CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ++[=ความจริงเกี่ยวกับตัวฉันฯ=]++ ตอนที่ 7 : [ตัวน่ารังเกียจที่มีประโยชน์]

    ลิ้งค์ตอนเก่า

    ตอนที่ 1 ความจริงเกี่ยวกับตัวฉันที่อยากให้คน(ไม่)อยากรู้
    : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3572813/W3572813.html

    ตอนที่ 2 ออฟฟิศผีบ้า
    : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3579435/W3579435.html

    ตอนที่ 3 เทรนด์การฟังเพลงในออฟฟิศ
    : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3583612/W3583612.html

    ตอนที่ 4 ความบกพร่องในภาษา
    : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3613899/W3613899.html

    ตอนที่ 5 แฝดแบบว่า...(บ้า)
    : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3679121/W3679121.html

    ตอนที่ 6 ว่าด้วยเรื่องโอ.ที. มาราธอน
    : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3913294/W3913294.html

    ก่อนอื่นเลยต้องขอออกตัวไว้ตรงนี้เลยว่า ความจริงเกี่ยวกับตัวฉันฯ ตอนนี้ไม่ฮาเหมือนตอนก่อนๆ มานะคะ เป็นเพราะว่าตัวZ อยากลองเขียนอะไรที่เป็นจริงเป็นจังกับเขาบ้างสักหนน่ะค่ะ ถ้าอ่านแล้วเกิดอาการขมวดคิ้วขึ้นมาก็ขออภัยทุกท่านที่อ่านมาล่วงหน้าด้วยนะคะ

    ========================================================

    ‘ตัวน่ารังเกียจ’ ใครๆ หลายคนคงจะนึกไปถึงพวกสัตว์อันไม่พึงประสงค์จำพวกสัตว์เลื้อยคลานและแมลง ทั้งหลายแหล่ (แน่ล่ะที่มันไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย) แต่คำว่า ‘ตัวน่ารังเกียจ’ สำหรับฉันแล้ว มันหมายถึงตัวของฉันเอง

    ตัวน่ารังเกียจนี้แฝงอยู่ในตัวฉันมาตั้งแต่เกิด บางครั้งก็ควบคุมได้ และหลายๆ ครั้ง ที่ฉันไม่สามารถควบคุมมันและทำให้มันแสดงออกมาให้หลายคนได้เห็นบ่อยครั้ง หลายคนอาจจะเรียกว่านิสัยดั้งเดิม บางคนก็เรียกว่าจิตใต้สำนึก หรือถ้าจะเรียกให้ถูกภาษาของฉัน มันก็คือ ‘สั-น-ด-า-น-เ-สี-ย’ นี่แหละ

    อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงจะงงว่า ทำไมจู่ๆ ฉันถึงนึกอยากจะเล่าเรื่องนี้ขึ้นมาให้ฟัง ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าฟังเลยสักนิด แต่ฉันเองก็อยากจะให้ได้รู้กัน เพราะในความคิดของฉันแล้ว คนเรามันก็เหมือนเหรียญ คือ มีทั้งสองด้าน ทั้งด้านดีและด้านเสีย แล้วนับประสาอะไรกับคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างฉันที่จะมีด้านแย่ๆ ที่บางคนอาจจะไม่อยากเล่าให้ใครรู้เลยก็ได้ แต่วันนี้ฉันตัดสินใจแล้ว... ฉันจะเล่าให้ฟัง

    พ่อของฉันหมั่นสอนลูกๆ ของท่านเสมอว่า ถ้าอยากเป็นคนเก่ง เป็นคนมีความสามารถ ต้องกล้าที่จะแสดงมันออกมา และการที่เราจะ ‘กล้า’ ได้นั้น เราต้องมีความมั่นใจในตัวเอง.... มั่นใจว่าเรามีดี และเชื่อว่าเรามีดีพอที่จะแสดงให้ใครๆ ได้เห็น  และสิ่งเหล่านั้นก็ถูกปลูกฝังมาแก่ลูกทั้งสามคนมาตลอดชีวิต

    ฉันเชื่อทฤษฎีนี้ของพ่อมาโดยตลอด แม้ว่าจะทำตามบ้าง ไม่ทำตามบ้างตามประสาเด็กไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอะไร แต่ท้ายที่สุดแล้ว ในขณะที่ฉันอายุ 14 ฉันค้นพบว่าตัวเองมีสิ่งๆ หนึ่ง ซึ่งเพื่อนวัยเดียวกันที่อยู่ใกล้ชิดฉันไม่ค่อยมี หรือมีแต่ไม่ได้ใส่ใจ ซึ่งก็คือ

    “ความรู้รอบตัว และ ความจำ”

    สองสิ่งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ฉันจำความได้และเริ่มอ่านหนังสือยังไม่แตกฉานดีนัก เริ่มแรกจากการอ่านนิทานภาพ พัฒนาไปถึงหนังสือจำพวกความรู้ทั่วไปที่พ่อชอบซื้อมาทิ้งไว้ในบ้าน ฉันอ่านหนังสือจำพวกนี้อย่างตั้งอกตั้งใจเสียยิ่งกว่าหนังสือเรียนเสียอีก และแน่นอนว่า ความคิดในกะลาแคบๆ ของฉันเริ่มคิดเข้าข้างตัวเองแล้วว่า

    “ฉันเก่ง...เก่งเพราะรู้ในสิ่งที่เพื่อนๆ ของฉันไม่รู้เรื่องเลยสักนิด”

    ฉันใช้ความคิดโง่ๆ นี้ เป็นอาวุธของตัวเอง และมันก็ทำให้ ‘ตัวน่ารังเกียจ’ ของฉัน เริ่มโผล่ออกมาให้ใครๆ ได้เห็นกัน

    ตัวน่ารังเกียจของฉันออกอาละวาดหนักในช่วงที่ฉันเป็นวัยรุ่น ช่วงนั้นฉันเรียนชั้น ปวช. ในห้องเรียนของฉันไม่ได้มีแค่คนวัยเดียวกันเท่านั้น แต่มีเพื่อนร่วมห้องที่อายุมากกว่าตั้งแต่ 2 ปี ไปจนถึง 8 ปีเลยก็มี

    อุปนิสัยของฉันค่อนข้างประหลาด ถ้าหากฉันจะต้องเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ไปสู่ที่ใหม่ ฉันมักจะมีระบบป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งซึ่งเป็นอุปนิสัยที่ค่อนข้างแย่ นั่นก็คือ การทำให้ตัวเองรู้สึกเหนือกว่าคนอื่น ด้วยการแสดงความรู้ที่สะสมไว้ออกมา หรือแม้แต่การถามคำถามกับอาจารย์ในเรื่องที่ฉันต้องการรู้ ซึ่งมันมักจะก่อความไม่พอใจกับเพื่อนใหม่ของฉัน เพราะในขณะที่พวกเขาต้องการจะกลับบ้านในชั่วโมงสุดท้าย แต่ฉันยังคงป้อนคำถามกับอาจารย์ที่พร้อมจะตอบทุกๆ คำถามของฉันอย่างละเอียด จนในครั้งหนึ่ง เพื่อนร่วมห้องของฉันคนหนึ่งคงทนไม่ไหวจนถึงกับเอ่ยออกมากลางห้องหลังจากฉันหมดคำถามกับอาจารย์แล้ว

    “ขอบคุณนะที่ไม่ถามต่อ”

    ในทีแรกฉันไม่ได้สนใจ เพราะฉันคิดว่า ฉันก็แค่อยากรู้ในสิ่งที่ต้องการรู้ ฉันไม่แคร์สายตาของเพื่อนร่วมห้องที่มองฉันอย่างรังเกียจทุกครั้งที่ฉันตอบคำถามของอาจารย์ ไม่ว่าจะเรื่องทฤษฎีการถ่ายภาพ เรื่องการจัดองค์ประกอบของภาพถ่าย และเรื่องความรู้ทั่วๆ ไปที่อาจารย์มักจะถามเสริมในท้ายชั่วโมง

    จนในวันหนึ่งฉันถึงได้รู้สึกว่า ฉันมีความรู้มากขึ้นก็จริง แต่สังคมรอบตัวของฉันมันหายไป... ไม่มีเพื่อนร่วมห้องคนไหนอยากจะคุยกับฉัน หรือแม้ว่าจะคุยกัน ก็มักจะเป็นประโยคเยาะเย้ยถากถาง หรือไม่ก็กระแนะกระแหนต่างๆ นาๆ

    อย่างเช่นในบางครั้ง ฉันอาจจะไม่ถนัดในบางเรื่อง พอฉันเอ่ยปากถามเพื่อนในห้องคนหนึ่งซึ่งค่อนข้างเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ก็มีเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวโจกกลายๆ ในห้อง เบรกไว้ด้วยประโยคที่ว่า

    “ไม่ต้องไปช่วยมันหรอก เก่งนักก็ช่วยตัวเองเอาสิ”

    หรือไม่ก็

    “อ้อ...นึกว่าจะฉลาดไปทุกเรื่องเสียอีก”

    พวกเขาเหล่านั้นพูดด้วยความสะใจที่ทำให้ฉันหน้าแตกได้ หรือทำให้ฉันลำบากได้เมื่อผลงานที่ออกมาไม่ดีอย่างที่ตั้งใจไว้ (ในสมัยเรียนถ่ายภาพต้องทำเองทุกอย่างในเรื่องกระบวนการอัด-ขยายภาพ) โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่า ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มอยู่ตลอดแม้ว่าจะโดนกระแนะกระแหนมากเท่าไรนั้น ภายในใจของฉันมีตัวตนที่อ่อนแอกำลังร้องไห้อยู่เงียบๆ

    ฉันเก็บงำปัญหานั้นเอาไว้กับตัวเอง นั่งคิด วิเคราะห์ และหาทางแก้ปัญหาให้กับตัวเองถึงสภาพสังคมรอบๆ ตัว จนในที่สุดฉันก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองอย่างโง่ๆ ว่า

    “ในเมื่อพวกเขาอยากเห็นฉันล้ม ฉันจะไม่ยอมล้ม แต่ฉันจะเหยียบพวกเขาให้จมดิน”

    ฉันกลายเป็นคนที่มีอีโก้สูง ไม่แคร์สายตาคนอื่น รวมถึงนิสัยข่มคนอื่นให้รู้สึกด้อยกว่าฉัน และนั่น ทำให้ตัวน่ารังเกียจมันครอบงำฉันทั้งร่างกายและจิตใจ

    ในทุกครั้งที่ฉันข่มใครได้ด้วยสิ่งที่ฉันมี ตัวน่ารังเกียจก็จะแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่า ‘สะใจ’ ขนาดไหนที่ได้เหยียบใครคนหนึ่งให้จมดิน

    ในที่สุดแล้ว ฉันก็ไม่มีเพื่อนที่เรียกว่า ‘เพื่อน’ จริงๆ เลยสักคน เพื่อนร่วมห้องต่างรู้จักฉันอย่างผิวเผินแม้ว่าจะเรียนด้วยกันมาหลายปีก็ตาม และต่างหาผลประโยชน์จากตัวฉันเหมือนเหลือบไรที่เกาะกินเลือดเนื้อของฉัน

    ก่อนหน้านี้ฉันเคยคิดว่า ฉันทำให้เพื่อนยอมรับได้แล้วว่าฉันเป็นคนเช่นไร แต่ไม่เลย... พวกเพื่อนๆ ไม่เคยมองเห็นตัวฉัน และสิ่งที่ฉันเสียใจที่สุดก็คือ พวกเขามักจะเอาฉันไปพูดลับหลังกันอย่างสนุกปาก

    ฉันทนรับปัญหานี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ฉันลองปรึกษาเรื่องนี้กับคนที่เข้าใจฉันมากที่สุด ซึ่งรู้จักตัวตนของฉันเป็นอย่างดีมาตลอดชีวิต

    “ฉันผิดตรงไหนเหรอที่ฉันเป็นแบบนี้ ทำไมเพื่อนทุกคนถึงได้หมั่นไส้ฉันแบบนั้น” ฉันเอ่ยถามระหว่างที่เรานั่งคุยกันสองคนในห้องนอนของเธอ

    เธอที่มีรูปร่างและหน้าตาเหมือนกับฉันเกือบทุกอย่างยกเว้นอุปนิสัยละสายตาจากหนังสือเรียนแล้วหันมามองฉันอย่างพิจารณา

    “ทำไมไม่ลองถามตัวเองดูก่อนล่ะ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น”

    “ก็เพราะถามตัวเองแล้วไม่ได้คำตอบ ถึงได้มาถามเธอไงล่ะ”

    “มันเป็นเพราะว่าบางทีเราแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเรารู้มากไป และนิสัยคนไทยส่วนใหญ่มักจะไม่ชอบให้ใครมาแสดงให้เห็นว่าเขารู้มากกว่าตัวเองน่ะสิ”

    “แล้วฉันจะต้องทำยังไง?”

    เธอยิ้มให้กับฉันก่อนจะปรับสีหน้ามาเป็นจริงจัง

    “เคยได้ยินสุภาษิตจีนที่ว่า ‘ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้’ บ้างมั้ย ในบางครั้ง คนเรารู้อะไรก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาหรอก เราต้องเก็บภูมิความรู้ของเราเอาไว้บ้าง เหมือนกับขงเบ้งที่ไม่เคยอวดตัวเองว่าฉลาดยังไงล่ะ”

    “ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้ อย่างนั้นเหรอ...” ฉันทวนประโยคที่เธอพูดเมื่อกี้กับตัวเอง

    “เราอาจจะฉลาดในบางเรื่อง แต่เราก็โง่ในบางเรื่องเหมือนกัน ไม่มีใครหรอกที่จะฉลาดในทุกๆ เรื่อง แกต้องยอมรับตัวเองในเรื่องนี้ก่อน แล้วเปิดตามองคนอื่นให้มากขึ้น หัดมองความฉลาดในตัวคนอื่นในส่วนที่แกไม่มี แล้วมันจะดีขึ้นเอง”

    น้ำหนักของฝ่ามือของเธอที่ตบลงมาบนบ่าฉันและประโยคสุดท้ายในบทสนทนาระหว่างเรายังคงอยู่ในสมองของฉันอยู่เสมอ

    “บางครั้งเราก็ต้องแกล้งโง่เพื่อให้ตัวเองฉลาดขึ้น เชื่อพี่เถอะ...”

    และเมื่อฉันลองทำตามที่เธอบอก ฉันก็ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น เพื่อนๆ ต่างก็ยอมรับฉันมากขึ้น และโลกแคบๆ ของฉันเปิดกว้างขึ้นอีกหลายเท่า และนั่น...ทำให้ฉันรู้ว่า สิ่งที่ฉันเคยคิดว่า เก่ง เจ๋ง หรือแน่กว่าใครๆ แท้จริงแล้ว ฉันก็เป็นแค่ไอ้ตัวกระจอกงอกง่อยคนหนึ่งที่หลับหูหลับตาชื่นชมแต่ตัวเองเท่านั้น

    โลกใบนี้กว้างใหญ่กว่าที่ฉันคิด และคนที่เก่งกว่าฉันเป็นหมื่นเป็นล้านเท่า ก็ยังอยู่กระจัดกระจายในโลกใบใหญ่แห่งนี้

    แต่ถึงกระนั้น ตัวน่ารังเกียจก็ยังโผล่ออกมาบ้างประปรายเป็นบางครั้ง และครั้งล่าสุดก็ตอนที่ฉันเข้ามาทำงานในออฟฟิศใหม่ๆ ในเดือนแรก

    ฉันไม่เคยรู้ตัวเลยว่าฉันได้ทำตัวน่ารังเกียจออกไปมากเท่าไร เพราะไม่มีใครคอยตักเตือนฉัน จนในวันหนึ่ง บอสก็เรียกฉันมาคุยกันเป็นการส่วนตัว และตักเตือนฉันแบบตรงๆ โดยที่ฉันรับฟังด้วยอาการสงบนิ่ง แม้ว่าความเชื่อมั่นในตัวเองจะสั่นคลอนแค่ไหนก็ตาม

    ถ้าเป็นเมื่อสมัยก่อน ฉันคงตอบโต้และเถียงอย่างไม่ยอมรับไปแล้ว แต่ตอนนี้ฉันโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น และพร้อมที่จะแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองในส่วนที่คนอื่นติติงอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เชื่ออีโก้ของตัวเองจำพวก “กูเก่ง กูเจ๋ง กูแน่” อีกต่อไป

    อย่างน้อยมาถึงตอนนี้ ฉันก็ไม่แน่ใจว่าตัวน่ารังเกียจของฉันจะโผล่มาอีกเมื่อไหร่ แต่ ณ เวลานี้ ฉันก็ต้องขอบคุณตัวน่ารังเกียจที่ทำให้ฉันได้รู้จักตัวเอง ทำให้ฉันไม่งมโข่งอยู่ในกะลา สอนให้ฉันเข้มแข็งพอที่จะรับสถานการณ์เลวร้ายต่างๆ ที่ประดังประเดเข้ามาเพราะตัวน่ารังเกียจได้ และท้ายที่สุด ตัวน่ารังเกียจทำให้ฉันรู้ว่า ฉันเป็นแค่เพียงฝุ่นธุลีเล็กๆ ในโลกใบนี้เท่านั้นเอง

    เปิดตา...มองคุณค่าของคนอื่น
    เปิดหู...รับฟังเสียงตักเตือน
    เปิดใจ...ยอมรับข้อบกพร่องของตัวเอง

    เห็นไหม...บางทีตัวน่ารังเกียจก็มีประโยชน์ทำนองนี้เหมือนกัน แม้ว่ามันจะทำให้ฉันเจ็บปวดมากสักแค่ไหนก็ตาม...

     
     

    จากคุณ : ตัว(Z) - [ 3 ธ.ค. 48 13:50:05 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป