียว” ชายชราหันมาสบตาผม “จะเรียกว่าโกงธรรมชาติหรือเรียกว่าต่อเวลาก็ตามแต่”

    “คุณลุงเพิ่งมาที่นี่เหรอครับ ผมไม่เคยเห็นลุงมาก่อนเลย” ผมพยายามเลี่ยงถามชายชราบ้างเพื่อคลายความสงสัยของตัวเองเกี่ยวกับมิตรแปลกหน้าคนนี้ และอาจทำให้ผมเข้าใจสิ่งที่เขาพูดสักครู่ได้มากขึ้น แต่ผิดคาดที่ชายชรายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วยิ้มอย่างรู้เท่าทัน เขาค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้น “เกือบเจ็ดโมงครึ่งแล้ว เธอวิ่งต่อเถอะ เดี๋ยวจะไปโรงพยาบาลไม่ทัน”

    ผมเผยอปากเล็กน้อยขณะที่มองตามหลังชายชราที่ค่อยๆใช้ไม้เท้าพยุงตัวเดินจากไป เป็นบุคคลที่ลึกลับโดยแท้ น่าแปลกใจที่เขารู้จักชื่อของผม ที่ทำงานของผม รู้จักแม้แต่ม้านั่งที่ผมนั่งพักประจำและเวลาที่ผมวิ่งมาถึง พูดจาเป็นปริศนาแล้วก็จากไปทิ้งให้ผมฉงนฉงายอยู่เบื้องหลัง

    จากจุดที่ผมยืนอยู่ เพียงหันขวามองข้ามรั้วสวนสาธารณะและคูเมืองเชียงใหม่ไปเล็กน้อยก็เป็นโรงพยาบาลประสาทสวนปรุง อาคารจิตสันติตั้งอยู่โดดเด่นเป็นสง่าเปิดให้บริการผู้ป่วยทางจิตจำนวนมากเข้ารับการรักษา ห้องทำงานของผมอยู่บนชั้นสาม

    ผมมองตามหลังชายชราจนเขาเดินออกจากสวนบวกหาดหายลับไปจึงหันหลังเดินกลับมาที่รถและขับออกมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อที่โรงพยาบาล ตลอดทั้งวันนั้นผมไม่มีสมาธิในการทำงานเลย คำพูดของชายชราที่เป็นปริศนาและลางสังหรณ์บางอย่างวนเวียนอยู่ในใจของผมตลอดแม้แต่เวลาที่นอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียง

    ชายชราคนนั้นเป็นใครกัน......


    เช้าวันถัดมาผมออกวิ่งที่สวนบวกหาดอีกครั้ง แต่ในสมองกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องการออกกำลังมากไปกว่าจะได้พบชายชราคนนั้นอีกครั้งเลย ผมรู้สึกว่าฝีเท้าของตัวเองในวันนั้นเร็วมากกว่าทุกๆวัน

    แล้วผมก็พบกับเขาอีกครั้ง ม้านั่งใต้ต้นลีลาวดีตัวเดิม ชายชรากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ขณะที่ผมนั่งลงข้างๆ หนังสือพิมพ์หน้ากลางลงคอลัมน์ข่าวแผ่นดินไหววันก่อนที่พม่าเต็มหน้ากระดาษ

    “เธอรู้สึกตัวไหมตอนที่มีแผ่นดินไหวเมื่อวานซืน” ชายชราเอ่ย เป็นทั้งบทสนทนาและคำทักทายไปในตัว เมื่อเห็นว่าผมสั่นหัวแทนคำตอบเขาจึงพับหนังสือพิมพ์ลง

    “วันนี้ตอนบ่ายสองเก็บข้าวของไว้ให้ดี ระวังจะหล่นใส่ตัว”
    ผมอ้าปากค้าง “คุณลุงพูดอะไร”

    “เจ็ดโมงครึ่งอีกแล้ว” ชายชรามองดูนาฬิกาแล้วใช้ไม้เท้ายันตัวลุกขึ้น “เธอไปทำงานเถอะ”

    “เดี๋ยวก่อนลุง ลุงรู้ชื่อผมแต่ผมไม่รู้ชื่อลุงเลย”

    ใบหน้ายับย่นนั้นหันมามองผมแล้วยิ้มบางๆที่มุมปาก “เรียกฉันว่าโชคดีเถอะ”

    “ลุงชื่อโชคดี?”

    ชายชราที่ชื่อโชคดียิ้มแทนคำตอบ


    ผมหยิบชุดแผ่นภาพออกมาจากกล่องไม้กล่องหนึ่ง เรียงแล้วยกให้คนไข้ดูทีละภาพประกอบคำถาม แผ่นภาพพวกนี้เป็นภาพหยดหมึกหลากสีสันที่ดูแล้วเหมือนเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจและดูไม่มีความหมายอะไรเลย แต่ในวงการจิตวิทยานี่คือแบบทดสอบการฉายภาพทางจิตแบบหยดหมึกของรอร์ชาร์ดที่ใช้ในการวิเคราะห์บุคลิกภาพและจิตใต้สำนึก ระหว่างที่ผมกำลังยกแผ่นภาพให้คนไข้ดูทีละภาพและให้เล่าเรื่องจากรูปที่เห็นพร้อมเหตุผลอยู่นั้นไฟฟ้าในห้องตรวจก็ดับลง กำลังหันไปมองรอบตัวว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่นั้นก็มีเสียงอาคารปริร้าวน่ากลัวก่อนที่ห้องทั้งห้องดูเหมือนจะถูกจับโยกไปมา ผมรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้กำลังจะตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไปก็ปรากฏว่าแฟ้มเอกสารกองใหญ่ที่เทินอยู่บนหิ้งหนังสือข้างหลังก็ร่วงลงมากระแทกจนเซไปชนโต๊ะ เสียงคนไข้ร้องโหยหวนพยายามคลานหนีออกไปนอกห้อง ส่วนผมได้แต่เอามือปัดป้องข้าวของที่หล่นลงจากหิ้งและก้มลงไปหลบอยู่ใต้โต๊ะ ทั้งหมดทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยวนาที เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความเงียบและผมค่อยๆยันตัวออกมาจากใต้โต๊ะทำงานก็พบว่าห้องตรวจคนไข้เสียหายไปเล็กน้อย ผมยกแขนขึ้นคลำแผลจากการถูกสันแฟ้มคมบาดแล้วมองนาฬิกาแขวนที่หล่นลงมาบนพื้นห้อง

    เข็มสั้นยาวในนาฬิกา กำลังบอกเวลาบ่ายสองโมงสิบห้านาที

    ความแปลกใจและตื่นตระหนกของชาวเชียงใหม่ต่อการเกิดแผ่นดินไหวสะเทือนถึงใจกลางเมืองนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความตื่นตระหนกในใจของผม คืนนั้นเป็นคืนแรกในรอบหลายปีที่จิตแพทย์ผู้แนะนำให้คนไข้มากมายได้นอนหลับกำลังนอนไม่หลับเสียเอง

    จากคุณ : ธามาดา - [ 13 พ.ย. 48 14:42:19 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป