กล่องเก็บเรื่องเก่า : หนังสือหนังหา ของคุณย่า ของคุณยาย
สังคมไทยของเราไม่ใช่ 'สังคมนักอ่าน' (Reading Society)
วัฒนธรรมไทยเราไม่ใช่ 'วัฒนธรรมนักอ่าน' (Non-reading Culture)
หรือเปล่า
?
ประเดี๋ยวก่อน ลำพังตัวฉันไม่อาจหาญพอจะสรุปอย่างนั้น แต่สำนักงานสถิติแห่งชาติของเราได้เสนอสถิติการอ่านหนังสือของคนไทยที่น่าฉงน ปรากฏอยู่ในคอลัมน์ "Just A Thought" ในหนังสือพิมพ์ The Nation ฉบับวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2548
บทความนั้นมีชื่อว่า "Thailand sorely lacks a reading culture" เขียนโดย คุณวีณารัตน์ เลาหภคกุล นักข่าวที่หลายคนคุ้นหน้าจากรายการเศรษฐกิจของเนชั่น
ผลการสำรวจบอกว่า ในบรรดาคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไปที่อ่านออกเขียนได้ 59.2 ล้านคน มีคนถึงร้อยละ 25.3 หรือ ประมาณ 15 ล้านคน ไม่อ่านหนังสือ (เขาเขียนว่า Did not read เลยล่ะ)
ครึ่งหนึ่งของ 15 ล้านคนที่ว่า เลือกที่จะดูโทรทัศน์มากกว่า และ 36 เปอร์เซ็นต์ถัดมา บอกว่า ไม่มีเวลาอ่าน และอีกส่วนหนึ่งบอกว่า ไม่สนใจจะอ่านหนังสือเลย!?
ฟังแล้วน่าตกใจพอๆ กับคำพูดของแม่มณีที่บอกหลวงเทพฯในหนังทวิภพว่า คนไทยอ่านหนังสือกันเฉลี่ยกันคนละ 6 บรรทัดต่อปีนั่นแหละ
ถึงจะพูดแบบไหนก็แล้วแต่
นักอ่านหลายคนคงจะแอบเถียงอยู่ในใจว่า "ตอนสำรวจ ทำไมไม่มาถามฉันบ้าง" หรือว่า "นับแต่แบบที่เป็นเล่มๆ หรือไง ทำไมไม่นับหนังสือแบบออนไลน์บ้าง"
อย่างว่าละนะ สถิติที่ได้มาจากการสุ่มประชากรเอา โอกาสที่คลาดเคลื่อนก็ย่อมมีอยู่บ้าง ซึ่งตามปกติในรายงานการวิจัยก็จะเรื่องข้อจำกัดของข้อมูล (Validity of Data)ไว้ด้วย
เวลาอ่านสถิติหรืองานวิจัยเชิงปริมาณ โดยเฉพาะเวลาที่เสนอเป็นข่าวโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ คงต้องพิจารณากันให้ดี ก่อนที่จะปักใจเชื่อ
ถ้าพูดนานกว่านี้ สงสัยจะพาเข้าตำราวิชาการกันไปใหญ่
จะไม่ได้พูดถึงเหตุที่หยิบเอาบทความข้างต้นมาคุยให้ฟัง และไม่รู้ว่าเกี่ยวกับหนังสือหนังหา ของคุณย่าคุณยายอย่างไรกันสักที
เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า
เมื่ออาทิตย์ก่อน ฉันแวะไปหาคุณป้าที่บ้าน อ. แม่ริม และระหว่างที่ท่านใช้ให้เดินข้ามไปเอาของในบ้านอีกหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นเรือนหลังเก่าที่คุณป้าให้ช่างยกจากบ้านเดิมในเมืองออกมาปลูกไว้ในบริเวณเดียวกันในที่ดินผืนใหม่ ที่จริงจะรื้อเรือนเอาไม้ขายเสียก็ได้ แต่เหตุที่ยกมาทั้งที่ไม่มีใครอยู่ ก็เพราะเสียดายไม่อยากทิ้งเรือนที่คุณตาสร้างมากับมือ จึงปรับแปลงใหม่ให้เป็นกึ่งไม้กึ่งปูนเสีย และใช้เป็นที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ทั้งเก่าและใหม่
ไม่รู้ว่าเหตุผลกลใด
เมื่อได้หาของที่สั่งพบแล้ว ฉันก็อดไม่ได้ที่จะซุกซนรื้อค้นข้าวของในห้องนั้นต่อ จนกระทั่งเจอกับของบางสิ่ง และหยิบติดมือออกมาด้วย
สิ่งที่ฉันได้มา คือ พับสาบันทึกอักษรล้านนาเปื้อนฝุ่นจนปกที่เคยขาวแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา สากมือ และหนังสือเก่า กรอบ จวนขาดสองสามเล่ม
ป้าบอกว่า พับสาที่ฉันเอามานั้นเป็น 'พับสา' หรือ กระดาษสาพับเป็นทบสำหรับเขียนหนังสือ จารตัวเมืองหรืออักษรล้านนาด้วยหมึกฝีมือของคุณตา ส่วนหนังสือค่าวซอ หรือ นิทานที่แต่งเป็นคำกลอนคล้องจองกันที่เรียกว่า 'ค่าว' ที่มักจะเล่าประกอบเพลงซอ เพลงพื้นเมืองของทางเหนือนั้น เป็นของคุณยาย
"ถึงไม่ได้เรียนหนังสือ แต่คุณยายของเราน่ะเป็นนักอ่าน นักสะสมหนังสือคนหนึ่งเลยล่ะ" แม่เล่าให้ฟัง
คุณยายไม่เคยเรียนหนังสือในโรงเรียน ทว่าด้วยความอยากอ่านหนังสือ ไม่อยากรอให้คนอื่นมาอ่านให้ฟัง จึงอาศัยเรียน อาศัยถามเอาจากคนอื่นที่เขารู้หนังสือ จนอ่านออก เข้าใจชัด ขาดแต่เรื่องเขียนหนังสือให้คล่องเท่านั้น
สมัยก่อน มีหนังสือให้เลือกไม่มากนัก แต่หนังสือออกมาเท่าใด หากพอจะหาซื้อมาอ่านได้ คุณยายก็จะซื้อมาอ่าน มาเก็บไว้ และสนับสนุนให้ลูกสาวสามใบเถาของคุณยายอ่านด้วย
คุณยายอยากให้ลูกสาวทุกคนรู้หนังสือ เพราะคุณยายรู้ดีว่าคนที่รู้หนังสือ และอ่านหนังสือมาก ย่อมมีโอกาสที่จะเรียนรู้ได้มาก และก้าวหน้ากว่าคนที่ไม่รู้หนังสือ หรือไม่อ่านหนังสือ
คุณยายอยากให้ลูกสาวของคุณยายมีโอกาสทำในสิ่งที่คุณยายไม่เคยทำ นั่นคือ เรียนหนังสือ เพราะคุณยายคิดว่าสถานที่ของผู้หญิงไม่ควรถูกจำกัดอยู่เฉพาะหน้าเตาไฟ หรือมีความรู้จำกัดเพียงงานบ้านงานเรือน และดอกไม้ใบตองเท่านั้น
แต่การอ่านหนังสือสมัยก่อนไม่ได้สะดวกง่ายดาย จะอ่านเมื่อใดก็ได้อย่างสมัยนี้
ในยามสงคราม บางครั้งต้องพรางไฟตอนกลางคืน ไม่ให้ตกเป็นเป้าการทิ้งระเบิดทางอากาศ เมื่อถึงเวลานั้นเมื่อใด ถึงอ่านหนังสือค้างและติดพันเท่าใด ก็จำต้องดับไฟ หยุดอ่านเมื่อนั้น
"ช่วงสงคราม บ้านเราตัดสินใจย้ายออกจากเมืองไปอยู่บ้านที่ดอยสะเก็ดอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนั้นดอยสะเก็ดจัดว่าเป็นบ้านนอกเลยก็ได้
ไม่มีไฟฟ้าใช้
ต้องจุดเทียนอ่านหนังสือ" แม่เล่า
"เลยอ่านจนได้เรื่อง
" คุณป้าแหย่ยิ้มๆ
ตามประสาคนนอนพังพาบอ่านหนังสือ อ่านนานๆ ไปก็ต้องเมื่อยและค่อยๆ ก้มต่ำลงเรื่อยๆ เป็นธรรมดา ตอนนั้นแม่กำลังอ่านเพลินไม่ทันรู้ตัว ลืมไปว่าตั้งเทียนเอาไว้ตรงหน้า มารู้ตัวอีกทีก็ตอนได้กลิ่นผมไหม้
ผมหน้าม้าถูกเปลวเทียนลนจนเกรียม งอไปหลายเส้น ดูไม่จืดไปนานเลยทีเดียว
"หนังสือมีน้อย สิ่งแวดล้อมก็ไม่ค่อยเอื้อ แต่ถึงบทจะอ่านแล้ว ก็ต้องหาทางอ่านให้ได้
" แม่บอก "เด็กๆ สมัยนี้โชคดี ได้เรียนหนังสือเต็มที่ มีหนังสือออกมาให้อ่านกันจนเลือกไม่หวาดไม่ไหว"
ฟังแล้ว บทความในหนังสือพิมพ์เรื่องนั้นก็แวบเข้ามาในความคิดอย่างช่วยไม่ได้
ถ้าหากสถิติการอ่านเป็นจริงตามที่สำนักงานสถิติแห่งชาติเสนอ ก็น่าเสียดายเหลือเกินที่ใครหลายคนปล่อยโอกาสดีๆ ที่เรามีมากกว่าคนสมัยก่อนไปด้วยเหตุผลง่ายๆ อย่างนั้น
หนังสือโปรดของคุณยาย
ส่วนใหญ่เป็นนิทานที่แต่งขึ้นเป็นกลอน อย่างหนังสือค่าวซอชื่อเรื่องแปลกๆ เช่น ช้างงาเดียว นางกินปูร้อยเอ็ดตัว นางงูอม หรือ วรรณคดีที่เรารู้จักกันดี เช่น สังข์ทอง อิเหนา
เมื่อมีนิยายสมัยใหม่ให้ซื้อหา คุณยายก็ไม่ลังเลที่จะซื้อหามาไว้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นงานประพันธ์อิงประวัติศาสตร์ อย่าง 'ทหารดาบเชียงรุ้ง' ของ ลพบุรี (อ. ชุ่ม ณ บางช้าง
ปกนิยายชุดนี้เป็นฝีมือ ครูเหม เวชกร เชียวนะ) หรือเรื่อง 'เงา' ของ โรสลาเรน ก็มี ส่วนนิยายผจญภัยอย่าง 'เพชรพระอุมา' ของ พนมเทียน ที่สมัยนั้นตีพิมพ์ออกขายเป็นเล่มเล็กๆ ก็ไม่มีพลาดเหมือนกัน (น่าเจ็บใจที่เรื่องนี้หายไประหว่างย้ายบ้านยกชุด!)
หนังสือของคุณยายที่ฉันยอมรับว่าอ่านยากมากๆ ก็คือ 'หนังสือค่าวซอ'
เพราะเป็นหนังสือที่แต่งด้วย 'คำเมือง' บางเล่มก็แปลเอามาจากต้นฉบับตัวเมือง หรือ ภาษาบาลีก็มี และเนื่องจากเป็นเรื่องเก่าแก่ ภาษาที่ใช้ก็จะเป็นภาษาที่ 'ลึก' กว่า คำเมืองของคนเมืองปัจจุบัน
แม่เองก็รับว่า บางคำที่เก่ามากๆ แม่ก็ไม่รู้ความหมาย
ส่วนหนึ่ง เพราะคำศัพท์ในคำเมืองจำนวนมากยืมมาจากภาษาบาลี อย่างที่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ฟู อัตตสิโว) ซึ่งเป็นผู้ทำพจนานุกรมภาษาไทยภาคกลาง-ไทยพายัพ และ ไทยพายัพ-ไทยภาคกลาง มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ให้คำจำกัดความว่า "ภาษาไทยพายัพใช้ภาษามคธ(บาลี)เป็นพื้น ส่วนภาษาสันสกฤตมีใช้น้อย" เช่น "สมประกอบ" ใช้ว่า "สมองคะ" (สม + องคะ, องค์) หรือ คำว่า 'ซะป๊ะ' ที่แปลว่า 'สารพัด' ก็มาจากภาษาบาลีว่า 'สัพพะ' ที่เรามักจะเขียนถอดเสียงจากภาษาสันสกฤตว่า 'สรรพ' เป็นต้น
เนื่องจากตัวเมืองมีอีกชื่อหนึ่งว่า 'อักษรธรรม' เพราะ ใช้บันทึกพระธรรม ซึ่งเป็นภาษาบาลีด้วยนี่นา ถ้าจะมีการใช้คำบาลีปนเข้ามาด้วยก็เป็นเรื่องธรรมดา อย่าแปลกใจไปเลย
อีกประการหนึ่ง เพราะการศึกษาภาคบังคับกำหนดให้สอนภาษาไทยภาคกลางเป็นหลัก คำเมืองเก่าๆ หลายคำก็เลยถูกลืมๆ ไปบ้าง และบางครั้งก็ออกมาในรูปของการใช้คำในภาษาไทยในสำเนียงคำเมืองก็มี ใช้ไปใช้มา จนคนลืมไปว่าคำดั้งเดิมที่มีความหมายเดียวกันนั้นคืออะไร
กรณีหลังนี้ก็รวมถึงตัวฉันเองด้วย
เพราะโตมาในบ้านที่ไม่มีใครพูดคำเมือง และเรียนในโรงเรียนที่เพื่อนส่วนใหญ่พูดภาษาไทยกลางมาตลอด ทำให้ฉันพูดคำเมืองได้ไม่ไพเราะและใช้คำได้ไม่ลึกซึ้งเหมือนกับที่แม่กับคุณป้า คุณน้า ใช้ยาม 'อู้จา' หรือ พูดคุยกัน ที่ฟังออก อ่านรู้ ก็เพราะอาศัย 'การศึกษานอกโรงเรียน' แบบคุณยาย คือ ถามใครต่อใคร แล้วกลับไปอ่านจนพอเข้าใจ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรับตามตรงว่า ฉันรู้น้อยเต็มที และไม่แตกฉานในเรื่องนี้มากเท่าคนอื่นเขา
เอาละ กลับมาต่อเรื่องหนังสือค่าวซอกันดีกว่า
ช่วงเริ่มต้นของหนังสือค่าวซอทุกเล่มก็จะมี 'คำนำ' เริ่มด้วยการนมัสการพระรัตนตรัย คารวะครูบาอาจารย์ บอกกล่าวที่มาที่ไปว่าแต่งเอง แปลมา หรือได้ฟังมาจากไหน และมีการขอษมาอภัยในกรณีที่มีเขียนผิดพลาดหรือตกหล่นไว้ด้วย
มีข้อสังเกตว่า สมัยนั้นยังไม่มีกฎหมายลิขสิทธิ์ แต่คนแต่งก็ยังอ้างถึงเจ้าของเรื่องดั้งเดิมไว้ เป็นเรื่องของความเคารพในงานของคนอื่นที่มาจากความรู้สึกของตัวเองจริงๆ ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายมาบังคับเลย
ไหนๆ พูดถึงค่าวซอแล้ว ไม่มีตัวอย่างให้ดูก็คงกระไรอยู่
"
ร้อยเอ็ดภาษา จักจ๋ากล่าวจี๋ หากมีอย่างอี้เดิมมัน ความจริงโคตเจื้อ ป่อแม่เดียวกั๋น ตามกั๋มปีธรรม มูลละเค้าเหง้า โมกขะอาจ๋ารย์ บัวราณแก่เฒ้า ได้จดจ๋ำเอาเขียนไว้
"
ถอดความแบบสรุปๆ คือ "
คนร้อยเอ็ดภาษาดังที่ได้ว่ามานั้น แท้จริงแล้วล้วนต่างมีเชื้อมีสายมาจากพ่อแม่เดียวกัน ตามที่เนื้อหาในคัมภีร์พระธรรมที่ครูบาอาจารย์แต่ก่อนเก่าได้จดจำบันทึกเอาไว้
"
ค่าวที่ยกมานี้มาจาก "ธรรมนางกินปูร้อยเอ็ดตัว" แปลจากต้นฉบับตัวเมือง ไม่ทราบชื่อคนแต่ง จัดทำโดยโรงพิมพ์ไชยเจริญกิจ ข้างโรงไฟฟ้าเทศบาลนครเชียงใหม่(ไม่แน่ใจว่ายังอยู่ไหม) มีนายปั๋น ไชยปิ่น เป็นผู้พิมพ์โฆษณา เมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2503
เรื่องมีอยู่ว่า พระราชาหาคนที่สามารถกินปูร้อยเอ็ดตัวมาเป็นชายา ผู้หญิงคนไหนก็ทำไม่ได้ ยกเว้นลูกสาวของแม่หม้ายคนหนึ่ง เมื่อกันอภิเษกแล้ว นางก็มีลูกถึงร้อยเอ็ดคน แต่นางก็ถูกกลั่นแกล้งจากชายาองค์อื่นๆ อาศัยว่าลูกดี เลยฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ ตามขนบนิยายไทย และในที่สุดก็จบอย่าง Happy Ending (แต่ฝ่ายผู้ร้ายตายทรมานมาก
) กุมารและกุมารีร้อยเอ็ดคนของนางได้ไปครองเมืองต่างๆ พอห่างๆ กันไปก็เริ่มพูดไม่เหมือนกัน ไม่รู้ตัวว่ามีรากเหง้าจากพ่อแม่เดียวกัน อย่างที่เขาว่า
ตอนแรกที่อ่านค่าวเก่าๆ ก็เกิดอาการมึนๆ อยู่บ้างเล็กน้อย แต่พอจับความได้แล้ว อ่านไปอ่านมาก็สนุกดีไม่หยอก นับถือจินตนาการคนสมัยก่อนเลย บางเรื่องก็โหด หวีด สยองชนิดหนังผีสมัยนี้ต้องยกธงขาวทีเดียว
ยิ่งคนอ่านมีความรู้พื้นฐานเรื่องวิถีชีวิตคนท้องถิ่น ยิ่งอ่านสนุก เพราะจะนึกภาพออกทันที
อย่างเรื่องนางกินปูร้อยเอ็ดตัวนี้ ตอนแรกฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่ากินปูนาตัวเล็กๆ ร้อยกว่าตัวนี่มันลำบากลำบนตรงไหน จนแม่อธิบายให้ฟังว่า คนสมัยก่อน โดยเฉพาะพวกชาวไร่ชาวนานั้น เวลากินปูนา เขาก็จะจับเอามาล้างให้สะอาด แล้วปล่อยให้มันไต่เดียะๆ กันไปตามขันโตก และจับกินกันดิบๆ อย่างนั้น
ฉันค่อยถึงบางอ้อ
จินตนาการถึงปูนาน้อยร้อยกว่าตัวเดินสวนสนามกันยุ่มย่ามตรงหน้า กว่าจะตะครุบตัวมากินจนหมดคงทุลักทุเลพิกล แถมจะเอาสวยเอางามกับนางเอกเรื่องนี้ตอนกินปูคงไม่ได้ด้วย
มีใครคิดเหมือนฉันไหมว่า เกม Fear Factor ของอเมริกา อาจจะยืมเอากติกาพิลึกพิลั่นทำนองนี้จากเราไปก็ได้
ถ้าพูดกันในทางสังคม สำหรับคนที่ได้ยินเรื่องวิถีชีวิตชาวล้านนาที่มีคนเคยสรุปไว้ว่า สตรีล้านนาได้รับการศึกษา มีความรู้อ่านออกเขียนได้แล้ว ยังรู้จักหนังสือประเภทโคลง กาพย์ กลอนด้วย อาจจะแปลกใจนิดหน่อย เรื่องที่คุณยายของฉันไม่ได้เรียนหนังสือ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ อย่างน้อยก็ช่วงหนึ่งละ
------------------------------------------------------------
(มีต่อค่ะ)
'ตัวเมือง'ที่เห็นนี้เป็นลายมือของคุณตา แต่อ่านตัวเมืองไม่ออก เลยไม่ทราบว่าแปลว่าอะไร
แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 48 20:57:02