CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ผู้ป่วยที่ถูกละเลย โดย ปัญญ์ ปิยะอเนก (ช่วยแก้ไขโดย นายวรุณ)

    การราวน์ ก็คือการเยี่ยมไข้ของแพทย์ที่ข้างเตียงในหอผู้ป่วย   การราวน์มักจะทำกันเป็นทีมอันประกอบด้วยแพทย์พยาบาลรวมทั้งบุคลากรอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

      คงเพราะงานหนักหมอสันต์จึงดูเหมือนผอมลงกว่าเดิมในเดือนนี้   แม้ว่าจะมีท่าทีระโหยอยู่บ้างแต่การทำงานก็เป็นไปอย่างตรงต่อเวลาเหมือนเคย   ความเป็นกันเองกับผู้ร่วมงานและผู้ป่วยดูแล้วยังเสมอต้นเสมอปลาย   หมอบุษกรเป็นแพทย์ใช้ทุนที่มาฝึกงานกับหมอสันต์   เช้านี้เธอกำลังพาทีมอันประกอบด้วยหมอสันต์และพยาบาลอีกสองคนราวน์ในหอผู้ป่วยชายแห่งนี้

      หมอสันต์นำทีมสอบถามอาการผู้ป่วยพร้อมกับตรวจร่างกายไปทีละราย   ในรายที่รู้สติก็จะพูดคุยถึงเรื่องสาระทุกข์สุกดิบด้วย   หลายรายมีอาการหนักจนพยาบาลต้องช่วยอธิบายอาการที่เปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน   เมื่อการตรวจในแต่ละรายเสร็จจึงจะสั่งการรักษาลงในบันทึกการรักษา   เจ้าหน้าที่ในแผนกอายุรกรรมแทบทุกคนชอบตามราวน์กับหมอสันต์   เพราะนอกจากชื่นชมศรัทธาในความมุ่งมั่นเอาใจใส่ผู้ป่วยอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยยังได้รับความรู้ไปในตัวด้วย

      ผู้ป่วยรายหนึ่งเป็นชายชราอายุราวแปดสิบห้าปี   แกมองหาหมอสันต์ตั้งแต่เช้า   วันนี้แกต้องพบหมอสันต์ให้ได้เพราะมีความในใจจะบอก

      “ว่าไงลุงไหว อาการวันนี้ดีขึ้นหรือเปล่า”   หมอสันต์ทักลุงไหวเสียงดัง   ลุงไหวแกหูตึงเพราะโรคชรา   ต้องพูดดังๆแกถึงจะได้ยิน

      “หวัดดีหมอ ฮ่าๆ!   ดีใจมาก ฮ่า!”   แกพูดไปยิ้มกลั้วเสียงหัวเราะไป   เวลายิ้มเห็นเหงือกแดงแจ๋ ไม่มีฟันเหลือสักซี่   ใบหน้ายับย่นของแกหยาบกร้านและเต็มไปด้วยกระชรา   หุ่นของแกผอมแห้งดูคล้ายดาราตลกอาวุโสชาวปักษ์ใต้   แถมยังมีอารมณ์ดีตลอดเวลาเสียด้วย   หน้าตาของแกตอนยิ้มน่าขบขันเพราะดูเผินๆเหมือนลิงชิมแปนซี   แต่ชีวิตจริงของแกไม่ขำอย่างที่เห็น

      ความที่สูบบุหรี่มาชั่วชีวิตลุงไหวจึงป่วยเป็นโรคปอดเสื่อม   วันนี้อาการหอบของแกดูจะลดลงไปมากแล้วเหลือแต่อาการไอเล็กน้อย   แต่แกยังต้องดมออกซิเจนอยู่   ตั้งแต่หยุดสูบบุหรี่ลุงไหวรู้สึกว่าชีวิตของแกขาดรสชาติไปมาก

      “หมอ ฮ่าๆๆ!   วันนี้สูบบุหรี่ได้ไหม ฮ่า!   มันอยาก ฮ่าๆ!”   ลุงไหวพูดไปหัวเราะไป   ยิ้มหวานของแกเหมือนเย็บติดใบหน้าไว้อย่างถาวร   ประโยคนี้แกท่องมาทั้งคืนทีเดียว ซ้อมแล้วซ้อมอีกหลายเที่ยว   เพราะเหตุว่าภาษาไทยแกไม่สันทัดเท่าภาษาถิ่น   เกรงว่าหมอสันต์จะฟังไม่เข้าใจ

      “ลุงไหว!   ผมว่าเลิกบุหรี่ไปเลยดีกว่านะ   สูบบุหรี่มันทำให้ลุงหอบมาก   สงสารลูกหลานที่ต้องมาดูแลลุงไม่เป็นอันทำงานทำการ   ลุงจะได้แข็งแรงขึ้นด้วย   ผมรับรองว่าหายคราวนี้มีเมียใหม่ได้อีกคน”   หมอสันต์พูดหยอกล้อแล้วจับมือแกเบาๆ   เขามองหน้าแกด้วยสายตาแสดงความจริงใจ   รอยยิ้มของหมอสันต์ทำให้ลุงไหวลืมเรื่องที่เตรียมไว้พูดไปเกือบครึ่ง

      แกหัวเราะขำๆเรื่องที่จะมีเมียใหม่   เมียแกเสียชีวิตมาหลายปีแล้ว   หมอสันต์ทราบดี เลยเอามาเป็นเรื่องกลบเกลื่อนปัญหาอยากสูบบุหรี่ของแก

      “มีไม่ได้ดอก   ไม่ขันแล้ว ฮ่าๆ!”   แกสารภาพหน้าตาเฉย

      หมอบุษกรขำจนเผลอยิ้มออกมา  เวลายิ้มหัวเธอดูเปิดเผยและน่ารักกว่าที่ทุกคนเคยเห็นเธอมาก่อนหน้านี้   ความเคร่งเครียดบดบังความงามของเธอไปไม่น้อย

      “ลุงไหว!   หมอว่าลุงกินอาหารมากๆจะดีที่สุดเลย   ตอนนี้ปอดบวมหายแล้ว   ถ้ามีแรงมากกว่านี้ก็อาจได้กลับบ้านนะคะ”   หมอบุษกรให้กำลังใจ

      ลุงไหวหันมามองพยาบาลแล้วบ่นให้ฟังว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับ   เตียงใกล้ๆตะโกนดังลั่นเพราะอาการทางสมอง   แกบอกว่าที่บ้านแกเคยนอนคนเดียวที่เรือนกลางทุ่ง   กลางคืนมีแค่เสียงนกเค้าแมวกับหมาหอนพอทนได้    ถ้าหากว่าต้องอยู่โรงพยาบาลอีกสามสี่วันแกคงจะเริ่มป่วยใหม่เพราะอดนอนเป็นแน่

      หมอสันต์กำชับพยาบาลให้ช่วยย้ายเตียงแกไปที่มุมสงบๆ   ซึ่งมุมสงบที่ว่าความจริงแล้วหาแทบไม่ได้ในตึกผู้ป่วยสามัญของโรงพยาบาลรัฐ   ถึงอย่างไรเขาก็ใส่ใจในเรื่องที่ผู้ป่วยบ่นให้ฟังเสมอ

      ในที่สุดลุงไหวก็ลืมไปแล้วว่าแกจะขออะไรจากหมอสันต์   มีคนไข้อีกมากที่เป็นโรคปอดเสื่อมจากการสูบบุหรี่เหมือนลุงไหว   แต่หลายคนไม่โชคดีอย่างลุงไหว   บางรายจบชีวิตลงด้วยภาวะปอดวายอย่างทุกข์ทรมาน   ถึงแม้จะใช้เครื่องช่วยหายใจก็เอาไม่อยู่   หลายชีวิตในสังคมที่ยังสูบบุหรี่ไม่รู้ตัวว่าอยู่ในความเสี่ยง   แต่เยาวชนอีกมากกำลังถูกดึงเข้ามารับเคราะห์กรรมในวังวนอุบาทว์นี้ด้วยการโฆษณาบุหรี่

      หมอสันต์ตรวจผู้ป่วยรายต่อๆไปอย่างละเอียด   ความใจเย็นและอดทนทำให้เขาใช้เวลาไปไม่น้อยทีเดียวในแต่ละราย   ทุกรายเขาจะตรวจร่างกายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสมมุติฐานของโรค   มีหลายรายที่เขาเรียกให้หมอบุษกรตรวจซ้ำเนื่องจากเขาพบอาการแสดงที่น่าสนใจ   การสอนในภาคปฏิบัติเช่นนี้เป็นการย้ำความมั่นใจของแพทย์ใช้ทุนได้เป็นอย่างดี

      ในหลายรายเขาพูดถึงการวินิจฉัยแยกโรค   การเป็นแพทย์ไม่ต่างจากการเป็นนักสืบ   หลังการตรวจเบื้องต้นเขาต้องคิดหาสมมุติฐานของโรคไปต่างๆนานา   จากนั้นก็นำเอาข้อเท็จจริงหรือสิ่งตรวจพบรวมถึงผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการมาร่วมพิเคราะห์   ในที่สุดจึงตัดข้อสมมุติฐานที่ไม่มีน้ำหนักออกไป   จนเหลือแต่โรคที่สมเหตุสมผลที่สุด   ถึงจะได้ผลการวินิจฉัยโรคออกมา

      กระบวนการนี้ต้องใช้ความรู้พื้นฐานทางการแพทย์เป็นอย่างมาก   ในอดีตนั้นแพทย์คนที่อ่านมากจำได้มากและเห็นมามากจะมีความสามารถวินิจฉัยแยกโรคได้เก่ง   มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความน่าอัศจรรย์ของสมองอาจารย์แพทย์หลายท่าน   บางท่านสามารถจดจำความรู้ทางการแพทย์ได้มากมายอย่างละเอียดละออเหมือนเปิดหนังสืออ่าน   บางท่านจดจำรายละเอียดการเจ็บป่วยของผู้ป่วยที่เคยอยู่ในการดูแลในอดีตได้แทบหมดสิ้นไม่ลืมเลือน   แม้กระทั่งตัวเลขของผลตรวจทางห้องปฏิบัติการก็จำได้แม่นยำราวกับเขียนใส่สมุดทีเดียว

      แต่ปัจจุบันคอมพิวเตอร์มือถือเพียงอันเดียวก็อาจทำได้ใกล้เคียงอาจารย์แพทย์แล้ว   ดังนั้นหากซักถามประวัติการเจ็บป่วยเป็นอย่างดี   มีการตรวจร่างกายที่ละเอียดถูกต้องและมีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่แม่นยำ   ใช้ความรู้พื้นฐานประกอบกับข้อมูลทางวิชาการและประสบการณ์ทางการแพทย์ที่ร่ำเรียนมาโดยรอบคอบ   ถึงจะไม่เฉียบคมเท่าอาจารย์แพทย์   แต่การวินิจฉัยก็มักจะไม่ผิดพลาด


    (ต่อ)

    จากคุณ : วรุณนฤมล - [ 15 พ.ย. 48 14:29:02 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป