CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    Funny Love:Female ตอน "ตรวจไข้ หัวใจสะดุดรัก" โดย กมลภัทร

    “นายซุง เร็ว ๆ เข้าหน่อยสิ เดี๋ยวพี่ก็ไปสายกันพอดี วันนี้พี่รับงานวันแรกนะ อย่าทำให้เสียชื่อสิ เร็ว ๆ ตื่นรึยังเนี่ย ห๊า”

                 ฉันตะโกนเรียกน้องชายตัวดี เมื่อไม่เห็นวี่แววเจ้าประคุณจะแต่งองค์ลงมาเสียที ทั้งที่รับอาสาไปส่งพี่สาวไว้ดิบดีตั้งแต่เมื่อคืน นายตัวแสบเดินลงจากบันไดมาในเสื้อยืดสีขาวยาน ๆ กับกางเกงขาสั้นที่เจ้าตัวชอบใส่นอน ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตาแค่มองก็รู้ว่ายังไม่ได้โดนน้ำแม้แต่หยดเดียว

                 “โธ่ พี่แดด ก็เมื่อคืนน้องชายกลับดึก ก็เห็นใจกันบ้างสิครับคุณพี่”

                ฉันเร่งรีบเกินกว่าที่จะมาสนใจคำเรียกชื่อที่น้องชายชอบใช้เรียกฉัน ได้แต่กระทุ้งด้วยศอกให้นายซุงตื่นเต็มตามากขึ้น

                “นี่จะแต่งงานอยู่แล้วนะซุง เมื่อไหร่จะโตสักที เดี๋ยวก็ยุให้รดาเขาไปแต่งกับคนอื่นซะนี่”

                “ผมรู้หรอกว่าพี่สาวผมไม่ใจร้าย น้องชายจะแต่งงานทั้งที ก็ต้องยินดีด้วย จริงเปล่า”

                นายซุงตอบขณะที่เดินไล่หลังฉันมาติด ๆ ขณะที่ฉันเดินนำไปที่รถเพราะเห็นว่าเวลาจวนเจียนเต็มที่

               “เมื่อไหร่จะหัดขับรถให้เป็นเรื่องเป็นราวซะทีครับคุณพี่ครับ น้องชายจะได้ไม่ต้องตื่นมาส่งทุกวัน”

               “นี่ อย่ามาบ่นหน่อยเลยย่ะ ใครเขาไหว้วานกันล่ะ เสนอเอง พี่ก็รอจนสายป่านนี้ ถ้าเราไม่รับอาสา พี่นั่งแท็กซี่ไปตั้งนานแล้ว”

               ฉันตอบขณะที่ก้าวเท้าขึ้นรถ ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าเราอยู่บ้านกันสองคนพี่น้อง ไม่ได้จ้างลูกจ้างทำงานบ้านกันสักคนเดียว จึงก้าวลงจากรถไปเปิดประตู นายตัวดี เกาหัวแกรก ๆ ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในรถ แล้วขับออกรอนอกบ้าน ฉันรีบปิดประตูบ้านแล้วกลับขึ้นไปนั่งบนรถ

                รถยังไม่ทันออกตัวดี โทรศัพท์มือถือที่นายซุงถือติดตัวมาวางไว้ที่แผงด้านหน้ารถก็ดังขึ้น พ่อน้องชายคว้าหูฟังโทรศัพท์มาใส่หู แล้วพูดคุยกับปลายสายหวานเฉียบ แน่ละ น่าจะเป็นว่าที่น้องสะใภ้ของฉันเอง

               ฟังเสียงนายซุงพูดคุยกับรดาทางโทรศัพท์แล้วฉันอดที่จะหันไปมองไม่ได้ น้ำเสียงสดชื่น สีหน้ายิ้มแย้มของน้องชาย ทำให้ฉันอดที่จะคิดถึงตัวเองไม่ได้ ฉันเป็นอายุรแพทย์วัยเลยเบญจเพสที่ยังไม่มีเพื่อนชาย นึก ๆ แล้วมันก็น่าท้อใจอยู่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็บ่นให้ใครฟังไม่ได้เพราะเหตุมันเกิดจากตัวฉันเองเสียมากกว่าอย่างอื่น



                ไวท์ เพื่อนสนิทของฉันเคยค่อนขอดเอาไว้ตอนที่ฉันปฏิเสธที่จะลองคบหากับเพื่อนที่เธออุตส่าห์แนะนำให้ ฉันจำได้ดีว่าตอนนั้นได้บอกเพื่อนไปตรง ๆ ถึงปณิธานเรื่องความรักของตัวฉันเอง  ไวท์ทำตาโตเป็นไข่ห่าน ส่ายหน้าดิกแบบไม่เห็นด้วย

                ‘เธอนี่ไม่เหมาะจะเป็นหมอเลยนะ ยายซันนี่ น่าจะไปเป็นพวกแม่มด หมอผี ธิดาพยากรณ์มากกว่า ทำไมถึงได้เชื่อเรื่องเนื้อคู่ เรื่องบุพเพสันนิวาสอะไรแบบนี้นักก็ไม่รู้ แล้วนี่ปฏิเสธเพื่อนฉันเพราะเขาไม่สามารถทำให้หัวใจเธอกระตุกได้เนี่ยนะ ฉันล่ะสุดจะเชื่อเธอจริง ๆ’

                ‘โธ่ ไวท์จ๋า คนเราจะคบกัน รักกันได้ มันก็ต้องมีอะไรสักแว้บนึงแหละ ที่ทำให้รู้สึกว่าจะเป็นคู่กันได้ แต่นี่ฉันไม่เห็นจะรู้สึกอะไรกับเพื่อนเธอเลยนะ’

                ‘ก็เพิ่งจะเจอกันแค่ครั้งเดียวนี่ยะ เอาเถอะ ฉันขี้เกียจจะเถียงด้วยแล้วล่ะ อยากจะตามหาผู้ชายที่ทำให้หัวใจกระตุก เต้นดุ๊กดิ๊กอะไรของเธอก็ตามสบายก็แล้วกัน ไม่ยุ่งด้วยแล้วล่ะ’

                ตอนนั้นฉันก็ไม่อยากจะบอกไวท์ไปหรอกว่า ฉันก็ไม่อยากให้เขายุ่งเหมือนกัน เพราะฉันเชื่อของฉันจริง ๆ ว่าคนเราต้องมีคนที่เกิดมาเพื่อเราโดยเฉพาะ คนที่ทำให้เรารู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมาที่อวัยวะมหัศจรรย์ในอกข้างซ้าย  ใครจะไม่เชื่อเรื่องเนื้อคู่ กระดูกคู่ ก็ช่าง แต่ฉันเชื่อว่ามันมีจริงนะ ฝรั่งเขายังเขียนหนังสือขายไม่รู้กี่เล่ม เรื่องพวกโซลเมท อะไรพวกนั้นน่ะ ฉันยังเคยอ่านอยู่สองสามเรื่องเลย



                 ฉันเชื่อแม้กระทั่งตอนที่นั่งเป็นสาวโสดอยู่ข้าง ๆ ว่าที่เจ้าบ่าว นายซุงคุยกับว่าที่น้องสะใภ้ด้วยเสียงหยาดเยิ้ม ชนิดที่ฉันอยากจะเอาดีดีทีมาฉีดกันมดให้รู้แล้วรู้รอด  จะว่าไปก็น่าอิจฉานายซุงอยู่หรอก เพราะว่าที่เจ้าสาวออกจะสวยเพียบพร้อมเป็นนางแบบดัง ในขณะที่น้องชายฉันเป็นช่างภาพอิสระ ที่เน้นอิสระในชีวิตมากกว่าการทำงาน

                “ถึงแล้วครับ พี่แสงแดดคนสวย”

                “นี่ เลิกเรียกอย่างนี้จะเอาเท่าไหร่ ว่ามา แสงแดด แดด เนี่ย ไม่เรียกได้ไหม อายเขา”

                “ผมเรียกต่อหน้าคนอื่นเสียที่ไหนล่ะ ก็เรียกตอนอยู่กันสองคน ไม่อย่างนั้นก็อยู่ที่บ้าน พี่อย่ามาโวยวายหน่อยเลย นี่เห็นไหม บอกแล้วว่ายังไงก็มาส่งทันเวลา ไม่สาย”

                พ่อน้องชายตัวดี ยักไหล่ ปลดล็อคไฟฟ้าของรถให้ฉันเปิดประตูลง

               “ย่ะ พ่อคนเก่ง เหม็นขี้ฟันจริง ๆ เลย น้ำท่า เสื้อผ้าก็ไม่รู้จักจะเปลี่ยน”

               “ขืนผมอาบน้ำ แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า พี่ได้ระเบิดประตูห้องผมปะไรล่ะ แค่นี้ก็เร่งจนไม่รู้จะยังไงแล้ว เอาล่ะครับคุณผู้หญิง เดี๋ยวเย็นนี้จะมารับกลับบ้านนะขอรับ”

                 ฉันปิดประตูรถกระแทกใส่ ไม่ใช่ว่าโมโหอะไรนัก แต่หมั่นไส้นายซุงที่ทำหน้าระรื่นระริกระรี้คุยโทรศัพท์ต่อ คนที่กำลังจะแต่งงานกันอยู่รอมร่อจะมีอะไรคุยกันนานนักหนาเชียว เฮ้อ ! นี่ฉันอิจฉาน้องเอาจริง ๆ เสียแล้วนะเนี่ย ที่จริงจะว่าไปอิจฉาคนมีความรักมากกว่านะ ทำยังไงเขาถึงได้เจอคนที่ทำให้หัวใจกระตุกกันได้นะ



                 ฉันตรวจคนไข้ที่ทยอยกันเข้ามารักษาโดยเฉพาะวันนี้ รู้สึกว่าคนไข้จะมากเป็นพิเศษ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เป็นหมอที่ไม่เข้าใจคนไข้ ฉันจะซักถามอาการ ชวนคุยโน่นนี่บ้าง ไม่ใช่สักแต่ถาม ๆ แล้วก็สั่งยา จะว่าไปมันก็น่าเบื่ออยู่เหมือนกัน ที่ต้องเจอแต่คนเจ็บไข้ไม่สบายตั้งแต่เช้ายันเย็น

                 “คุณพลสิทธิ์ เชิญห้องตรวจค่ะ”

                 เสียงพยาบาลเรียกชื่อคนไข้อยู่หน้าห้องฉัน ดังขึ้นแทบจะในทันทีที่คนไข้คนที่ฉันตรวจอยู่ก่อนหน้ายกตัวขึ้นจากที่นั่ง พยาบาลเดินเอาแฟ้มประวัติของคนไข้มาวางตรงหน้า แว่บแรกที่ได้เห็นนามสกุลของคนไข้ชื่อพลสิทธิ์ ฉันก็เอะใจบางอย่างขึ้นมา พอดีกับที่สายตามองไปหน้าห้องเห็นคนไข้เดินเข้ามาพอดี ยิ่งทำให้ฉันมั่นใจ แล้วฉันก็นึกสงสัยขึ้นมาว่า ถ้าไม่ใช่ คนที่ชื่อ พลสิทธิ์ กิตติ วรากูล คนนี้ ฉันจะรู้สึกว่ามีปฏิกิริยาแปลก ๆ ที่อกข้างซ้ายหรือเปล่า

                 ใบหน้าของพุกเปลี่ยนรูปไปจากเดิมบ้างตามประสาเด็กชายที่กลายสภาพเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าปี แต่ดวงตา จมูกและริมฝีปากนั้น เหมือนจะประทับอยู่ในความทรงจำของฉัน ใบหน้าของเพื่อนวัยเด็กที่ฉันไม่เคยลืม

                 “พุก จำเราได้ไหม”

                 วันนี้ทั้งวัน นับตั้งแต่ตรวจคนไข้คนแรกมาถึงตอนนี้ ฉันเพิ่งจะได้พูดประโยคที่ไม่ใช่ ‘เป็นอะไรมาคะ’ กับคนไข้ของฉันเอง อดไม่ได้ที่จะยิ้มเมื่อได้เจอคนที่ฉันมีความทรงจำเกี่ยวกับเขามากมาย พุกดูเหมือนจะตื่น ๆ ยังไงชอบกล ก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา

                 “ตรวจหัวใจให้ผมหน่อยครับหมอ รู้สึกว่าหัวใจผมจะล้มเหลวกะทันหัน”

                 ฉันฟังแล้ว อดที่จะขำไม่ได้ แม้เนื้อหาของประโยคจะเป็นในเชิงจีบ แต่สีหน้าท่าทางชองพุกดูขัดเขินชอบกล ฉันนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าพุกที่ฉันรู้จัก จะกลายมาเป็นคนที่พูดจาด้วยประโยคเชย ๆ เพื่อจีบผู้หญิง ทั้งที่เขาก็ดูท่าทางไม่ใช่คนกล้าอะไรทำนองนั้นแม้แต่น้อย ที่สำคัญคือเขาจำฉันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ส่วนฉันกลับจำเขาได้แม่นทั้งชื่อ นามสกุล และใบหน้า

                  “พุก นี่ยังตลกเหมือนเดิมนะ”

                  คราวนี้พุกทำหน้าเหมือนเห็นผีเลยล่ะ สนุกจัง ที่ได้เห็นเขาในท่าทางแบบนี้ ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วที่ฉันเห็นเขาเป็นเหมือนหัวหน้ากลุ่ม พาเพื่อนวิ่งเล่นสนุกสนาน ไม่เคยได้เห็นแววขัดเขินอะไรของเขามาก่อนเลย ฉันอ่านอาการที่ระบุเมื่อมาพบให้พุกฟัง ก่อนที่จะบอกเขาว่า คนหนุ่มอายุเท่าเขาไม่มีทางเป็นโรคหัวใจง่าย ๆ ฉันเสียอีกที่มีอาการแปลก ๆ ที่หัวใจขึ้นมาตั้งแต่เห็นหน้าคนไข้ชื่อ นามสกุล คุ้น ๆ คนนี้

                  พุกถามมาว่าฉันรู้จักชื่อเขาได้ยังไง ฉันก็เลยบอกชื่อเขาไป แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ฉันได้เห็นใบหน้าประหลาดใจอีกระดับของพุก พร้อมกับเสียงร้องลั่นที่แสดงความแปลกใจไม่แพ้สีหน้า

                   “ห๊า”

                   เสียงของพุกทำเอาฉันตกใจ แต่คงไม่เท่าพยาบาลที่เหมือนจะรีบมาสำรวจทันทีราวกับกลัวว่าฉันจะเอามีดเชือดคนไข้

                  “ไม่มีอะไรค่ะ คนไข้แค่ตกใจนิดหน่อย เดี๋ยวหมอขอตรวจคนไข้ต่อนะคะ”

                   ฉันบอกพยาบาลไปก่อนที่จะรีบดูอาการของพุก แล้วสั่งยาตามอาการไป ก่อนที่พุกจะลุกไป ฉันรีบหยิบนามบัตรของตัวเองยื่นให้เขาไปใบหนึ่ง

                   “เรามีตรวจคนไข้นะ ออกเวรตอนเย็น ถ้ามีอะไรโทรมาก็แล้วกัน”

                   ในตอนนั้นภาวนาอย่างสุดใจให้เขาโทรหา แต่แล้วพุกก็ทำเอาฉันหัวใจแกว่ง เพราะฉันรอแล้วรอเล่าเขาก็ไม่ยอมโทรมา น่ากลัวพุกอาจจะมีแฟนสาวอยู่แล้วก็ได้ ฉันนึกแล้วก็ได้แต่เศร้าใจ ทำไมพุกถึงกล้าพูดเป็นเชิงจีบฉันนะ ถ้ามีแฟนอยู่แล้ว หรือว่าเขาจะชอบพูดจีบเล่น ๆ ตามนิสัยผู้ชายทั่วไป ไม่น่าเลยนะ ถ้าเป็นอย่างนั้น เพราะฉันนึกอยากให้เขาจีบฉันขึ้นมาจริง ๆ ไม่บ่อยนี่นาที่ฉันจะเจอผู้ชายที่ทำให้ฉันหัวใจกระตุก แล้วเขาก็ดันไปโดนผู้หญิงคนอื่นกระตุกหัวใจอีกทีเสียด้วย


                  ฉันยังจำได้ดี ที่ตอนเด็ก ๆ ฉันชอบไปวิ่งเล่นแถวบ้านพุก เพราะบ้านพุกอยู่ติดกับสวนสาธารณะเล็ก ๆ ที่มีสระน้ำตื้น ๆ อยู่ เราชอบไปวิ่งเล่นไล่กันบนพื้นหญ้า เอาขาหย่อนลงน้ำ ตอนนั้นฉันเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวที่ไปวิ่งเล่นกับพวกเด็ก ๆ ผู้ชาย เพราะคนอื่น ๆ เขาเล่นตุ๊กตาอยู่ที่บ้าน แต่ฉันต้องพานายซุงไปเล่น ฉันอยากให้น้องได้เล่นกับเด็กผู้ชายด้วยกันบ้าง

                 เด็กผู้ชายที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน แล้วก็บ้านอยู่แถว ๆ นั้นกีมีด้วยกันห้าหกคนได้ รวมฉันกับซุง ก็จะมีแก๊งค์เด็กป่วนวิ่งเล่นกันอยู่ประมาณแปดคนได้ พุกดูจะเป็นหัวหน้ากลุ่มนำเล่นอยู่ตลอด ด้วยความที่เราบ้านใกล้กันเรียนชั้นเดียวกัน บางครั้งพ่อกับแม่พุกก็จะชวนฉันไปเล่นที่บ้าน หรือบางทีพ่อแม่ฉันก็จะชวนพุกมาเล่นที่บ้านบ้าง จนเราสองคนเดินเข้าออกบ้านกันได้สบาย ๆ

                 พุกจะเคยสงสัยบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ฉันเคยแอบนั่งมองเขาหลับอยู่บ่อย ๆ ตอนเด็ก ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ฉันว่าพุกนอนน่ารักดีนะ พุกจะชอบนอนหลังจากทำการบ้านเสร็จในตอนเย็น เวลานอนคิ้วจะขมวด หน้ายุ่ง ๆ ฉันมองเพลินทุกทีเวลาเห็นพุกหลับ หลายครั้งฉันยืนจ้องอยู่เมื่อพุกตื่นขึ้น คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วตอนหลับจะขมวดเข้าไปอีก มองฉันอย่างสงสัย แล้วแทบทุกครั้งประโยคแรกที่ฉันจะพูดก็คือ

                  ‘ตื่นแล้วเหรอพุก ไปเล่นกันไหม’

                  พุกไม่เคยปฏิเสธเวลาชวนไปเล่น แม้จะงัวเงียตื่นขึ้นมาแค่ไหนก็เถอะ เป็นได้คว้าแขนพาฉันวิ่งออกไปเล่นกับเพื่อน ๆ

    จากคุณ : Jason_Bourne - [ 17 พ.ย. 48 16:17:47 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป