CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


                     หลังวันสิ้นโลก                 

    มีตำนานและลัทธิความเชื่อ แม้กระทั่งศาสนาทั้งหลายในโลกใบนี้ กล่าวถึงวันพิพากษาโลก ส่วนใหญ่จะกล่าวตรงกันคือ มันจะเกิดขึ้นในวันที่มนุษย์ทุกคนไม่หลงเหลือความดีอยู่ในตัวเอง หรือในวันที่มีการแบ่งแยกระหว่างความดีและเลวอย่างชัดเจน

    “เจ้าเด็กน้อย เอ่ยบอกข้า เจ้าจะไปไหน”

    “ข้าจะไปรบ”

    “เจ้าเด็กน้อย เอ่ยบอกข้า จะรบไปทำไม”

    “เพื่อพ่อ เพื่อแม่ เพื่อพี่น้อง เพื่อชาติ”

    “เจ้าเด็กน้อย เอ่ยบอกข้า น้ำตาเจ้าหายไปไหน”

    “น้ำตาเป็นของคนอ่อนแอ ดวงตาข้ามีไว้สำหรับความชิงชัง”

    “เจ้าเด็กน้อย เอ่ยบอกข้า เจ้าจะกลับมาเมื่อไหร่”

    “เมื่อพวกมันตาย เมื่อข้าชนะ เมื่อข้ากลายเป็นซากศพ”

    มันเป็นสงครามของมนุษย์ทุกผู้คนที่เกิดมาบนโลก ไม่มีที่ว่างแห่งสันติหลงเหลืออยู่ สงครามเกิดขึ้นกับทุกประเทศ ท้องฟ้าไม่ใช่สีน้ำเงินอีกต่อไป ควันไฟและเปลวเพลิงเผาผลาญชีวิตผู้คนไป ไม่มีใครจะคิดว่าจะยุติสงครามอย่างไร ทุกคนคิดกันแต่ว่า จะชนะสงครามได้อย่างไร

    แล้ววันสิ้นสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์โลกก็มาเยือน

    +++++++++++++++++++++++++++++

    ในวันที่สงครามเริ่มก่อตัวทั่วทุกมุมโลก ผมและกลุ่มคนอีกหลายคน ตัดสินใจหันหลังให้กับสงครามครั้งนั้น พวกผมหนีเข้าไปในป่าลึก เฝ้ารอยคอยให้สงครามยุติ เมื่อไหร่ที่ควันไฟบนท้องฟ้าจางหาย พวกผมจะกลับเข้าสู่เมือง แต่เมื่อเวลาหลายเดือนผ่านไป ความมืดทะมึนปกคลุมไปทั่วแผ่นฟ้า แสงอาทิตย์ก็ไม่สาดส่องให้เห็นอีกเลย

    “พวกเรากลับไปกันเถอะ” เสียงพูดขึงขังของหัวหน้ากลุ่มเราดังขึ้นในที่ประชุมวันหนึ่ง

    “ใช่ พวกเราควรจะกลับไปช่วยเหลือคนที่อยู่ในประเทศของเรา ไม่ใช่หลบอยู่อย่างขี้ขลาดแบบนี้” ผู้เข้าร่วมประชุมอีกคนหนึ่งสนับสนุน และคนหลายๆ คนในที่ประชุมก็พยักหน้าเห็นด้วย

    “พวกเราไม่มีอาวุธ ไปก็ตายเปล่า” ผมพยายามพูดห้ามปรามพวกเขา

    “ไม่ต้องกลัวหรอก ตอนนี้พวกปืนกับอาวุธหนักทั้งหลาย ถูกใช้ไปจนหมดแล้ว โรงงานผลิตก็ถูกถล่ม ถ้าเราเข้าไปร่วมตอนนี้ ก็ใช้เพียงแค่มีดดาบ หรือไม้ท่อนใหญ่ๆ ก็พอ” หัวหน้ากลุ่มกล่าวบอกผม และเป็นการบอกกับทุกคนไม่ให้กลัว

    “แล้วหัวหน้ารู้มาจากไหน” ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย การอยู่ในป่าลึกแทบไม่มีทางจะติดต่อกับโลกภายนอกได้เลย

    “วิทยุนี่ไง” พลางล้วงโทรศัพท์ขนาดเล็กทีมีความสามารถในการเปิดวิทยุขึ้นมาชูให้เห็น

    “รัฐบาลบอกว่า ตอนนี้ทุกประเทศไม่มีอาวุธปืนหรืออาวุธหนักเหลืออยู่แล้ว การต่อสู้ที่เราจะเข้าร่วม เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เอกราชและอธิปไตยของชาติจึงอยู่ในมือคนที่เหลืออย่างเช่นพวกเรา ทุกคนจะไปกับผม หรือไม่ไปก็ได้ผมไม่บังคับ” พลางหันหน้ามาดูคนที่ประชุมกันอยู่รอบวง หลายคนแสดงท่าทีเห็นด้วย

    “ดี ถ้าใครจะเข้าไปร่วมสงครามครั้งสุดท้าย ก็ไปกับผมวันพรุ่งนี้” พอเขาพูดจบก็มีเสียงเฮลั่น เสียงพูดคุยปลุกปลอบความฮึกเหิมของกันและกัน

    หลังจากนั้น วันรุ่งขึ้นคนที่อยู่ในกลุ่มของผมทั้งหมด ก็พากันหลับเข้าไปร่วมสงคราม และผมก็ไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาอีกเลย

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++

    เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมต้องอยู่ตัวคนเดียว วันคืนผ่านไปเนิ่นนานควันไฟยังคงปกคลุมอยู่ทั่วผืนฟ้า มันเป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากอาวุธทำลายล้างอนุภาพสูงนั่นเอง จนถึงที่สุดอาวุธต่างๆ ก็ไม่หลงเหลือให้ใช้กันอีกต่อไป คงเหลือแต่ท่อนไม้ กับมีดดาบที่ยังใช้กันอยู่สำหรับ สงครามครั้งสุดท้าย

    วันหนึ่งเมื่อฝนตกลงมา ฝนน่าจะเหมือนกับฝนทั่วๆ ไป แต่ผมรู้เลยว่าไม่ใช่ เพราะฝนที่ตกลงมานี้กินเวลายาวนานหลายเดือน เหมือนกับว่าเป็นการชะล้างโลกที่แปดเปื้อนให้สะอาดขึ้น ด้วยสภาพอากาศที่เลวร้ายกินเวลานานเกินไป ทำให้ผมล้มป่วยลง

    ผมนอนขดตัวอยู่ในถ้ำหินร่องเล็กๆ มองน้ำฝนที่ตกลงมาด้วยสายตาพร่ามัว หนาวสั่นและไอจามไม่หยุด ปวดระบมตามเนื้อตัว และตระหนักว่าความตายนั้นย่างกรายเข้ามาใกล้แล้ว ในสติที่มึนเมาผมรู้สึกถึงความอบอุ่น ไออุ่นที่แผ่กระจายทั่วตัว เหมือนการโอบกอดจากอ้อมกอดแม่ แต่นั่นเป็นไปไม่ได้เพราะว่าแม่ผมเสียชีวิตไปเมื่อสงครามเริ่มต้นใหม่ๆ

    สติที่ลางเลือนเสมือนแผ่นจิกซอร์ที่กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ในความฝันบางครั้งผมก็สะท้านขึ้นมา ตาพร่ามัวเลือนลาง แต่หูยังได้ยินเสียง

    “หลับให้สบาย คุณยังไม่หายดี เราจะดูแลคุณเอง” เสียงไพเราะสดใสดังขึ้น นั่นอาจจะเป็นความฝันที่หาไม่ได้ในกลียุค แล้วผมก็เข้าสู่ห้วงหลับไหลอีกครั้ง

    ++++++++++++++++++
    วันนี้แสงสว่างแยงตาจนปลุกให้ผมตื่นขึ้นจากนินทราอันยาวนาน ด้วยความยากเย็นผมพยายามจะลืมตาขึ้น เงาเคลื่อนไหววูบวาบปรากฏขึ้นในคลองจักษุ เงาหนึ่งเข้ามาใกล้ผมบดบังแสงอาทิตย์ไป

    “ตื่นแล้วเหรอ” เสียงไฟเราะนั่น เป็นเสียงในความฝัน หรือนี่เป็นความฝัน

    “ค่อยๆ ลุกขึ้นนะคะ คุณเพิ่งจะฟื้นไข้” หลังจากกระพริบตาหลายครั้ง ผมก็เห็นเธอ

    “คุณเป็นใคร” ผมถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เธอค่อยประคองให้ผมลุกขึ้นนั่ง

    “พวกเรามาพบคุณอยู่ในป่าคนเดียว เป็นไข้ไม่สบาย”

    “พวกเรา? ยังมีคนอื่นอีกหรือ” แทนคำตอบเธอดึงให้ผมลุกขึ้น ค่อยดึงแขนข้างหนึ่งของผมไปพาดบนไหล่ แล้วพาเดินออกจากถ้ำ

    มีกระโจมหลายหลังถูกปลูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ว่างเปล่าหน้าถ้ำ ตัวกระโจมใช้ใบไม้ห่มคลุม ใบไม้นั้นยังเขียวสดอยู่แสดงว่าถูกสร้างขึ้นมาได้ไม่นาน ถัดจากนั้นเป็นลานกว้างที่มีกองไฟอยู่ เด็กเล็กๆ สองสามคนวิ่งเล่นที่ลานนั่น ข้างประโจมหลังหนึ่งมีชายแก่กำลังนั่งล้างผลไม้ป่าใส่เข้าไปในถัง พอเขาเห็นผมก็ยิ้มให้อย่างแจ่มใสไม่มีเค้าของความโหดร้ายจากสงครามหลงเหลืออยู่เลย แล้วเสียงเธอก็ดังขึ้นข้างหู

    “พวกเราอพยพมาจากในเมือง เดินทางหาที่อยู่ในป่า จนมาพบคุณอยู่ที่นี่คนเดียว” เธออธิบายให้ผมได้รู้ละเอียดขึ้น

    “แล้วสงครามล่ะ” ผมถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ เหม่อมองบนฟ้าก็ปราศจากเมฆควันมลพิษ ฟ้ายังคงสดใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “สงครามยุติแล้ว แต่ว่าในเมืองมีแต่สารพิษพวกเราก็เลยหนีมา ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในเมืองแล้ว”

    ชายแก่ที่นั่งล้างผลไม้ละมือ และลุกขึ้นเดินมาหาผม เธอกระซิบที่ข้างหูผมอีกครั้งเบาๆ บอกให้รู้ว่าเขาเป็นหัวหน้าที่นี่

    “สวัสดีตอนเช้า คุณหลับไปหลายวันเลย ผมชื่อพิทักษ์ ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าที่นี่ คุณจะอยู่ร่วมกับพวกเราก็ได้นะครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร

    “ขอบคุณครับ ผมชื่อปฐม” แล้วก็เหลียวกลับไปมองเธอ ซึ่งส่งยิ้มด้วยดวงตา ปากน้อยๆ ได้รูปขยับบอกออกมา

    “ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ ฉันชื่อพลอยรุ้งค่ะ” ผมหวังอย่างยิ่งว่านี่ไม่ใช่ความฝัน ในโลกที่เต็มไปด้วยสงคราม ความสุขสงบมีค่ากว่าเงินตรา

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    “ไอ้พี่เปี๊ยกบ้า ถ้าขว้างอีกฉันจะฟ้องแม่” เสียงเด็กหญิงตัวน้อยเนื้อตัวมอมแมมร้องดังลั่น ใต้ต้มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ผมเดินเข้าไปดูก็ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาจากยอดต้นไม้ พอเงยหน้ากลับไปดู ก็พบว่าเป็นเด็กชายอายุแปดเก้าปีคนหนึ่ง กำลังเกาะปลายกิ่งไม้ที่สูงจากพื้นประมาณยี่สิบกว่าเมตร ใช้ขาทั้งสองข้างเกี่ยวกิ่งไม้นั้น ส่วนมือก็ปลิดเด็ดผลไม้หมายจะขว้างใส่เด็กหญิงด้านล่างเล่น

    “เปี๊ยกลงมา เดี๋ยวก็ตกหรอก” ผมร้องตะโกนบอกเด็กชายไป เสียงหัวเราะของเด็กชายร้องร่า พลันปล่อยเท้าที่เกาะเกี่ยวกับกิ่งไม้นั้น ตัวล่วงหลนลงมาด้วยความเร็วสูง พอใกล้จะถึงพื้นกลับใช้มือโหนกิ่งไม้และตีลังกาลงบนพื้นราวกับไม่รู้สึกอะไร

    “อย่าบอกแม่นะ เอ้า พี่ให้มะกอกสุกให้หมดเลย” พลางล้วงลูกมะกอกสุกจากกางเกงส่งให้เด็กหญิง พอเธอยื่นมือรับกลับขว้างผลมะกอกกลับเข้าใส่เด็กชาย แต่ก็ปาไม่ถูก เด็กชายหัวเราะลั่นแลบลิ้นใส่ แล้วก็วิ่งหนีไป ซึ่งมีเด็กหญิงตัวน้อยถือผลมะกอกวิ่งตาม

    “มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก” ผมรำพึงขึ้นในใจ นึกถึงคำพังเพยโบราณขึ้นมา หลังจากผมตื่นขึ้นมาสองอาทิตย์ร่างกายก็แข็งแรงตามเดิมแล้ว แต่เหมือนกับว่าผมไม่ได้แข็งแรง หรือจะพูดให้ถูกก็คือเหมือนกับว่าทุกคนรอบตัวผมจะแข็งแรงกว่าปกติ

    ตอนแรกผมก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน วันหนึ่งเห็นลุงพิทักษ์ ยกก้อนหินก้อนใหญ่ขนาดคนโอบเอามาตั้งไว้ข้างกระโจมทำโต๊ะนั่ง พอเข้าไปช่วยพยายามอย่างไรก็ไม่อาจจะขยับก้อนหินนั้นได้ หรือแม้แต่วิชัยเด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มผมบังเอิญเห็นเขาดำหายไปในน้ำเกือบสิบนาทีก็ไม่โผล่ขึ้นมา รีบเรียกให้คนมาช่วยคนอื่นๆ ก็พากันหัวเราะ สักพักวิชัยกลับโผล่ขึ้นมาพร้อมปลาตัวใหญ่เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  

    เรื่องแบบนี้เกิดให้เห็นทุกวันจนผมชาชินไม่ตื่นเต้นอะไรมากนัก  เพราะว่าคนในกลุ่มนี้ไม่มีพิษมีภัยอะไร ทุกคนเป็นมิตรและมีน้ำใจมาก ผมอยู่กับพวกเขามาหลายเดือนแล้วกลับไม่เคยเห็นใครทะเลาะกันเลย วันๆ เราแทบไม่ได้ทำอะไร เก็บผลไม้ในป่ามากินหรือไม่ก็จับปลา ผู้หญิงก็นั่งเลี้ยงลูก หรือไม่ก็นั่งถักเสื้อ นี่จะเรียกว่าโลกในอุดมคติเลยก็ได้

    “เหม่ออะไรคะ ปฐม” เสียงเรียกปลุกผมตื่นจากห้วงความคิด ไม่ต้องเหลียวหน้าไปมองก็รู้ว่าเป็นเธอ ผู้หญิงที่ผมรัก

    +++++++++++++++++++++++++++++++

    ไฟกองใหญ่ถูกจุดขึ้น รอบกองไฟก็มีคบเพลิงปักอยู่โดยรอบ กระโจมหลายๆ อันถูกประดับประดาด้วยดอกกล้วยไม้ป่าหอมจรุง เสียงหัวเราะดังแว่วขึ้นมาเป็นระยะจากรอบกองไฟ ทุกคนมีสีหน้าแช่มชื่น เพราะวันนี้เป็นวันมงคล เป็นวันแต่งงานของผมกับเธอ หลังจากที่เราคบกันมาหลายเดือน ในที่สุดผมก็ขอเธอแต่งงาน

    “วันนี้เราทุกคนมาร่วมกัน เพื่อแสดงความยินดีในงานแต่งงานของปฐมกับพลอยรุ้ง หวังว่าทั้งสองคนจะมีลูกให้พวกเราเร็วๆ นะ” แล้วเสียงปรบมือกับเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นพร้อมกัน บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุข  

    “นี่สำหรับหนูพลอยรุ้ง” ภรรยาของลุงพิทักษ์ยกถาดไม้ วางด้วยผลไม้ลูกหนึ่งมาให้ ผลไม้สีแดงสด ขนาดเท่าลูกแอปเปิล แต่มองแล้วไม่เหมือนผลไม้ใดๆ ที่ผมเคยรู้จักมาก่อน ขณะที่ผมจะเอื้อมมือไปหยิบดูด้วยความสงสัย ก็ถูกห้าม

    “นี่สำหรับผู้หญิงอย่างเดียว”

    “ผลอะไรครับ ผมไม่เคยเห็น” ภรรยาของลุกพิทักษ์เงียบ เหมือนกำลังค้นหาคำตอบให้ผม

    “ผลไม้มงคล” เสียงของลุงพิทักษ์ร้องบอก ชั่วขณะหนึ่งเหมือนทุกคนจะนิ่งเงียบไป แล้วสักพักเสียงคุยก็ดังขึ้นปกติดังเดิม

    “สนใจอะไรกับผลไม้ลูกเดียว สนใจเจ้าสาวดีกว่า” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น พร้อมด้วยเสียงหัวเราะของคนอื่นๆ

    ผมเหลียวมองพลอยรุ้ง ขณะที่เธอกำลังก้มหน้าทานผลไม้ลูกหน้าอย่างตั้งใจ หน้าเธอแดงสดใสเปล่งปลั่ง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับมือผมไว้อย่างแผ่วเบา ผมเห็นดวงตาที่ส่อแววกังวลใจของเธอ ผมบีบมือตอบกลับเหมือนจะยืนยันให้คำมั่นว่าผมจะรักเธอตลอดไป เธอยังคงทานผลไม้นั้นจนหมดผล


    <<มีต่อด้านล่างครับ>>

    จากคุณ : egotech - [ 28 พ.ย. 48 12:55:13 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป