CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เพราะฉันไม่ใช่นางเอก

    เสียงเคาะประตูทำให้เด็กสาวสะดุ้ง  ผุดลุกขึ้นจากเตียงทันที  รีบปิดหนังสือการ์ตูนในมือ  วิ่งลนลานไปที่ตู้เสื้อผ้า  ดึงประตูตู้เปิดออก

    “โหย…อึ้ด!  เลย”  

    เธอรีบปิดตู้ที่เต็มไปด้วยหนังสือการ์ตูน  แล้วก้าวเร็ว ๆ ไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ  เสียงแม่เคาะประตูดังขึ้นอีก  ทำให้สมองแทบคิดอะไรไม่ออกเมื่อต้องทำอะไรรีบร้อนเช่นนี้

    “ทำอะไรอยู่ลูก  นี่แม่เองจ้ะ”  มารดายืนรออยู่หน้าประตูได้ครู่หนึ่งเอ่ยเร่งลูกสาว

    “ค่ะ ๆ แม่  มาแล้วค่ะ”  เธอรีบยัดหนังสือการ์ตูนใส่ลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือที่ออกจะแน่นเอี้ยด  แล้วรีบเดินไปเปิดประตูห้อง  รีบหายใจเข้าลึก ๆ ยาว ๆ เปลี่ยนสีหน้าตกอกตกใจให้เป็นปกติ

    “ทำอะไรอยู่จ๊ะ  ตะเกียง”   เสียงแม่ถามด้วยความสงสัยในความชักช้าของการมาเปิดประตูห้อง

    “ปะ เปล่าค่ะ  แม่มีอะไรหรือคะ”  เด็กสาวพยายามบังคับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด

    “ห้องลูกยังรกรุงรังเหมือนเดิมนะ”  มารดากวาดสายตาไปมารอบห้องบุตรสาวอย่างระอา  บนพื้นห้องมีเศษกระดาษหล่นอยู่เกลื่อนเต็มไปหมด  โต๊ะเขียนหนังสือก็เต็มไปด้วยหนังสือกองพะเนิน  เสื้อผ้าระเกะระกะพาดตรงนั้นตรงนี้เตะหูเตะตาไปหมด

    “โธ่…แม่คะ ห้องหญิงโสดก็งี้แหละค่ะ  ตกลงแม่มีอะไรกับตะเกียงหรือคะ”  เด็กสาวรีบตัดบทเปลี่ยนเรื่อง
    “แม่มีเรื่องนิดหน่อยที่จะคุยกับตะเกียง”  พลางก้มลงเก็บเศษกระดาษและเสื้อผ้าที่ขวางหูขวางตาออก
    “แม่…มะไม่ต้องหรอกค่ะ  เดี๋ยวตะเกียงทำเองค่ะ”  เธอรีบเข้าไปห้ามมารดา

    แม่ของเธอเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า

    เอาล่ะสิ!

    “เอ่อ…แม่ไปนั่งที่เตียงดีกว่านะคะ”  เธอพยายามคะยั้นคะยอแม่ให้ไปไกล ๆ จากตู้เสื้อผ้า
    “ทำไมล่ะ  ไหนแม่ขอดูตู้ลูกหน่อย”  แม่เริ่งสงสัยมากขึ้น

    เง้ย!  ดันมาทำตัวเป็นสายตรวจอะไรตอนนี้นะ!  เด็กสาวชักใจคอไม่ดี

    “เอ่อ…คือ…ไม่ดีหรอก  มันก็รกเหมือนเดิมแหละค่ะ  แม่อย่าดูให้เก๊กซิมเลยนะคะ  ไหนแม่ว่ามีเรื่องจะบอกตะเกียงไง”  เธอรีบเปลี่ยนเรื่องทันที

    แต่ทว่าแม่ของเธอไม่ฟังคำอธิบายใด ๆ ของลูกสาว  หล่อนเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้า
    “แม่…แม่คะ”  ตะเกียงรีบเดินตามไป

    ประตูเสื้อผ้าถูกเปิดออก

    แม่อึ้งไปชั่วขณะ  มองหนังสือการ์ตูนที่ยัดอัดกันอยู่เต็มตู้ด้านล่างของ

    “ตะเกียง!”  เสียงของแม่เข้มขึ้น  และเริ่มไม่พอใจที่ลูกสาวหล่อนขัดคำสั่ง

    เด็กสาวได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่กล้าสบสายตา  เมื่อสิ่งที่ซ่อนเก็บไว้ถูกเปิดเผย

    แม่หยิบการ์ตูนในตู้ขึ้นมาดูสองสามเล่ม  แต่ละเล่มเป็นการ์ตูนแนวเดียวกัน  ลงหมึกเส้นหนัก ๆ มีแต่รูปการต่อสู้  ตีรันฟันแทง

    “แม่บอกตะเกียงแล้วใช่มั้ยว่าให้เลิกอ่านการ์ตูน”  แม่หันมาดุ  แล้วเดินกลับมาที่เตียง  สายตาสำรวจตรวจตราราวกับตำรวจต้องการค้นหาคนร้ายก็ไม่ปาน  กวาดสายตาไปทั่วห้องว่าที่ใดจะเป็นที่ซ่อนการ์ตูนได้อีก  หล่อนก้มลงดูใต้เตียง  หนังสือการ์ตูนประเภทเดียวกันเรียงรายอยู่ใต้นั้นเพียบ

    “วัน ๆ เอาแต่อ่านการ์ตูน  แย่จริง ๆ เลย”  แม่เริ่มบ่น  เดินเลยเตียงนอนไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ  เปิดลิ้นชักโต๊ะหนังสือการ์ตูนพวกเดียวกันเรียงซ้อนกันเป็นตับอยู่ในนั้น  แม่ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

    “เมื่อไหร่ตะเกียงจะเลิกอ่านการ์ตูนพวกนี้ซะที”

    “โธ่! แม่ค่ะ  ตะเกียงว่าไม่เห็นเสียหายอะไรนี่คะ  ดีกว่าไปเที่ยวเหลวไหนที่ไหนอีกค่ะ”  เด็กสาวเข้าไปกอดแขนมารดาอย่างประจบ

    “ตะเกียงรู้มั้ยที่ลูกเป็นคนขี้โมโห  ชอบใช้อารมณ์  ชอบใช้กำลังตัดสินปัญหา  ส่วนหนึ่งเพราะลูกอ่านแต่การ์ตูนพวกนี้  มันมีแต่การทำลายล้าง  แล้วลูกก็ติดการ์ตูนงอมแงม  ไม่เป็นอันทำอะไรอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะอ่านการ์ตูนหรือจ๊ะ”  แม่พยายามอธิบายอย่างใจเย็นและมีเหตุผล

    “ไม่จริงค่ะ”  เธอเถียงเสียงแข็ง  
    “ตะเกียงเป็นอย่างงี้เอง  ไม่ใช่เพราะอ่านการ์ตูนหรอกค่ะ”

    “ตะเกียง…สิ่งเหล่านี้ลูกไม่รู้ตัวหรอกจ้ะ  มันจะค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปในจิตใต้สำนึก  รู้รึเปล่า   เชื่อแม่นะ  เลิกอ่านการ์ตูนพวกนี้”

    เธอนั่งเงียบไม่ตอบ

    “เอาเถอะ”  แม่เริ่มใจอ่อน  
    “แม่จะไม่บังคับลูก  แต่แม่ขอร้องอย่างหนึ่งได้มั้ย”

    บุตรสาวเงยหน้ามองมารดาด้วยสีหน้าแฉ่มชื่นขึ้น

    “อะไรคะ”

    “ขอให้ลูกอ่านเฉพาะเวลาว่างเท่านั้น  ต้องทำการบ้านเสร็จก่อนได้มั้ยจ๊ะ”
    “ค่ะ  ตะเกียงจะไม่ให้เสียการเรียนแน่นอนค่ะ”  เด็กสาวยิ้มระรื่น
    “ดีจ้ะ  เอาล่ะ! แม่มีเรื่องจะบอกตะเกียงนะ  พ่อกับแม่ได้ปรึกษาหาลือกันแล้ว  ว่าจะส่งลูกไปพักอยู่กับคุณตาที่บ้านไร่ชั่วคราวในช่วงที่ลูกปิดเทอมอยู่นี้”

    “ไปอยู่กับคุณตา!”  

    เธอเบิกตาโตอย่างตกใจ

    “โหย…แม่คะ คุณตาดุจะตาย  เจ้าระเบียบด้วย  ตะเกียงไม่อยากไปเลยค่ะ”  ภาพของคุณตาปรากฏในห้วงนึก  แค่นึกถึงก็สยองแล้ว

    “ยังไงก็ต้องไป   เพราะพ่อกับแม่ติดต่อบอกคุณตาเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว  และท่านก็ตอบกลับมาเรียบร้อยแล้วด้วย  มะรืนนี้ลูกจะต้องเดินทางนะจ๊ะ  จัดข้าวจัดของให้เรียบร้อย”

    “อะไรนะคะ!  มะรืนนี้!”  

    สีหน้าเด็กสาวตกอกตกใจ  ไม่นึกว่าจะรวดเร็วขนาดนี้

    “จ้ะ  เตรียมข้าวของให้เรียบร้อย  และห้ามเอาการ์ตูนไปด้วยเด็ดขาด  ถ้าลูกดื้อกับแม่  แม่จะขนการ์ตูนพวกนี้ไปขายทิ้งให้หมด”  น้ำเสียงของแม่จริงจังและเด็ดขาดในประโยคสุดท้าย

    “ทำไมแม่ไม่ถามความสมัครใจของตะเกียงก่อนละคะ”  เด็กสาวทำเสียงกระเง้ากระงอดที่ถูกบังคับ

    “แม่รู้…ว่าลูกคงไม่อยากไป  แต่แม่อยากให้ลูกไปฝึกตัวเองนะจ๊ะ  แล้วพ่อกับแม่ก็ตกลงกับคุณตาเรียบร้อยแล้ว  อย่าให้พ่อกับแม่เสียคำพูดเลยนะ  ไปนะจ๊ะตะเกียง  แม่กับพ่อฝากความคิดถึงไปถึงท่านด้วย  คุณตาท่านก็คิดถึงตะเกียงนะ  ที่นั่นก็ไม่ใช่ลำบากอะไร  มีคนทำให้เหมือนที่บ้านเรา  แต่แม่อยากให้ตะเกียงไปอยู่ใกล้ ๆ ผู้ใหญ่ท่านบ้าง”  แม่ยกมือบีบไหล่บุตรสาวเบา ๆ  อย่างให้กำลังใจ

    “ทำไมต้องไปฝึกด้วยละคะ”  เด็กสาวย้อนถาม

    “เพราะว่า  การฝึกก็คือการฝืนใจตัวเองให้ทำสิ่งที่ไม่ชอบให้ได้   เพราะในโลกนี้  ไม่มีอะไรที่ถูกใจเราทุกอย่าง  ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราเสมอ  เราจึงต้องหัดไม่ต้องทำตามใจตัวเองก็ได้ยังไงล่ะ”  แม่ค่อย ๆ อธิบายอย่างช้า ๆ

    “ไปนะจ๊ะ”

    ตะเกียงทำหน้าเง้าหน้าง้อ  ปากยื่นเป็นลูกเป็ด

    “ก็แม่เล่นมัดมือชกแล้วนี่คะ  ตะเกียงจะพูดอะไรได้อีก”

    เด็กสาวสะดุ้งตื่นจากความคิด  เมื่อชายชุดสีกากีเดินมาสะกิด  

    “ตรวจตั๋วด้วยครับ”

    ตะเกียงหยิบตั๋วจากกระเป๋าเสื้อส่งให้  สักครู่จึงรับตั๋วคืนมา

    ภาพข้างทางวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วตามการขับเคลื่อนของรถไฟ  เสียงล้อและเครื่องจักรดังกระทบกันเป็นจังหวะสม่ำเสมอ  ผู้โดยสารที่นั่งตามเก้าอี้อื่นต่างเงียบขรึม  ยกเว้นคนที่มีเพื่อนมาด้วย  ตะเกียงมองคนที่นั่งอยู่ในเก้าอี้ถัดไปคุยกันเสียงขรมจนน่าอิจฉา  

    เธอถอนหายใจหนัก ๆ   ทำอะไรไม่ได้เลย  เปลี่ยนแปลงอะไรก็ไม่ได้แล้ว  มาจนถึงขั้นนี้แล้ว

    เป็นไงเป็นกัน!!

    ทำอะไรไม่ได้  สิ่งที่ต้องทำให้ได้คือ  การยอมรับความจริง   ในเมื่อยังไงก็ต้องทำ   จะทำอย่างมีความสุข  หรือทุกข์  ต้องเลือกเอา  

    และเธอฉลาดพอที่จะ…เลือกทำอย่างมีความสุข….

    เด็กสาวชะเง้อมองทางข้างหน้า  ก่อนที่จะกระชับกระเป๋าเป้ในมือ  เมื่อได้ยินเสียงหวูดรถไฟดังเป็นสัญญาณเตรียมเข้าสถานีข้างหน้าจึงลุกขึ้น  เดินตรงไปยังส่วนต่อระหว่างโบกี้  รถไฟชะลอความเร็วเข้าจอดที่สถานี  เสียงเจ้าหน้าที่ประจำสถานีรถไฟประกาศชื่อปลายทางของสถานีนั้น  และกล่าวเตือนผู้โดยสารให้ตรวจดูสิ่งของและสัมภาระต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อนลงจากรถไฟ

    เมื่อตะเกียงก้าวลงจากรถไฟเรียบร้อยแล้ว  จึงสะพายเป้เข้าที่หลัง  เดินไปรออยู่ใต้ต้นก้ามปูใหญ่  คอยมองหารถเก๋งสีขาวเก่า ๆ คันยาวที่คุณตามักจะใช้ลุงสี  คนขับรถประจำตัว  ขับรถมารับทุกครั้งที่มาหาคุณตา  เธอเหลือบมองเวลานิดหนึ่ง  ขณะนั้นบอกเวลาเที่ยงเศษ ๆ ท้องเจ้ากรรมเริ่มร้องโครกครากเบา ๆ   แต่คิดว่าจะหิ้วท้องรอไปกินข้าวเที่ยงที่บ้านคุณตาคงจะดีกว่า  เดี๋ยวก็จะถึงแล้ว   ที่สำคัญมองดูร้านอาหารข้างทางไม่ค่อยสะอาด  แถมไม่มีอาหารที่เธอชอบซักอย่างเดียว   เธอคงจะกินไม่ลงแน่ ๆ

    รออยู่สักพักใหญ่  มองเห็นรถเก๋งสีขาวคันเก่า ๆ วิ่งเข้ามาจอด  ห่างจากจุดที่เธอยืนอยู่ราวห้าเมตร
    “อ้า…มาแล้ว”  ตะเกียงยิ้มอย่างดีใจ

    ประตูรถเก๋งสีขาวคันนั้นเปิดออก

    เด็กสาวเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ  

    “เอ๊ะ! ไม่ใช่ลุงสีนี่  เอ…หรือว่า  จำผิดคัน  ไม่ใช่รถคันนี้มั้ง  แค่สีเหมือนกัน”  เธอเริ่มลังเลเมื่อเห็นผู้ที่ก้าวลงจากรถไม่ใช่ลุงสีคนเดิม  แต่กลับเป็นชายหนุ่ม  และยิ่งทวีความแปลกใจมากขึ้น  เมื่อมองเห็นเขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วมาสะดุดหยุดลงที่เธอ  เขามองอยู่ครู่หนึ่งเหมือนไม่แน่ใจ  ก่อนจะตัดสินใจเดินตรงมา

    “ขอโทษนะครับ  คุณรวิวารใช่มั้ยครับ”

    เด็กสาวเลิกคิ้วอย่างงง ๆ   เขารู้จักชื่อจริงของเธอด้วยซ้ำ

    “ผม  ระบิล  ครับ คุณตาของคุณ  ท่านให้ผมมารับ”  เขาแนะนำตัวเอง
    “คุณตาท่านสบายดีหรือคะ”
    “ที่จริงแล้วตอนนี้ท่านไม่อยู่บ้านไร่ครับ  ท่านไปเช็คสุขภาพที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด  ท่านเลยเข้าไปพักบ้านในเมือง  กว่าจะกลับมาคงอีกหลายวัน  เพราะคุณหมอท่านขอเช็คอย่างละเอียด  พักนี้สุขภาพท่านไม่ค่อยแข็งแรงนัก”
    “แล้วท่านทราบรึเปล่าคะ  ว่าฉันจะมาวันนี้”
    “ทราบครับ  ท่านอยากจะพบคุณมากเลยครับ  แต่คุณหมอนัดแล้วก็เลยต้องไป  คุณท่านบอกว่าให้รับคุณไปพบท่านที่บ้านพักในเมืองครับ   หรือจะรอท่านอยู่ที่บ้านไร่ก็ได้ครับ”  

    เด็กสาวคิดตาม  บ้านพักในเมืองเป็นบ้านญาติ ๆ  ของคุณตา  ที่อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่  อยู่กันหลายคน   แม้จะมีเรือนรับรองพิเศษแยกไว้ต่างหากสำหรับให้ญาติ ๆ ที่เดินทางไปเยี่ยมได้พักค้างก็ตาม   แต่ก็น่าอึดอัดและยุ่งยากไม่น้อยเลย   คิดแล้วยิ่งไปกันใหญ่  

    “คุณรวิวารครับ  เชิญขึ้นรถครับ  ผมจะไปส่งคุณที่บ้านพักในเมืองนะครับ  คุณท่านรอคุณอยู่”   ชายหนุ่มตัดสินใจให้  เมื่อเห็นเธอยืนคิดลังเลอยู่   ด้วยนึกถึงสภาพบ้านไร่ที่ไม่มีแม่บ้านอยู่เลย  เพราะต้องติดตามไปดูแลรับใช้เจ้าของบ้าน

    “ไม่ค่ะ”  เด็กสาวปฏิเสธ

    คิ้วเข้มของฝ่ายตรงข้ามขมวดเข้าหากัน

    “ฉันจะรอคุณตาที่บ้านไร่ค่ะ”  เด็กสาวยืนยันความประสงค์

    “แต่ตอนนี้ที่บ้านไร่ลำบากมากนะครับ  ไม่มีใครอยู่เลย  ติดตามคุณท่านไปกันหมด  เกรงว่าคุณจะไม่สะดวกนะครับ”  เขาให้เหตุผล

    เธออึ้งไปชั่วขณะ  ขมวดคิ้วย่น  โกรธที่เขาหาว่าเธอกลัวความลำบาก

    “ไม่เป็นไรค่ะ  ฉันไม่กลัวลำบาก  ฉันจะรอคุณตาที่บ้านไร่  ไม่ไปที่ไหนทั้งนั้น”  น้ำเสียงแข็งห้วนเอาแต่ใจขึ้นมาทันที

    “แน่ใจนะครับ”  เขาถามย้ำ  พลางนึกตำหนิหลานสาวเจ้าของบ้านในความรั้นที่จะต้องอยู่ให้ได้

    “แน่ใจค่ะ”  เธอตอบชัดถ้อยชัดคำ  และเริ่มหมั่นไส้  เคืองเขาที่สบประมาทเธอว่าจะทนอยู่กับความลำบากไม่ได้  แม้เขาจะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ ก็ตาม

    “ถ้างั้นก็เชิญขึ้นรถครับ”  ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตูตอนหลังให้

    รวิวารก้าวเข้าไปนั่งทางตอนหลังของรถ  เธอมองดูสภาพรถแล้ว  อดหวั่นใจไม่ได้  กลัวว่ามันจะพาเธอไปไม่ถึง  ได้ยินเสียงสตาร์ทรถหลายครั้งกว่าจะติด  ก็ยิ่งกลุ้มหนักเข้าไปอีก

    “หวังว่า  มันคงจะพาฉันไปถึงนะคะ”
    “ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ  เพราะตอนออกมากว่าจะสตาร์ทเครื่องติดได้ตั้งนานแหละครับ  รถมันเก่ามากแล้ว  เผอิญลุงสีขับรถคันใหม่ไปส่งคุณตาท่านน่ะครับ  แล้วลุงแกก็จะอยู่กับท่านจนกว่าท่านจะกลับ  ผมก็เลยต้องเอาคันนี้มารับคุณ”

    “นี่นายขู่ให้ฉันใจเสียหรือไง”  เธอถามเสียงดังอย่างลืมตัว
    “ผมพูดจริงนะครับ  เผื่อเกิดอะไรขึ้น  คุณจะได้เตรียมทำใจไว้ก่อน”

    เสียงเครื่องยนต์ติดแล้วทำให้เด็กสาวใจชื้นขึ้น

    ชายหนุ่มขยับเกียร์  พารถแล่นไปตามถนนยางมะตอย

    รวิวารนั่งมองภาพข้างทางอย่างเงียบ ๆ รถวิ่งผ่านทุ่งนาสีเขียวสดใส  นกสีขาวบินอยู่เหนือท้องนากว้างสามสี่ตัว  ควายกำลังยืนเคี้ยวหญ้าอย่างเชื่องช้าด้วยอาการสงบท่ามกลางแดดจ้ายามเที่ยงวัน  แม้จะร้อนขนาดไหน  มันก็อดทน  ไม่เคยแม้จะปริปากบ่นซักคำ  วิ่งมาได้สักพักใหญ่  รถเริ่มขับขึ้นเนินสูง  สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน   ลำต้นใหญ่ดูมั่นคงแข็งแรง  บอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่า

    แล่นมาได้เกือบชั่วโมง  รถสีขาวคันยาวสีขาวเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนเส้นเล็กที่ทอดตัวยาวสู่บ้านไร่  เส้นทางค่อนข้างขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่ออยู่บ้าง  ทำให้รถต้องขับช้าลง  ที่สำคัญเป็นเหตุให้เครื่องดับต้องสตาร์ทใหม่หลายครั้ง  จึงทำให้คนที่นั่งอยู่ตอนหลังรู้สึกใจเสีย  รถแล่นมาได้สักพักใหญ่ก็ดับอีก  เขาสตาร์ทรถอยู่อีกหลายครั้ง  เครื่องยนต์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะติดยอมทำงานแม้แต่น้อย

    “สงสัยจะสตาร์ทไม่ติดแล้วล่ะครับ  เอาอย่างนี้นะครับ  คุณรวิวารรออยู่ในรถนะ  ผมจะกลับไปบ้านไร่  เอามอร์เตอร์ไซด์ออกมารับคุณ”  เขาเอี้ยวตัวมาทางเบาะตอนหลัง  พูดจบจึงหันหน้ากลับไป  แล้วเปิดประตูลงจากรถ

    “ดะเดี๋ยวค่ะ!”  ตะเกียงรีบเปิดประตูรถลงตามไป  “อีกไกลเท่าไหร่คะ”
    “ประมาณสิบกิโลครับ  ผมว่าจะไปทางลัดคงเร็วหน่อย  ใช้เวลาไปกลับสักสองชั่วโมงคงจะมาถึงครับ”

    ตะเกียงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง  เมื่อรู้ว่าอีกตั้งสิบกิโลจึงจะถึงบ้านไร่  มองเขาเดินลิ่ว ๆ ไปข้างหน้าอย่างลังเล

    จะรีบไปไหนของเขานะ!  

    “ดะเดี๋ยวค่ะ  อย่าเพิ่งไป  รอฉันด้วย…..ย”  เธอตะโกนบอกเขา  แล้วรีบวิ่งตามไป

    บ้าที่สุดเลย!  จะทิ้งกันได้ลงคอ!

    “ให้…ให้…ให้ฉันไปด้วยคนนะ”  เธอละล่ำละลักบอกเขาอย่างเหน็ดเหนื่อย

    แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 48 15:31:37

    จากคุณ : ริเศรษฐ์ - [ วันพ่อแห่งชาติ 15:27:11 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป