CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    มหัศจรรย์คันฉ่องวิเศษ ( ตอนที่ 1 ) ..... วรรณกรรมเยาวชน โดย ด๋ง

    1



             ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร
             " ดูของพวกนี้สิ สุกิจ "
             ดล... นักเรียนคนหนึ่งกล่าวกับสุกิจ เพื่อนสนิทของเขา ขณะที่ทั้งสองกำลังจ้องมองพัดทองด้ามหนึ่งซึ่งวางแสดงอยู่ในครอบกระจก
             " ทำด้วยทองเชียวนะ ดล "
             สุกิจยิ้มพลางกล่าว
             " จริงด้วยสิ...สวยมากเลย "
             " ดลชอบของที่ทำด้วยทองไม่ใช่เหรอ "
             " ใช่แล้ว แล้วนายไม่ชอบเหรอ สุกิจ "
             " ชอบสิ "
             สุกิจตอบพลางหันไปมองยังอุ้ม...นักเรียนหญิงคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ และกำลังใจจดใจจ่อมองอะไรอยู่
             ดลหันไปสนใจกับหีบบุหรี่เงินฝังพลอยประดับเพชรนิลจินดามากมายหลายหลากสี ที่ส่องประกายแวววาวระยิบระยับจับตาอยู่ในตู้ใบหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
             " อุ้มเขามองใครอยู่น่ะ ? "
             สุกิจถามดล
             " หนุ่มๆละมั้ง "
             อุ้มรีบหันขวับมาทำตาเขม็งใส่ดลในทันที
             " ต๊าย ! ดล จะบ้าเหรอ คนตั้งเยอะตั้งแยะตะโกนออกมาได้ว่าอุ้มกำลังมองหนุ่มๆอยู่ รู้ว่ามันจริงแล้วก็ยังจะ... "
             อุ้มหัวเราะคิดคักพลางยิ้มแย้ม ก่อนกล่าวอีก
             " จ้อยอยู่ไหนน่ะ หายไปตั้งนานแล้ว "
             จบคำ นักเรียนทั้งสามก็มองหาเพื่อนอีกคนกันใหญ่
             " อ้าว ! เมื่อกี๊ยังเห็นอยู่ตรงนี้เลยนี่ หายไปไหนแล้วละ "
             ดลกล่าว
             " คงไปเดินเล่นมั้ง หรือไม่ก็คงจะไปหาซื้ออะไรกิน "
             สุกิจเอ่ยจบอุ้มรีบตวาดใส่ในทันที
             " แล้วทำไมไม่คอยดูแลเขาให้ดีๆละ เกิดเขาถูกจับไปเรียกค่าไถ่แล้วจะว่าไง หา... สุกิจ "
             สุกิจยกมือขึ้นเท้าสะเอวพลางตวาดแว๊ดๆใส่บ้าง
             " ไม่ได้เป็นคนรับใช้นี่ จะได้มาตอยปรณนิบัติพัดวีเช็ดฉี่เช็ดอึ "
             " ต๊าย ! สุกิจ ทำไมพูดจาทำท่าทำทางน่าเกลียดจัง "
             อุ้มกล่าวจบ เสียงนักเรียนหญิงอีกคนหนึ่งก็ดังขึ้น
             " ใครนินทาฉัน "
             จ้อย...นักเรียนหญิงคนนั้นกล่าวขึ้น รูปร่างของจ้อยนั้นแลดูตุ้ยนุ้ย น่ารัก และเป็นคนอารมณ์ดีขี้เล่นอยู่เสมอๆ โกรธใครได้ไม่นานก็หาย
             " สุกิจด่าอุ้ม "
             อุ้มโอดครวญเข้ากับจ้อยราวกับจะคอยหาแนวร่วม
             " สุกิจ...นายว่าอะไรเพื่อนฉัน ประเดี๋ยวก็จับกินเสียเลยนี่ ยิ่งหิวๆอยู่ด้วย "
             จ้อยขู่ไปพอเป็นพิธี แล้วก็เปลี่ยนสีหน้ามาเป็นยิ้มแย้มก่อนกล่าวอีก
             " ไปดูอะไรทางโน้นกันเถอะพวกเรา "
             นักเรียนทั้งสี่เดินชมของโบราณไปเรื่อยๆ ต่างรู้สึกตื่นเต้นสนุกสนานและรื่นเริงบันเทิงใจตามประสาเด็กวัยรุ่น
             จนกระทั่งอุ้มกล่าวขึ้นว่า
             " อุ้มรู้สึกหิวแล้วล่ะ คอแห้งด้วย "
             " กินมากๆ เดี๋ยวก็อ้วนเหมือนใครบางคนหรอก "
             สุกิจกล่าวจบ จ้อยรีบหันขวับมาทันใดพลางตวาดใส่
             " นี่สุกิจ นายกำลังตีวัวกระทบคราดอยู่หรือเปล่า "
             " ไหนวัว ไหนคราด "
             สุกิจทำหน้าทะเล้น
             " ก็ฉันนี่ไงล่ะ "
             จ้อยพูดพลางยืนเท้าสะเอว
             " จ้อยยอมรับว่าอ้วนเหรอ "
             ดลหันมากล่าว ซึ่งจ้อยก็รีบหันไปมองดลในทันทีพลางว่า
             " ต๊าย ! ดล นี่เข้าข้างสุกิจเหรอ "
             " ผู้ชายก็เป็นอย่างนี้แหละ "
             อุ้มว่าจบก็เบ้ปากใส่
             ทันใด... เสียงชายหนุ่มผู้หนึ่งก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันนุ่มลึก
             " ผู้ชายเป็นอย่างไรเหรอครับ ? "
             นักเรียนทั้งสี่หันไปมองยังเจ้าของเสียงนั้น ซึ่งเขาเป็นมัคคุเทศก์หนุ่มรูปหล่อทีเดียว
             " มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ ? "
             มัคคุเทศก์ยิ้มกว้างพลางกล่าว ในขณะที่อุ้มกลับทำนัยน์ตาหวานซึ้งพลางเอ่ยไปในทันใด
             " มีค่ะมี... "
             " อะไรเหรอครับ ? "
             อุ้มรีบหันซ้ายแลขวาแล้วกล่าวว่า
             " ใช่แล้วค่ะ... อุ้มอยากให้คุณช่วยอธิบายของสิ่งนี้หน่อย อุ้มรู้สึกข้องใจมานานแล้ว "
             อุ้มพูดพลางชี้ไปยังของสิ่งหนึ่งในครอบกระจก
             จ้อยเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆสุกิจกับดล ทั้งสามอยู่ห่างจากอุ้มและมัคคุเทศก์คนนั้นพอสมควร สุกิจกระซิบขึ้นว่า
             " ตามเคย "
             " ช่างเขาเถอะ อย่าไปสนใจเขาเลย คนกำลังอยู่ในวัยขบเผาะ "
             ดลยิ้มพลางกล่าว ในขณะที่จ้อยกลับทำระริกระรี้พลางยิ้มหวานบ้าง
             " แต่... ดูๆไป มัคคุเทศก์คนนั้นเขาก็หล่อดีเนอะ "
             ดลกับสุกิจหันขวับมามองจ้อยคราหนึ่ง
             ครู่ใหญ่... มัคคุเทศก์คนนั้นก็เดินจากอุ้มไป อุ้มเดินกลับมายังดล สุกิจ และจ้อย อีกครั้งพลางทำนัยน์ตาพริ้มเพราจ้องมองมัคคุเทศก์คนนั้นไม่วางตา อุ้มเอ่ยขึ้นว่า
             " หล่อจังเลยละ ถึงแม้ดวงตาเขาจะดูลึกลับก็ตาม แต่มันก็ช่วยขับเน้นให้ใบหน้าเขาดูคมคายยิ่งขึ้น "
             " เป็นเอามาก "
             สุกิจกล่าวจบ จ้อยเอ่ยถามขึ้นทันควัน
             " ไงจ๊ะ อุ้ม หายหิวน้ำเลยหรือ "
             " เออใช่... สุกิจ ไปซื้อน้ำให้อุ้มหน่อยสิ เป็นผู้ชายต้องรู้จักหัดเอาอกเอาใจผู้หญิงเข้าไว้นะ ดูอย่างมัคคุเทศก์คนนั้นสิ "
             อุ้มยิ้มหวาน แต่สุกิจกลับเหลียวมองด้วยหางตา
             " สำหรับอุ้มแล้วคงไม่ต้องเอาใจมั้ง "
             " เชอะ งั้นอุ้มไปซื้อเองก็ได้ แล้วอย่ามาบ่นหิวน้ำบ้างก็แล้วกัน "
             อุ้มพูดจบก็สะบัดสะบิ้งจากไป
             จ้อยเปรยขึ้นว่า
             " เดี๋ยวอุ้มก็โกรธเอาหรอก "
             " โกรธเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวก็หาย "
             สุกิจกล่าวจบ ดลก็หันมาเรียกเพื่อนๆ
             " สุกิจ จ้อย มาทางนี้สิ "
             " อะไรเหรอ "
             จ้อยกล่าวพลางเกินมาพร้อมกับสุกิจ ดลชี้ให้ทั้งสองดูของสิ่งหนึ่ง
             " ดูประตูบานนี้สิ สวยไหม ทำจากไม้สักทองเชียวนะเนี่ย "
             " รู้ได้อย่างไรว่าเป็นไม้สักทอง "
             สุกิจถาม
             " อ้าว... ก็เพราะมันมีสีทองนะสิ "
             ดลพูดจบจ้อยก็หัวเราะใหญ่
             " ต๊าย...ดล คิดได้ยังไง นี่ไม่รู้จริงๆหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันเนี่ย แล้วถ้าเกิดมันเป็นสีเงินก็แสดงว่าทำจากไม้สักเงินงั้นสิ "
             " เข้าไปดูข้างในกันเถอะ "
             ดลกล่าวพลางเอื้อมมือไปเปิดประตูบานนั้นออก
             ทันใด...
             บังเกิดประกายแสงสีทองส่องวูบวาบขึ้นมาคราหนึ่ง จากนั้นจึงแลเห็นเป็นทางเดินยาวลึกเข้าไป ซึ่งนักเรียนทั้งสามคนก็เดินไปตามทางนั้น
             " ทำไมข้างในนี้มันถึงสกปรกจัง มีกลิ่นเหม็นอับๆด้วย "
             จ้อยบ่นพึมพำจบ สุกิจก็กล่าวขึ้นบ้าง
             " มืดจัง แทบมองไม่เห็นอะไรเลย แถมยังมีหยากไย่เต็มไปหมด ดูสิ โดนหน้าโดนตาเราด้วย น่าจะทำความสะอาดบ้างนะ "
             นักเรียนทั้งสามยังคมเดินต่อไปตามทางเดินซึ่งวไม่มีใครรู้ว่าจะไปสิ้นสุดที่ใด มันลึกเข้าไปทุกทีๆ ไม่มีวี่แววว่าจะสุดทางหรือถึงจุดหมาย ราวกับว่ายิ่งเดินลึกเข้าไป เส้นทางก็จะยิ่งยืดยาวออกไปเรื่อยๆอย่างนั้น

    - - - - - - - - -

             ภายนอกห้อง...
             บริเวณหน้าประตูทางเข้าที่นักเรียนทั้งสามคนพากันเดินเข้าไปภายใน
             อุ้มเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูไม้สักทองซึ่งแง้มเปิดอยู่นั้น ก่อนที่จะชะโงกหน้าเข้าไปข้างใน อุ้มตะโกนเรียกเพื่อนๆว่า
             " ดล สุกิจ จ้อย อยู่ในนั้นหรือเปล่าน่ะ "
             อุ้มกล่าวจบก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องแห่งนั้นเพื่อสำรวจดู และแล้ว...
             ครู่หนึ่ง...
             บานประตูไม่สักทองบานนั้นก็ค่อยๆเลื่อนปิดเองอย่างน่าพิศวง และจังหวะนั้นเอง ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆได้แลเห็นถึงกับตะลึงงันร้องเรียกมัคคุเทศก์ให้มาดูด้วยทีท่าตระหนกยิ่ง
             " คุณคะ คุณคะ "
             " ครับผม "
             มัคคุเทศก์หนุ่มเมื่อได้ยินเสียงเรียกก็รีบรุดมาหา พร้อมกับนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่ง
             " เกิดอะไรขึ้นเหรอครับคุณ ? "
             " ประตู... ประตูนั่นค่ะ "
             ผู้หญิงคนนั้นชี้ไปยังประตูสีทองอร่ามตา ซึ่งมัคคุเทศก์ก็คิดว่าเธอคงอยากทราบประวัติของประตูบานนี้ เขาจึงอธิบายว่า
             " อ๋อ... ประตูนี้นะเหรอครับ เป็นประตูที่สร้างจากไม้สักทอง มีมาตั้งแต่สมัย... "
             มัคคุเทศก์ยังพูดไม่ทันจบ ผู้หญิงคนนั้นก็รีบขัดขึ้นว่า
             " ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น คือว่าเมื่อครู่นี้มีเด็กเดินเข้าไปค่ะ แล้วอยู่ๆ ประตูก็เลื่อนปิดได้เองด้วย "
             ทันทีที่เธอพูดจบ นักท่องเที่ยวที่ได้ยินก็ถึงกับหวาดผวาจนขนลุกไปตามๆกัน แต่มัคคุเทศก์คนนั้นกลับยิ้ม ก่อนจะเดินไปยังประตูบานนั้น
             " มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันครับ "
             " นี่คุณไม่เชื่อดิฉันเหรอคะ "
             " ผมไม่เชื่อคุณหรอกครับ เด็กคนนั้นจะเดินเข้าไปได้อย่างไร "
             " ทำไมละคะ ? "
             เธอกล่าวจบ มัคคุเทศก์เดินไปเปิดประตูบานนั้นออกมา
             " ก็เพราะว่าหลังประตูบานนี้มันเป็นกำแพงนะสิครับ "
             " หา !!! "
             ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริดเปิดตาอ้าปากค้างในทันทีที่เห็นภาพกำแพงอันแน่นหนาเบื้องหลังประตูบานนั้น
             เสียงซุบซิบดังอึงอลไปหมด ทุกคนล้วนตกใจในสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นเล่าให้ฟัง รวมทั้งสิ่งที่ได้เห็น เพราะใครก็ตามที่เห็นประตูบานนี้เป็นครั้งแรก ย่อมจะต้องคิดว่ามันเป็นประตูธรรมดาๆ ที่เปิดไปสู่อีกห้องหนึ่งแน่ๆ
             ทั้งนี้เนื่องจากประตูไม่สักทองดังกล่าวมีบานพับที่ติดอยู่กับกรอบไม้ แล้วจึงฝังไว้ในกำแพงเพื่อให้ประตูนี้สามารถปิดเปิดได้เหมือนประตูทั่วๆไป อีกทั้งยังไม่มีรั้วหรือเชือกมากั้นเหมือนกับของโบราณชิ้นอื่นๆ
             ดูไปแล้ว... มันก็เป็นประตูหลอกๆ บานหนึ่งนั่นเอง แต่ในคราวนี้ แทนที่มันจะหลอกให้ผู้คนรู้สึกทึ่งหรือประหลาดใจ มันกลับหลอกให้คนรู้สึกหวาดกลัวหรือขนหัวลุกแทน


    ( จบตอนที่ 1 โปรดติดตามต่อตอนที่ 2 )

    แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 48 12:49:13

    จากคุณ : misterpolice - [ 14 ธ.ค. 48 12:44:38 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป