ท้องฟ้า สายน้ำ กับแดดอันร้อนเปรี้ยงของเมืองเว้
อันโตนิโอ
ในเมื่อชาวเว้นิยมใช้รถจักรยานเป็นพาหนะสำคัญในชีวิตประจำวัน ผมกับต่ายก็ต้องเอากับเขาบ้างถึงจะได้อารมณ์และบรรยากาศแบบชาวเมืองส่วนใหญ่ ตามโรงแรมเกือบทุกที่ต้องมีจักรยานและมอเตอร์ไซค์ไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวเช่า ราคาก็ถูกเอามาก ๆ เสียด้วย ผมกับต่ายเริ่มต้นเช่าจักรยานจากร้านแมนดารินคาเฟ่ของมิสเตอร์ฟาน คู รถใหม่สภาพดีมาก มีที่ล็อคติดอยู่ตรงล้อหลังเสร็จสรรพ แค่จอดแล้วผลักสลักไปทางหนึ่งก่อนดึงกุญแจออกก็เรียบร้อย ไปไหนมาไหนสบายใจ ค่าเช่านั้นก็วันละ 1 เหรียญซึ่งถือเป็นมาตรฐานโดยทั่วไปในเวียดนาม
วันแรกเราตระเวณชมเมืองเก่า ก่อนออกจากร้านผมรู้สึกว่าลมยางค่อนข้างจะอ่อน จึงขอให้พนักงานมาจัดแจงสูบลมให้แน่นปั๋งทั้งสองล้อดีเสียก่อน ซึ่งนั่นเลยทำให้ได้รู้จักกับเหงวียน บาว ทเว ชายวัยกลางคน อายุคงราว 50 ปี ทเวหน้าเหมือนผู้ใหญ่ใจดีแบบที่เห็นได้ทั่ว ๆ ไปในบ้านเรา ยิ้มเก่ง มีความเป็นมิตร ความจริงแล้วทเวมีอาชีพขับเซออมคือมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แต่ก็มาช่วยดูแลจักรยานสำหรับให้นักท่องเที่ยวเช่าให้ร้านแมนดารินคาเฟ่ด้วยซึ่งจริง ๆ ที่ร้านเขาก็มีพนักงานในส่วนนี้อยู่แล้ว นัยว่าเผื่อจะได้แจมเรียกลูกค้าก็อาจเป็นได้ ทเวรีบเอาที่สูบลมมาจัดการให้แทนเด็กลูกจ้างในร้านมิสเตอร์คู ผมกับต่ายแยกไม่ออกหรอกครับว่าใครเป็นใคร ก็ปล่อยให้เขาทำตามเรื่องตามราวจนเสร็จก็ขอบคุณเขาแล้วปั่นจักรยานออกจากร้านไป
เกือบกลางเดือนพฤศจิกายนแล้ว แต่ทำไมอากาศยังร้อนอยู่นะ แดดจัดจ้าจนตาพร่ายิ่งกว่าอยู่ในเมืองไทยเสียอีก เสื้อกันหนาวที่อุตส่าห์เตรียมมาเป็นอันซุกอยู่แต่ในเป้ ไม่มีวี่แววว่าจะได้ใช้ตอนไหนเลยสักแอะ ไม่แปลกใจเลยที่คนเวียดนามส่วนใหญ่สวมหมวก ทั้งหญิงชายเด็กแก่ ยิ่งสาว ๆ นี่กลัวแดดจนต้องสวมถุงมือเวลาขี่จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์ ถุงมือของพวกเธอดูแล้วแปลกตาดี เพราะยาวขึ้นไปจนถึงต้นแขน แถมบางคนยังเอาผ้ามาปิดหน้าไว้นอกเหนือไปจากหมวก สรุปแล้วเห็นแต่ตา มิน่าเล่า แดดแรงจัดขนาดนี้สาวเวียดนามยังผิวขาวผ่องกันอยู่ได้แทบทุกคน
เราขี่จักรยานข้ามแม่น้ำหอม สะพานตรังเทียนดูแคบกว่าที่เห็นในรูปถ่ายมาก ความแคบกะทัดรัดนี้จึงมีไว้ให้เฉพาะรถจักรยานและมอเตอร์ไซค์เท่านั้น ถ้าเป็นรถเก๋งหรือรถที่ใหญ่กว่าก็ต้องไปใช้อีกสะพานหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปราวครึ่งกิโลคือสะพานฝู ซวน คนใช้จักรยานเยอะจริง ๆ โดยเฉพาะเด็กนักเรียน สาวน้อยขับขี่คล่องแคล่วทั้งที่อยู่ในชุดประจำชาติซึ่งดูเหมือนน่าจะรุ่มร่ามในสายตาคนต่างชาติ แต่พวกเธอมีวิธี และวิธีเหล่านี้คงเป็นแบบอย่างหรือวัฒนธรรมที่สืบสานต่อกันมาจนดูเหมือนกันไปหมดทุกคน คือพวกเธอจะเอาชายเสื้อ (ที่ดูผิวเผินเหมือนกับว่าจะเป็นกระโปรงเพราะยาวมาเกือบถึงข้อเท้า) ด้านหลังมาพับไว้กับอานแล้วนั่งทับ ส่วนชายด้านหน้าจะใช้มือข้างใดข้างหนึ่งม้วนแล้วจับไว้พร้อมกับแฮนด์รถจักรยาน ดูแล้วน่ารักดี แถมยังเซ็กซี่หน่อย ๆ เพราะเมื่อชายเสื้อทั้งสองถูกรั้งออกจากกันก็จะเผยให้เห็นเนื้อขาว ๆ บริเวณเอวเหนือขอบกางเกงรำไร เห็นเพียงเท่านี้ไม่เรียกว่ายั่วยวนชวนสยิว หากเป็นเพียงความงามที่แย้มพรายแต่พอเหมาะพอควร ดูแล้วเป็นธรรมชาติ ไม่จงใจเปิดเผยเนื้อหนังมังสาให้สายตาของบุรุษลูบไล้โลมเลียเหมือนอย่างสาว ๆ ในบางประเทศที่อยู่ภูมิภาคเดียวกัน
ก่อนออกมาจากแมนดารินคาเฟ่ ผมซื้อแผนที่เมืองเว้จากมิสเตอร์คูในราคาหมื่นด็อง (ราว ๆ 25 บาท) ถามแกว่าสถานที่ที่น่าไปโดยขี่จักรยานแบบสบาย ๆ มีที่ไหนบ้าง มิสเตอร์คูก็ไล่ลำดับออกมายืดยาวจนผมจำไม่ไหว แต่ก็มีชื่อหนึ่งที่คุ้นและสะดุดหู นั่นก็คือเจดีย์วัดเทียนหมุ ผมขอให้แกชี้ตำแหน่งของวัดนี้บนแผนที่ มิสเตอร์คูเอาปากกาเน้นข้อความออกมาแต้มตำแหน่งของร้าน จากนั้นก็ลากเส้นยาวไปทางสะพานตรังเทียน ข้ามสะพานเลี้ยวซ้ายเข้าถนนตรัง ฮุง เดา เลียบหน้าพระราชวังเมืองเก่า ตรงไปเรื่อย ๆ เข้าถนนเล ยวน ข้ามทางรถไฟ แกขีดเรื่อยจนสุดขอบแผนที่แล้วยังไม่มีทีท่าจะหยุด ลากเลยขอบแผนที่ต่อไปอีกหน่อยแล้วเงยหน้าบอกว่า เนี่ย วัดเทียนหมุ ระยะทางจากนี้ก็ราว ๆ 6 กิโลเมตร ถือว่าเด็ก ๆ มากสำหรับชาวเวียด ผมกับต่ายมองหน้ากันแต่ไม่พูดอะไรเพราะกลัวเสียเหลี่ยม หากอากาศเดือนนี้หนาวเย็นอย่างที่ควรจะเป็นก็คงไม่กระไรนัก แต่ดูเอาเถิด แค่ออกไปนอกร้านหน่อยก็จะเป็นลมแล้ว ถามต่ายว่าจะไปหรือเปล่า เธอทำท่ามั่นใจแล้วพยักหน้า ก็มาถึงนี่แล้วจะให้นั่งกินลมชมตะวันอยู่ใต้ชายคาร้านอาหารแบบนี้ได้ยังไง
ถึงแม้จะรถราขวักไขว่ แต่ก็เรียกได้ว่าถนนในเว้ขับขี่รถจักรยานได้สบายใจกว่าในฮานอย ผมเองนาน ๆ ทีถึงมีโอกาสขี่ ส่วนมากจะไปไหนก็ใช้เดินหรือโหนรถเมล์ พอได้ขี่ช่วงแรก ๆ ก็แกว่งไปบ้างเหมือนกัน นอกเหนือจากความเบาบางของการจราจรแล้ว อีกข้อหนึ่งที่ดูดีมาก ๆ ก็คือทุกคนจะหยุดรถของตัวเองเสมอเมื่อเห็นสัญญาณไฟแดง การขับขี่ก็ไปเรื่อยทางใครทางมัน ไม่ฉวัดเฉวียนเร่งรีบและไม่ใส่ใจกฏกติกาอย่างในฮานอย
เราขับตรงเข้าไปเยือนเมืองเก่ากันก่อน ชุมชนแถบนี้อยู่กันในห้องแถวที่มีทั้งกว้างและแคบ แต่ส่วนใหญ่ค่อนข้างแคบถึงแคบมาก ด้านหน้าห้องแถวเป็นทางเท้า ไม่เรียบร้อยนักแต่ก็โล่งตาพอสมควร สองข้างทางตามทางเท้าก็จะปลูกไม้ใหญ่ไว้ร่มรื่น ร้านค้าหาบเร่เห็นตั้งวางขายกันตามแต่ใจ แต่ทุกร้านจะหลบเข้าไปให้ห่างจากริมถนนเหมือนกันหมด ผมขี่จักรยานไปก็รู้สึกแปลกใจเมื่อได้เห็นขวดน้ำพลาสติกสีเขียวอ่อน ๆ ตั้งวางไว้ริมบาทวิถีเป็นระยะ ๆ เห็นหลายครั้งเข้าก็อดมองดูให้ลึกเข้าไปด้านในอีกหน่อยไม่ได้ แล้วจึงมาถึงบางอ้อเมื่อจับได้ว่าเจ้าขวดเขียวนี้เขามีไว้คล้ายกับสัญลักษณ์บอกว่ามีร้านค้า (ที่ไม่ถาวร) ตั้งอยู่ จะแวะก็แวะได้นะเจ้าคะ อะไรทำนองนี้ ร้านเร่มีสารพัดอย่าง ทั้งร้านซ่อมรองเท้า ร้านตัดผม (ส่วนใหญ่เป็นของผู้ชาย) ร้านเฝอ ร้านขนมหวานประเภทผลไม้รวมมิตร มีแม้กระทั่งร้านซ่อมจักรยาน ร้านกาแฟ และร้านขายแว่นตากันแดด
...
จากคุณ :
อันโตนิโอ
- [
9 ธ.ค. 48 22:32:06
]