เรื่องราวราบเรียบระหว่างผมกับเธอ ผมคิดว่าผมชอบเธอ เธอเป็นเพื่อนผม ผมรู้สึกดีเวลาได้อยู่ใกล้เธอ พูดคุยกับเธอ ในแต่ละวันที่พบเจอกันนั้นความรู้สึกในใจค่อยๆสะสมก่อตัวขึ้นทุกที จนรู้สึกคิดถึง
ผมอายุแก่กว่าเธอ 2 ปี(กับอีก 4 เดือน) อายุที่มากกว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมดูโตกว่า แต่กลับทำให้ผมดุอายุเท่าๆกันกับเธอและเพื่อนร่วมรุ่นต่างหาก
ใครๆก็เห็นว่าผมเป็นคนเรียบร้อยมาตั้งแต่ยังเด็ก สมัยเรียน ตั้งแต่ประถมยันมัธยม ผมไม่เคยทำอะไรผิดกฎ เป็นคนมองโลกด้วยสายตาจิตสำนึกธรรมดาค่อนเข้าหาอุดมคติงดงามราบเรียบ เวลานั้นผมคิดว่าทุกคนเป็นคนดีไปเสียหมด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพื่อนในห้องบางคนใช้ชีวิตนอกห้องเรียนเมามันขนาดไหน
ใครๆก็เห็นผมเป็นคนเงียบๆ รักสงบ ไม่ค่อยมีปากเสียง ไม่ค่อยทันคน ไม่มีเล่ห์พราวระยับ ทุกสิ่งในตัวผมคือความธรรมดาและผมไม่รู้สึกอยากทำอะไรให้โดดเด่นขึ้นมา ในหัวไม่เคยคิดสรรหาอะไรแผลงๆทดลอง
ผมรู้จักกับคนในห้องโดยทั่วไป มีเพื่อนสนิทกลุ่มเล็กๆ เวลานั้นโลกของผมมีเพียงบ้านกับโรงเรียน จนจบมัธยมผมก็ไม่เคยไปเที่ยวไหนกับกลุ่มเพื่อนเลยสักครั้ง
แล้วผมก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้ เรียนได้เดือนนึง ผมก็พบว่า รู้สึกไม่มีความสุขกับชีวิตเลย ผมรู้สึกเป็นคนเปิ่นๆในสายตาคนรอบข้าง ไม่กล้าพูดคุยกับใคร ผมอายที่จะพบผู้คน ทุกคนดูเยี่ยมในแบบของตัวเองกันทั้งนั้น
การเรียนเป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น ผมขาดเรียนบ่อยหมกตัวอยู่แต่ในห้อง หลังทำตัวบื้อจนหมดปี ผมก็ถูกรีไทร์ ช่วงเวลาต่อมา ผมอยู่แต่บ้าน รอเวลาสอบในปีถัดไป โลกของผมคือบ้าน ขลุกอยู่แต่ในห้อง ผมเริ่มอ่านหนังสือ หนังสือนวนิยาย ผมสนุกไปกับเรื่องหลากหลาย เป็นสิ่งที่ทำให้ผมได้เรียนรู้โลกและตัวเอง เป็นปีแห่งการอ่านของผม(แต่ยังไม่ถึงขั้นเรียกตัวเองว่าหนอน) กิจวัตรอีกอย่างของปีคือการดื่ม ผมพบเจอเพื่อนแถวบ้านเกือบทุกปลายสัปดาห์ ในวันหยุดที่เพื่อนไม่มีเรียน ตั้งวงทุกคืนวันเสาร์ เวลาปีหนึ่งหมดไปโดยไม่รู้ตัว
ผมสอบเข้าเรียนได้ในมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ ผมก็ยังเป็นผมคนเดิม เป็นคนเงียบๆและขี้อาย เพียงแต่ผมประหม่าน้อยลง พยายามทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ บางคืนก็รับคำชวนไปนั่งดื่ม ผมขาดเรียนบ้างบางครั้งหากนึกขี้เกียจขึ้นมา ยังคงหาหนังสือเล่มใหม่ๆมาอ่านเพิ่ม
ผมได้คุยกับเธอครั้งแรกในวิชาประชาสัมพันธ์ เวลาเรียนบ่าย 4 โมง ผมเข้าสายไป 20 นาที เลือกนั่งติดหน้าต่างตรงหลังห้อง เหลือบมองดูกระดานเล็กน้อย กางสมุดผึ่งไว้บนโต๊ะ หันมองโลกภายนอกตรงบานหน้าต่าง บ่าย 4 โมง 45 นาที เธอเข้ามาในห้อง นั่งลงตรงที่นั่งข้างผม
ขอดูชีทหน่อยสิ แล้วก็สมุดจด
ผมมาสายเหมือนกัน ยังไม่ได้ชีทเลย แล้วก็ไม่ได้จดอะไรด้วย
เหรอ สายตาเธอที่มองลอดแว่นตากรอบกลมๆนั้น ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เส้นปากขยับคดไปมา ด้วยการเคี้ยวหมากฝรั่ง
เธอสะกิดคนที่นั่งข้างหน้า ยืมสมุดมาจด
นี่จะลอกด้วยไหมล่ะ แต่ฉันขอจดก่อน เสร็จแล้วนายค่อยจดต่อ
อือ ผมพยักหน้า ทำทีเป็นไม่สนใจอะไรนัก หันหน้ามองไปทางหน้าต่างแบบเดิมอีก ผมไม่ได้มองอะไรภายนอกนั่นหรอก ผมกำลังมองเงาสะท้อนของเธอในกระจกต่างหาก เธอเป็นใครกันนะ ผมไม่ค่อยได้เข้ารับน้องหรือร่วมกิจกรรมมากนัก จึงไม่ได้รู้จักเพื่อนคนอื่นอีกหลายคน
คนที่เราไม่ได้สนใจ เรามักมองไม่เห็น
เธอสูงเกือบเท่าๆผม ผมตรงยาว รวบไว้ข้างหลังเสมอๆ รูปร่างแบบบาง ผิวขาวบาง คิ้วบาง ดวงตาเรียว แว่นตากลมกรอบเล็ก ริมฝีปากเรียวบาง แขนเรียวยาว ช่วงขาเรียวยาว หน้าอกขนาดเล็ก สะโพกขนาดเล็ก ท่าทางแคล่วคล่อง ชอบเคี้ยวหมากฝรั่ง เข้าเรียนสายเป็นประจำ ชอบนั่งข้างหลัง หากเรียนในห้องที่มีหน้าต่าง เธอจะชอบนั่งชิดบานหน้าต่าง เมื่อหมดคาบเรียนสุดท้าย เธอจะกลับบ้านโดยทันที หลายครั้งเธอนำหนังสือนวนิยายขึ้นมาอ่านระหว่างนั่งเรียน ผมสังเกตดูอยู่บ่อยๆ จากการที่ได้เจอเธอในครั้งแรก ทำให้ต่อๆมา ผมเลือกที่จะนั่งหลังห้องชิดริมหน้าต่าง
นี่นาย แลกที่นั่งกันได้ไหม เราชอบนั่งริมหน้าต่าง
ได้สิ ผมเปลี่ยนที่นั่งตามคำร้องขอด้วยน้ำเสียงห้วนๆในแบบของเธอ
นายแก่กว่าฉัน 2 ปีเลยหรือ ฉันต้องเรียกนายว่าพี่หรือเปล่า
ไม่ต้องหรอก อายุมากกว่าแต่ประสบการณ์พอกันแหละน่า
ก็ดี ถ้าต้องเรียกพี่ฉันคงเขินๆ หน้าตานายก็ไม่ได้แก่สักหน่อย เธอชมผมหรือเปล่านะ
เธอชอบเคี้ยวหมากฝรั่งมากเลยหรือ
พักนี้ฉันชอบ แต่ช่วงหน้าคงไม่ เดี๋ยวก็เลิกอีกไม่นาน
ต่อมาผมก็ไม่เห็นเธอเคี้ยวหมากฝรั่งอีกเลย
ผมพบเธอบ่อยที่หอสมุด เจอกันบ่อยเข้า เราจึงนั่งคุยกันเรื่องหนังสือ เธอรอบรู้กว่าผมเยอะมาก
ลองอ่านของคนนั้นดูสิ
หมอนั่นเขียนดีแค่เล่มเดียว
คนนั้นฉันเคยอ่านแค่ 2 เรื่อง ยังหาคำจำกัดความให้ไม่ถูก
ผมเริ่มรู้จักเธอมากขึ้น เป็นคนที่คุยกับเธอบ่อยสุดในชั้น
เฮ้อ เซ็งบรมเลยแฮะช่วงนี้ เธอบ่นขึ้นขณะเรียนในวันหนึ่ง จากนั้นเธอก็ขาดเรียนไป 3 วันรวด
ฉันไปเที่ยวมา ไม่ไหว ต้องเปลี่ยนบรรยากาศเสียบ้าง ไว้ว่างๆนั่งรถไฟไปเที่ยวกันไหมล่ะ นายไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยสินะ โคตรแย่เลยแฮะ
คำสบถบ่อยครั้ง ท่วงท่าห้าวๆ เหมือนจะไปกันไม่ได้กับผิวขาวๆ หุ่นบางๆของเธอ แต่กลับสอดรับกันได้อย่างกลมกลืน
นายอยู่หอคนเดียวเหรอ
ใช่แล้ว
ฉันอยู่บ้าน ฉันเป็นคนที่นี่ มาเรียนมหาลัยนี้เพราะใกล้บ้าน ไว้วันหลังจะพานายไป
อื้อ ผมพยักหน้าหงึกหงัก
บ้านของเธอ เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ยกพื้น มีเฉลียงเล็กๆหน้าบ้าน รอบๆบ้านปลูกต้นไม้ไว้ครึ้ม ภายในบ้าน เต็มไปด้วยหนังสือ ทั้งที่อยู่ในตู้และวางกองไว้ตามจุดต่างๆ
เลือกไปสิ อยากอ่านเล่มไหนหยิบไปเลย เธอใส่กางเกงขาสั้นสีขาว สวมเสื้อยืดสีม่วง ยืนสูบบุหรี่ มองผมที่กำลังไล่สายตาดูรายชื่อหนังสือ บุหรี่ตัวเล็กเรียวสีขาว อัดใบยาสูบ แน่นเรียบ ต้องออกแรงสูดลมกว่าบุหรี่ปกติ
ในบ้านนี้เธออยู่กับแม่เพียงสองคน
แม่ฉันไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก มีเรื่องให้ออกจากบ้านทุกวัน
แม่เธอทำงานอะไร
หลายอย่าง เป็นงานแบบที่พวกคนเข้าใจยากเขาทำกัน เฮอะ เธอยักไหล่บ่งบอกว่าไม่กังวลสนใจ
ไปดูหนังกันดีกว่าวันนี้
เธอชอบข้าวโพดคั่ว กอบขึ้นเกือบเต็มกำมือ เคี้ยวคำใหญ่ๆ กระถดตัวไปข้างหน้า สายตาจับแน่วที่ผนังจอ เหมือนเธอถูกแช่แข็งในท่านั้นอยู่ 2 ชั่วโมง
ห่ะเอ๊ย ครึ่งหลังไม่ได้ความ เกือบเข้าขั้นแล้วแท้ๆ นั่นคือคำวิจารณ์ของเธอ ก่อนเราแยกย้ายกันกลับ
ในวิชาคอมพิวเตอร์ เธอนั่งเปิดเว็บต่างๆดู ผมเห็นเธอนั่งพิมพ์อะไรบางอย่าง เหลือบไปดูใกล้ๆ พบว่าเป็นเว็บแบบไดอารี่ ออนไลน์
ไดอารี่ฉันเอง แต่ฉันไม่คิดให้คนรู้จักอ่านหรอก
ทำไม ?
นี่มันชีวิตฉันนะ
แล้วฉันอ่านได้ไหม
ไม่ได้
มีความลับสำคัญเหรอ
ไม่สำคัญมากหรอก ก็แค่เขียนความคิดที่มีต่อโลก ความรู้สึกในบางวัน เขียนถึงคนที่แอบรัก
งั้นเหรอ ใครล่ะที่เธอแอบชอบ
นายไม่รู้จักหรอก เค้าโตกว่าฉัน 5 ปี รู้จักกันมาพอประมาณ เขาเห็นฉันเป็นน้องมาตลอด
อ้อ ผมยังคงเหลือบมองดูหน้าจอ
นี่นาย ห้ามอ่านนะเว้ย แล้วก็ไม่ต้องจดที่อยู่เว็บไว้ด้วย
ไม่หรอกน่า
รู้จักฉันในแบบที่เจอกันทุกวันนี้ก็พอแล้ว ไม่ได้ต่างไปหรอก
กำลังจะหมดเทอมแรกแล้ว อีกไม่กี่วันก็ถึงเวลาสอบไล่ วันนี้เรียนเป็นวันสุดท้าย เธอไม่ได้มาสาย นั่งติดริมหน้าต่างเช่นเคย ระหว่างรออาจารย์ เธอหยิบบุหรี่ขึ้นมา ดึงออกมาตัวหนึ่งจากซอง บุหรี่สีขาวเรียวเล็กกว่าบุหรี่ปกติ เธอจุดไฟแช็กต่อเข้ากับปลายมวน ยื่นหน้าออกไปทางหน้าต่าง พ่นควันออก
เฮ้ ทำบ้าอะไรเนี่ย นี่มันในห้องเรียนนะ ผมพูดกับเธอด้วยความงุนงง
เธอสูบเข้าไปอีกครั้ง แล้วพ่นควันออกทางหน้าต่าง โยนบุหรี่ทิ้งไป
นี่คิดว่าไง ที่มีคนบอกว่าบุหรี่มวนเดียวสามารถไหม้บ้านได้ทั้งหลัง เชื่อไหม ?
คงจะจริงมันคงทำให้เกิดไฟไหม้ได้
แต่บ้านหลังออกจะใหญ่นะ บุหรี่มวนนิดเดียว
ลูกไฟใหญ่ลุกโหมได้ ต้นตอก็มาจากประกายไฟเพียงนิดเดียวเท่านั้น
งั้นเหรอ ถ้าบุหรี่มันไหม้บ้านให้วอดได้ ชีวิตคนก็คงวอดได้เหมือนกัน
ทำไม ? บ้านเธอไฟไหม้หรือว่าเธอเป็นมะเร็งปอด
บ้าน่า ฉันไม่ได้เป็นอะไรแถมบ้านก็อยู่ดี แค่คุยเรื่องไร้สาระเท่านั้นแหละ เรื่องไร้สาระจะต้องมีเหตุมารองรับด้วยหรือไง
แล้วทำไมเธอต้องสูบบุหรี่ตอนนี้ด้วย
ไม่รู้ รู้แค่ว่า อยากสูบ 2 ทีแล้วโยนทิ้ง แค่เนี้ย
วันสอบวันสุดท้าย เธอทำเสร็จเป็นคนแรก เธอยืนรอผมอยู่หน้าห้องสอบ เมื่อผมเดินออกมาเธอจึงทัก
ทำได้มั้ย
คงพอผ่านแหละมั้ง
เทอมหน้าฉันว่าจะไม่มาเรียนแล้ว
ทำไมล่ะ? เธอทำข้อสอบไม่ได้เหรอ ผมใจหายทีเดียว เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้
ไม่ใช่หรอก ฉันแค่อยากไปหาอะไรอย่างอื่นทำ กะว่าปีหน้าค่อยสอบเข้าใหม่ ที่ไหนสักที่ แต่คงไม่ใช่ที่นี่
เธอไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า อยู่ที่นี่ไม่มีความสุขหรือ ? บอกฉันได้นะ เธอมีอะไรไม่ค่อยบอกกันเลย
เปล่าน่า อยู่ที่นี่ ฉันก็ปรกติดี ฉันแค่อยากไปหาอะไรข้างหน้า เรียนรู้ไปเรื่อยๆ
อ้อ งั้นรึ เธอตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม ?
นี่ไงฉันถึงมาบอกนาย เดี๋ยวเปิดเทอมแล้วไม่เจอฉัน งงแย่
คงจะงงแน่ๆ ถ้าเป็นแบบนั้น เธอยิ้มหัวเราะหึๆ ในลำคอ
นี่แล้วก็เลิกเดินตามก้นคนอื่นได้แล้ว ผู้ชายที่เอาแต่เดินตามก้นผู้หญิง ไม่มีใครเหลียวมามองหรอกน่า
อื้อ เจ็บแสบดีแท้
นายเป็นเพื่อนฉันนะ ฉันถึงพูดตรงไปตรงมา
ฉันต้องขอบใจเธอหรือเปล่าเนี่ย ที่บอก
ไม่ต้อง เพื่อนกัน ไม่ต้องพูดขอบใจกันมาก
เป็นความรักช่วงสั้นๆของผม เวลาอันรวดเร็วแต่เนิ่บนาบแบบช่วงใบไม้กำลังหล่นจากต้นถึงพื้น แล้วผมก็ไม่รู้ว่าควรจะจดจำอะไรที่เป็นเธอไว้กับความทรงจำดี มีเพียงความมึนงง ที่ทำให้หัวสมองและหัวใจมันหมุนวนไม่เป็นท่า ผมอยากจะแกร่งกว่านี้ แต่ความเป็นผมเป็นได้เพียงเท่านี้
รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ คำสบถ อะไรและอะไรที่เป็นเธอ เธอมาแล้วก็ไป ถ้าเธอเป็นลม ก็เป็นลมแผ่วๆ ที่แทบจะไม่ทันได้รู้สึกเย็น ผมรู้สึกอย่างไร เศร้าหรือสุข ผมตอบไม่ได้ เวลาช่วงสั้นๆ เธอไม่ได้ทำให้ผมคลุ้มคลั่งหรือบ้าบอ เธอทำได้เพียงมอบความเคว้งคว้างให้ผม ยามคิดว่าจะไม่ได้พบเธออีกแล้ว
เฮ้! ถ้ามองข้างหน้าแล้วไม่เจออะไร? ลองหันกลับมาดูข้างหลังบ้างนะ
ได้สิ แต่แค่หันมามองเฉยๆนะ ริมฝีปากของเธอยิ้มหลังคำตอบ
ผมรู้สึกเหมือนยืนคุยกับเธออยู่คนละฟากเหว ตะโกนถาม-ตอบ กันไปมา
วันฝนตก วันฝนไม่ตก วันแดดจ้า วันแดดอ่อน วันที่เจอกัน วันที่ไม่ได้เจอกัน วันที่คุยกันมาก วันที่คุยกันน้อย วันที่ไม่รู้จะคุยอะไร วันที่หัวเราะบ่อย วันที่ยิ้มบ่อย วันที่อยู่ด้วยกันแป่บเดียว วันที่อยู่ด้วยกันนานกว่าทุกวัน วันเหล่านั้นผ่านมาแล้ว เป็นเพียงตัวเลขบนปฏิทินที่ถูกปลิดทิ้ง เหลือเพียงวันพรุ่งนี้ที่ยังมาไม่ถึง ยังต้องอยู่กับวันนี้ต่อไป
............................................
จากคุณ :
อุปกรณ์ประกอบฉาก
- [
18 พ.ย. 48 06:40:57
A:203.113.16.241 X:
]