เว้...และแล้วฉันก็มาหาเธอ
อันโตนิโอ
ก้าวแรกที่ผมเหยียบย่างลงบนแผ่นดินเว้ ช่างรู้สึกเหมือนความฝัน ไม่ใช่ว่าเมืองเว้สวยสุดยอดระยิบพริบพรายเหมือนเมืองฟ้าเมืองสวรรค์อะไร แต่เพราะผมอยากมาประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะเมืองเว้ นานกว่าสิบปีมาแล้ว ในสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่ผมเขียนไว้เมื่อปี 2538 ก็เขียนความฝันครั้งนั้นเอาไว้ในรูปของกลอนแปด รำพันว่าเมื่อไรฉันจะได้ไปหา ผมเริ่มอ่านเกี่ยวกับเมืองเว้ วิถีชีวิตชาวเมือง สุสานจักรพรรดิ แม่น้ำหอมหรือซมเฮืองกับเหล่าบรรดาเรือหัวมังกรที่ลอยล่องเหนือใต้ พานักท่องเที่ยวชื่นชมทิวทัศน์สองฝั่งฟากแม่น้ำ และวันที่ผมเริ่มเขียนนิยาย ก็ไม่ลืมที่จะจับเอาฉากเมืองเว้ไปใส่ไว้ในเรื่องด้วยความประทับใจ บรรยายเสียดิบดีราวกับเคยไปอยู่มานานแสนนาน เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เมืองเว้สำหรับผมก็ย่อมมีความผูกพันกันในทางจินตนาการไปโดยปริยาย จะว่าผมอินจัดก็ช่างเถิด แต่เมืองเว้กลางสายหมอกที่ตัวเองบรรยายไว้ในหนังสือทั้งที่ยังไม่เคยไปเห็นของจริง ก็เป็นภาพประทับติดตรึงในสมองส่วนหนึ่งจนตั้งปณิธานไว้ว่าถ้ามีเวลาสักนิดและเงินสักหน่อย ข้าพเจ้าจะต้องไปเยือนเว้จริง ๆ ให้ได้สักครั้ง
รถไฟออกจากฮานอยหนึ่งทุ่มตรง ผมนอนตาค้าง มองดาวพราวพร่างบนฟ้าจากหน้าต่าง...
ม้าเหล็กเทียบชานชาลาเมืองเว้ราว 7.30 น. ผมกับต่ายสะพายเป้ขึ้นหลัง ลงจากรถไฟช้า ๆ เหมือนภาพสโลโมชั่น ไม่ถึงขนาดทรุดลงคุกเข่าชูแขนสองข้าง แต่แค่เดินผ่านชาวเว้ ผ่านร้านขายของชำ ร้านเฝอหาบเร่ เด็กนักเรียนสาว ๆ ในชุดอ๋าวหญ่ายขี่จักรยานผ่านมาเป็นกลุ่ม ๆ แล้วยังสถานที่ที่ได้เคยอ่านจากหนังสือมาแรมปี แค่นี้น้ำตาก็พาลจะไหลแล้ว รถตู้คันเล็กพาผมกับต่ายผ่านย่านเมืองใหม่ซึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหอมตรงกันข้ามกับย่านเมืองเก่า เห็นสะพานตรัง เทียน ซึ่งใช้เป็นฉากสำคัญในนิยายเรื่อง ซากุระในสายลมร้อน ของตัวเองแล้วขนลุกซู่ สะพานนั้นคร่อมร่างของแม่น้ำสีไพรได้อย่างสวยสง่า ไม่ใหญ่โตหรูหรา แต่สมถะเรียบง่ายคล้ายวิถีชีวิตชาวเว้ที่ดำเนินไปตามครรลองอันน่าประทับใจ
เว้เป็นเมืองเก่าแก่ ปกครองโดยขุนนางตระกูลเหงวียนยาวนานจนเมื่อเกิดการรบพุ่งจนแผ่นดินเวียดนามต้องแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายคือฝ่ายตระกูลเหงวียนและตระกูลตรินห์ เว้ถูกปกครองโดยตระกูลเหงวียนต่อมาจนกระทั่งเกิดกบฏเตย เซิน เข้ายึดอำนาจของทั้งสองฝ่ายและรวมเวียดนามเป็นอาณาจักรเดียวกัน ประเทศไทยรู้จักเจ้าแผ่นดินเว้ในนาม องเชียงสือ ผู้หนีภัยคณะปฏิวัติเตย เซิน เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อสั่งสมไพร่พลและอาวุธตลอดจนความพร้อมไว้เต็มที่ องเชียงสือก็ย้อนกลับไปกอบกู้แผ่นดินตัวเองจากเงื้อมมือของศัตรูเก่าจนสำเร็จ และได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งเว้โดยมีพระนามว่า พระเจ้ายาลอง (Gia Long) เมื่อราว ๆ สองร้อยปีมาแล้ว เว้เจริญรุ่งเรืองมาตลอดภายใต้การปกครองระบอบพระมหากษัตริย์ จนเมื่อประเทศฝรั่งเศสก้าวเข้ามามีบทบาทในย่านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้แข่งกับประเทศอังกฤษ เวียดนามถูกคุกคามโดยกองทัพฝรั่งเศสจนต้องกลายเป็นเมืองขึ้นอย่างจำใจ ต่อมาในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพจากแดนอาทิตย์อุทัยก็หลั่งไหลมาแผ่นดินเวียดนามทางทะเล ขับไล่กองทัพฝรั่งเศสและครอบครองเมืองเว้ได้ระยะหนึ่งโดยถอดพระเจ้าเบาได๋ กษัตริย์เมืองเว้ขณะนั้นออกจากราชบัลลังค์เมื่อปีพ.ศ. 2488 ตรงกับแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ของไทย เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามต่อกองกำลังสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยประเทศสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศสก็เข้าไปมีอำนาจในประเทศเวียดนามตามเดิมจนกระทั่งการก้าวเข้ามาของโฮจิมินห์ แผ่นดินเวียดนามลุกเป็นไฟเพราะชนชาติจากทวีปอีกฝั่งฟากของโลก โฮจิมินห์รวบรวมคนหนุ่มสาวเข้าเป็นแนวร่วมปลดแอกหรือเวียดมินห์ ขับไล่ฝรั่งเศสจนพ่ายแพ้ยับเยินเป็นครั้งแรกที่ยุทธภูมิแห่งเดียนเบียนฟู ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของการถอยหนีเพื่อเปิดทางให้มหาอำนาจอเมริกาเข้ามาแทนที่
เลือดนองแผ่นดินเว้ในช่วงสงครามระหว่างอเมริกัน โดยเฉพาะการรุกใหญ่ในเทศกาลตรุษญวนเมื่อปี พ.ศ. 2511 ประมาณว่ามีผู้คนล้มตายไปกว่าหนึ่งหมื่นคน นอกจากเลือดที่ท่วมหลั่งนองเจือปนกับสายน้ำหอมอันเศร้าสร้อยหมองหม่น ยังมีหยาดน้ำตานับอนันต์ของชาวเมืองผู้ต้องสูญเสียคนรักไปอย่างไม่มีวันกลับคืน เกือบเรียกได้ว่าแทบทุกครอบครัวล้วนมีรอยแผลลึกในอก แม้ทุกวันนี้สงครามจบสิ้นไปแล้ว แต่เศษซากอสูรร้ายยังฝังใจผู้คนอย่างไม่มีวันลืม
...
แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 48 01:12:22
จากคุณ :
อันโตนิโอ
- [
24 พ.ย. 48 01:11:09
]