CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ผู้วิปโยคในห้วงรัก

    ราตรีสงัด ลมหนาวพัดพลิ้ว ดาราดารดาษเหนือศีรษะ บุรุษสตรีคู่หนึ่งยืนอยู่บนเนินเตี้ย ห่างจากตัวเมืองไม่ไกล บุรุษรูปร่างปานกลาง ใบหน้าซูบเซียวแม้ไม่หล่อเหลาแต่สะอาดสอ้านไม่ขัดตา ในแววตาที่เคยทอประกายสนุกสนานแฝงเงาปัญญาของมัน บัดนี้คล้ายถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกแห่งความกำสรวลชั้นหนึ่ง เมื่อประกอบกับขนคิ้วที่รั้นตั้งดูไปขัดตายิ่งนัก แต่ก็บันดาลให้ผู้คนรู้สึกถึงความหดหู่ของผู้ทระนงยามสิ้นหนทางชนิดหนึ่ง สตรีร่างอวบเล็กน้อย เตี้ยกว่าบุรุษประมาณครึ่งศีรษะ ยามยืนเคียงคู่กับชายหนุ่มดูคล้ายคู่รักอันเหมาะสมคู่หนึ่ง บัดนี้ยามเอ่ยวาจาใบหน้าเด็ดเดี่ยวของนางก็ทอแววอับจนปัญญาชนิดหนึ่ง

    “เรายังเป็นเพื่อนกันได้....”
    “หากว่าคนที่เราต้องพบพานต่อไป ไม่ใช่ท่านคนเดิมที่เคยรักเรา เราขอจดจำเพียงท่านคนที่รักเราผู้นั้นไว้เถอะ...”

    หลังจากความเงียบงันช่วงใหญ่ บุรุษนั้นพลันทอดถอนใจ กล่าวว่า
    “แล้วกันไปเถอะ นับแต่นี้ไป พวกเรายังคงอย่าได้พบกันอีกเลย”
    สตรีสาวสะท้านขึ้นทั้งร่าง ใช้แววตาที่ทั้งปวดร้าวทั้งแตกตื่นจ้องมองดูดวงตาที่เซื่องซึมของมัน คล้ายคิดกล่าววาจาใด แต่แล้วกลับกล้ำกลืนไว้ เพียงพยักหน้าคราหนึ่ง
    “ดูแลตัวเองดีดีนะ...”

    บุรุษหนุ่มเผยอรอยยิ้มเศร้าสร้อยคราหนึ่ง คล้ายตอบรับวาจาของนาง และก็คล้ายเย้ยหยันต่อตนเอง หันกายก้าวยาวๆจากไป ไม่เหลียวมองกลับหลังอีกเลย
    ........................................

    เสียงฟ้าร้องคำรามก้องปฐพี หยาดฝนปรายเม็ดลงสู่หล้า เสียงฝีเท้ากระชั้นขึ้นเรื่อยๆ จากการสาวเท้ายาวๆกลายเป็นการทุ่มเทวิ่งตะบึง “ท่านทำร้ายเราถึงเพียงนี้ ยังบอกให้เรารักษาตัว ที่รักเอย....ท่านช่างใจดำนัก หากท่านต้องการให้เรามีความสุขจริงๆ ท่านไยต้องรักเรา เมื่อรับรักของเราแล้วไยจึงต้องจากเราไป ท่านอำมหิตเกินไปแล้ว.....”
    ผู้ใดว่าลูกผู้ชายไม่มีน้ำตา มันผู้นั้นเพียงยังไม่เคยเจ็บปวดจนถึงที่สุดเท่านั้น

    “เราเซียวเปียกลี้ขออธิษฐานต่อหน้าเทพเทวา ด้วยกุศลทั้งปวงที่เราสั่งสมมาในทุกชาติภพ นับแต่บัดนี้ ต่อให้ต้องเวียนว่ายในวัฏสงสารอีกกี่ครั้ง แม้นต้องทนทุกข์ทรมานไปอีกกี่ชั่วกัปกัลป์ จนกว่าดวงวิญญาณนี้จะสูญสลายคืนสู่ห้วงจักรวาล ขออย่าให้เราได้พบพานและหลงรักนางอีกต่อไป...” มันชูหมัดเงยหน้า ตะโกนสาปแช่งอยู่ท่ามกลางพายุฝนที่สาดซัด ในเสียงกัมปนาทจากท้องนภา ปรากฏสายฟ้าฟาดลงตรงหน้า ราวกับสวรรค์จะลงทัณฑ์ต่อมนุษย์ที่บังอาจมาท้าทาย และก็คล้ายตอบรับคำขอมัน ชายหนุ่มกระอักโลหิตออกมาหนึ่งคำ ล้มฟาดลงกับพื้นสูญสิ้นสติไป
    .........................................................

    หลายวันให้หลัง ช่วงเวลาก่อนรุ่งสาง วัดเป็นวัดน้อยกลางป่า ทรุดโทรมจนแม้กระเบื้องหลังคายังมีไม่ครบทุกแผ่น หลวงจีนชรายืนสงบนิ่งมองดูเงาร่างซอมซ่อของบุรุษที่ยืนหันหน้าเข้าหาพระประธานที่ปูนปิดเริ่มกระเทาะออกจนเห็นเนื้ออิฐและไม้ภายใน ท่านพลันส่งเสียงสรรเสริญพระพุทธคุณขึ้นคราหนึ่ง

    “โอม มณีตัสสะ บุรุษหนุ่มท่านหน้าตาเศร้าหมอง คาดว่าคงเกิดเงื่อนปมในหัวใจที่ไม่อาจคลี่คลายแล้ว?”
    ชายหนุ่มซอมซ่อมีสีหน้าละอาย ผลจากการร่ำสุราติดต่อกันหลายวัน มันไหนเลยยังมีสารรูปที่พบพานผู้คนได้อีก เสื้อผ้าที่สวมใส่ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง กระทั่งคราบอาเจียนยังปาดเช็ดออกไปไม่หมดสิ้น
    “ไต้ซือมีสายตาสูงส่งนัก ข้าพเจ้ามีเงื่อนหัวใจที่ไม่อาจคลายจริงๆ เนื่องจากต้องการแสวงหาความสงบชั่วคราว จึงเป็นเหตุให้มารบกวนการบำเพ็ญเพียรของท่าน ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจยิ่งนัก”
    “คำสายตาสูงส่งไม่กล้ารับ อาตมาเพียงพบพานผู้คนมากหลาย จึงพอเข้าใจเรื่องราวอยู่บ้าง เรื่องรบกวนไม่รบกวนนั้นขอประสกอย่าได้ใส่ใจ แม้คราบสังขารนี้ยังมิใช่ของอาตมา วัดนี้ไหนเลยเป็นของอาตมาได้ ประตูวัดเปิดต้อนรับผู้ใฝ่หา พุทธองค์เป็นสรณะของทุกผู้คน ประสกเกรงใจเกินไปแล้ว”

    ประกายปัญญาในแววตาของชายหนุ่มคล้ายแสงแดดที่สาดทะลุผ่านเมฆฝนกลับมาวูบหนึ่ง แต่ไม่นานก็ถูกปกคลุมอีกครั้ง มันล้มเลิกความคิดสะบัดหน้าจากไป ยกมือทั้งคู่ขึ้นเหม่อมองชั่วครู่จึงกล่าว
    “ผู้เวียนว่ายในสังสารวัฏมีคำถามโง่เขลาคิดเรียนถามไต้ซือ...”
    สายตาของบุรุษหนุ่มพลันละจากมือของตน เงยหน้าขึ้น เหม่อมองไกลออกไปอย่างไร้จุดหมาย มันกลับเป็นเซียวเปียกลี้ผู้นั้น แต่มันในยามนี้ นอกจากเค้าหน้าซูบเซียวที่มีหนวดเครายาวรกออกมาแล้ว กระทั่งแววตายังแปรเปลี่ยนไป ยามนี้แม้แต่สหายที่สนิทที่สุดของมัน เกรงว่ายังต้องเพ่งมองเนิ่นนานจึงค่อยจดจำออก

    หลวงจีนชรากลับไม่มีท่าทีรังเกียจสารรูปของชายหนุ่ม ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ กล่าวตอบด้วยเสียงอันนุ่มนวล

    “บรรพชิตย่อมไม่อาจเห็นแก่ตัว มาตรว่าอาตมาฝึกฝนตนเองเพื่อหลุดพ้น แต่หน้าที่ในการเป็นสื่อระหว่างพุทธะและฆราวาสยังมิอาจหลีกเลี่ยง ประสกน้อยเชิญป้อนคำถาม”
    “ขอเรียนถามไต้ซือ อันใด...อันใดหรือคือความรัก….?”
    “อาตมาความจริงเป็นกำพร้า ออกบวชตั้งแต่เล็ก ความรักฉันบุรุษ สตรี อาตมาไม่เคยรับทราบด้วยตนเอง เพียงพบพานบุคคลเยี่ยงประสกมากเข้า ค่อยปรากฎเป็นข้อสรุป… อันว่าความรักนั้น แท้ที่จริงเป็นความสัมพันธ์ของเรากับใจของเราเอง”
    “ตัวเรากับใจของเรา” เซียวเปียกลี้ทวนคำอย่างเลอะเลือน
    “ถูกต้องแล้ว ขอถามขณะที่ประสกรักใครสักคน ประสกรู้สึกอย่างไร?”
    เซียวเปียกลี้ตอบโดยไม่ขบคิด “ย่อมต้องต้องการความรักตอบ”
    “เหตุใดจึงต้องการเช่นนั้นเล่า?”
    “เพราะว่า...เพราะว่า...”มันทวนคำอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายกลับไม่อาจกล่าวจนจบได้

    สีหน้าของหลวงจีนชราที่ยังคงประดับไว้ด้วยยิ้มอันปรานี เปล่งประกายอันน่าเลื่อมใส กล่าวว่า
    “เพราะว่าประสกต้องการสิ่งตอบแทน เพื่อเติมเต็มความรู้สึกของตนเองใช่หรือไม่?”
    สีหน้าของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง สิ่งที่หลวงจีนชราเอ่ย กลับขัดแย้งกับความรักที่มันเทิดทูนบูชาเสมอมา
    “นี่...นี่...แต่ว่าในโลกนี้ก็มีผู้ที่ยอมอุทิศความรักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนเช่นกัน” มันกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้
    “เขาเหล่านั้นก็มุ่งหวัง เพียงแต่สิ่งที่พวกเขามุ่งหวังคือความสุขใจ ความพึงพอใจที่ได้จากการให้นั้นเอง”
    “อย่างนั้น ทุกผู้คนในโลกใยมิใช่เสแสร้งเข้าหากัน แม้กระทั่งการดีต่อกัน ก็เพียงเพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์ส่วนตนเล่า?”
    “ก็แล้วผู้ใดว่าไม่ใช่เช่นนั้นเล่า?” ใบหน้าการุณย์ของหลวงจีนพลันเปลี่ยนเป็นยิ้มแสยะอย่างชั่วร้าย นัยน์ตาใต้คิ้วขาวเปล่งประกายสีเขียวแวววับ เซียวเปียกลี้พลันพบว่าใบหน้าของหลวงจีนชราขยายเป็นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หมุนวนอยู่รอบตัวของมัน มันร้องตะโกนออกมาจนสุดเสียง
    .............................................

    อรุโณทัยไขแสง รถทรงแห่งสุริยเทพผู้ทรงไว้ซึ่งความเที่ยงตรงลากเส้นสีทองจับขอบฟ้า คณานกโผบินส่งเสียงร้องเพรียกก้องพงไพร เซียวเปียกลี้ผวาตื่นจากที่นอน หลั่งเหงื่อโซมหน้า

    “ประสกรู้สึกตัวแล้วหรือ?” เสียงอ่อนโยนแว่วมาเข้าหู ชายหนุ่มหันขวับไปยังต้นเสียง สะดุ้งสุดตัวเมื่อพบว่าหลวงจีนชราที่นั่งอยู่ด้านข้างเป็นคนเดียวกับที่ตนเห็นในฝันไม่ผิดเพี้ยน!
    “ตะ ไต้ซือ ที่นี่เป็นสถานที่ใดกัน”
    หลวงจีนชราอมยิ้มกล่าวอย่างอ่อนโยน
    “นี่เป็นห้องของอาตมาเอง ในวัดเรา มีเพียงห้องนี้ที่น้ำฝนไม่รั่วลงมา”
    ชายหนุ่มหน้าแดงวูบ เหลือบดูอาภรณ์เลอะเทอะของตน รีบกลิ้งร่างลงจากเตียง
    “รบกวนไต้ซือมากแล้ว นอกจากจะยึดครองเตียงนอนของท่าน ยังทำมันสกปรกอีกด้วย”
    “พุทธองค์ว่าไว้ เราไม่ลงนรก ผู้ใดลงนรก เพียงเสียสละเตียงให้แก่ประสก นับเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ดูจากท่าทางตอนตื่น ประสกคล้ายผ่านฝันร้ายมาคราหนึ่งกระมัง?”

    ชายหนุ่มนึกถึงความฝันเมื่อครู่ อดมิได้ต้องขนลุกเกรียว ร่างสั่นสะท้านขึ้นอีกครา แต่แล้วหวนนึกถึงวิมานรักที่วาดไว้ล้วนพังทลายลง ในโลกยังมีสิ่งใดให้อาวรณ์ ใบหน้าต้องกลับเป็นเศร้าสร้อยอีกครั้ง อดทอดถอนใจออกมามิได้

    “โอม มณีตัสสะ บุรุษหนุ่มท่านหน้าตาเศร้าหมอง คาดว่าคงมีเงื่อนปมในหัวใจที่ไม่อาจคลี่คลายแล้ว?” ชายหนุ่มสะท้านไปทั้งกายอีกครั้ง นี่ใยมิใช่คำพูดเดียวกับที่มันได้ยินในฝันเมื่อวาน?
    “ประสกเป็นอะไรไป?”
    “ไม่..ไม่มีใด...เพียงแต่....”
    “เพียงแต่ประสกรู้สึกเหมือนว่าเคยพบและพูดคุยกับอาตมามาแล้วใช่หรือไม่?”
    “นี่...ไต้ซือ นี่ที่แท้...”
    หลวงจีนชราหันหลังกลับเดินออกจากห้องไป ทิ้งไว้แต่เสียงกังวาน คล้ายระฆังวัตร ที่ก้องสะท้อนในหูของชายหนุ่ม
    “หากประสกคิดว่าเป็นความฝัน สิ่งนั้นก็เป็นความฝัน หากประสกคิดว่าเป็นอดีต สิ่งนั้นก็เป็นอดีต ขอถามหากมองย้อนกลับไป ฝันร้ายชั่วข้ามคืน กับอดีตที่โหดร้ายมีอันใดแตกต่างกัน?”
    ……………………......….

    แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 48 09:41:44

     
     

    จากคุณ : เซียวเปียกลี้ - [ 2 ธ.ค. 48 09:32:11 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป